บทที่ 67 หนึ่งหมัด
บทที่ 67
หนึ่งหมัด
เมื่อจำนวนผู้ชมเพิ่มมากขึ้น ก็เริ่มมีการนินทาและบทสนทนามากขึ้นตามไป
แต่ฝูงชนส่วนใหญ่ก็เข้าข้างชิงเฉาหยู
โดยทั่วไปของศิษย์นิกายชั้นนอกระดับ 1 มักจะมีโครงกระดูกอย่างน้อยระดับ 3 ถึง 4 ดาว ดั้งนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาสำหรับการดูถูกบุคคลที่มีกระดูกต่ำกว่า 3 ดาวลงไป
หลี่ฟูเฉินซึ่งเป็นเพียงโครงกระดูกปกติ โดยธรรมชาติแล้วย่อมเป็นเป้าหมายดึงดูดของพวกนั้น
อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าหลี่ฟูเฉินมีอัตราการเติบโตที่น่าตื่นตกใจเช่นนั้น แม้ว่าพวกเขาจะดูถูกเขา แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะยั่วยุเขา
ตอนนี้พวกเขาได้รู้ว่าหลี่ฟ่เฉินแย่งชิงผู้หญิงของชิงเฉาหยูมา พวกเขาทั้งหมดทำตัวเหมือนกับตัวเองถูกปฏิบัติด้วยความอยุติธรรม ทำตัวราวกับว่าผู้หญิงถูกที่ถูกแยงออกไปจากพวกเขาเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ที่จือฮงซิ่วเป็นหนึ่งในสี่คนงามของนิกายชั้นนอก เธอย่อมไม่ขาดคนชื่นชม แต่ถ้าเธอได้อยู่ร่วมกันกับชิงเฉาหยู พวกเขาคงจะไม่มีความคิดเห็นมากมาย
ความงามกับอัจฉริยะ มันควรจะเป็นแบบนี้
สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ก็คือเหตุผลที่จือฮงซิ่วเลือกหลี่ฟู่เฉิน เป็นเพราะการแสดงออกอย่างกล้าหาญครั้งล่าสุดของเขา?
เธอไม่ได้ใส่ใจที่ศักยภาพของใคร?
สถานการณ์นี้มันราวกับท่านได้เห็นความงามที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายน่าเกลียดข้างถนน
มันเป็นความรู้สึกอิจฉาที่อยู่ในใจ
“กั่วเซี่ยชีเหม่ย คู่หมั้นของเจ้าผู้นี้ชอบสร้างปัญหาจริงๆ ถ้าเขามีโครงกระดูกระดับ 3 ดาว ไม่สิ เพียงแค่โครงกระดูกระดับ 2 ดาว นั่นคงจะดีมาก”
บนเส้นทางเล็กๆ ไม่ไกลกัน มีศิษย์สาวกหญิงสามคนที่มีรูปร่างน่าดึงดูดใจ ยืนอยู่เคียงข้างกัน
ศิษย์หญิงสาวที่น่าดึงดูดใจซึ่งยืนอยู่ระหว่างกลางนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นกั่วเซี่ย ด้านซ้ายมือสุดคือหญิงผอมและสูง ดวงตาของศิษย์หญิงนางนี้คล้ายกับนกฟีนิกซ์ ส่วนสุดท้าย ทางด้านขวาก็ศิษย์หญิงที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กร้อยและดูบอบบาง
ศิษย์หญิงที่มีดวงตาคล้ายกับฟีนิกซ์ชื่อของนางคือ ตงยือเหมิน เธอส่ายหัวและพูดกับกั่วเซี่ย
กั่วเซี่ยไม่ได้มีความสุขกับเรื่องตลกจากตงยือเหมิน “ตงชีเจี๋ย ข้าบอกท่านไปแล้ว ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขาอีกต่อไปแล้ว และนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตลกเลย”
“ตงชีเจี๋ย ทำไมท่านถึงดูเป็นกังวลกับหลี่ฟู่เฉิน? มันอาจจะเป็น???” หญิงสาวที่บอบบางชื่อว่ากวนเซียวหยู
ตงยือเหมินกลายเป็นกระวนกระวายใจ “เจ้าเด็กน้อยนางนี้นิ เจ้ากล้าหยอกล้อกับตงชีเจี๋ยของตัวเอง”
ด้วยสายตาที่จ้องมองไปยังชิงเฉาหยู หลี่ฟู่เฉินเดินออกจากลานและประกาศ “หนึ่งหมัด”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
ด้วยเทคนิคลมปราณสีม่วงขั้น 9 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของการผลัดเปลี่ยน ร่างกายของชิงเฉินหยูจึงปล่อยกลิ่นอายสะกดข่มจะพลังฉีออกมาได้ แม้แต่ตาของเขาก็ยังดูเป็นสีม่วงเล็กน้อย
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาก้าวข้ามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาไม่เข้าใจความหมายของหลี่ฟู่เฉินที่ว่า ‘หนึ่งหมัด’
ตัดสินใจผลของการต่อสู้ในหนึ่งหมัด?
หรือจะเอาชนะเขาด้วยหมัดเดียว?
แต่ทั้งสองวิธี เขาก็ไม่สามารถทนได้
“เพื่อต่อกรกับเจ้า ข้าเพียงแค่ใช้หมัดเดียว”
เมื่อก้าวเท้าไปหาชิงเฉาหยูได้เพียงห้าก้าว หลี่ฟูเฉินก็หยุดลง กำมือขวา พลังฉีสีแดงอ่อนๆ กลายเป็นฉนวนไฟ และสร้างเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง
“โอหัง!”
ไม่ใช่แค่ชิงเฉาหยู ทุกคนคิดว่าหลี่ฟู่เฉินได้ข้ามหัวพวกเขามากเกินไปแล้ว
“เขาคิดว่าเขาเป็นใคร? เอาชนะชิงเฉาหยูในหนึ่งหมัด? แม้แต่ฟางเหล่ยไห่และเกาช่างเที่ยนก็ไม่สามารถทำได้”
“ท่ามกลาง 10 อัจฉริยะ ข้าคิดว่าต้ออันดับน้อยกว่า 4 ถึงจะทำได้จริงๆ”
“ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงรักการสร้างปัญหา ก็เพราะความเย่อหยิ่งเช่นนี้ไง! เขาไม่แม้แต่แต่จะเห็นอัจฉริยะอยู่ในสายตา”
“รอก่อนเถอะ! ชิงเฉาหยูทำให้เขาอับอายได้อย่างแน่นอน”
ฝูงชนโกรธเกรี้ยวและไม่สามารถรอให้ชิงเฉาหยูเอาชนะหลี่ฟู่เฉินได้แล้ว
“เขาถึงกับกล้าพูดออกมาด้วยความหยิ่งเช่นนี้ ความแข็งแกร่งเองก็คงจะเป็นของลวงเปล่า ไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถดูได้แล้ว ไปกันเถอะ!” กั่วเซี่ยกล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
ตงยือเหมิง “รีบร้อนอะไรกัน? บางทีปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้น? เราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนใดๆ”
“ใช่ กั่วเซี่ยชีเจี๋ย พวกเราควรสังเกตต่อไป” กวนเซียวหยูก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน
“เป็นเช่นนั้นแล้วปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เจ้าทั้งสองคนไร้เดียงสาเกินไป”
แม้ว่าเธอจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่เธอก็ยังอยู่
“หลี่ฟู่เฉิน ยกโทษให้ไม่ได้ เนื่องจากเจ้าได้กล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าก็จะหักกระดูกซี่โครงของเจ้าออกไปสามข้อ”
ด้วยพลังฉีที่ไหลผ่าน 7 จุดชีพจร พลังฉีของชิงเฉาหยูก็เริ่มพุ่งพลานขึ้นมาอีกครั้ง เขาคล้ายกับอสูรปีศาจ
ด้วยแสงวูบวาบ ร่างของเขาก็กลายเป็นเบลอและเข้าไปหาหลี่ฟู่เฉิน ในขณะที่เขาพุ่งไป กำปั้นสีม่วงก็เล็งไปยังเป้าหมาย
เทคนิคพลังลมปราณสีม่วงขั้นเก้า
ขั้นสิ้นสุดร่างแปลงเจ็ดดารา
ทักษะสีเหลืองสูงสุด – หมัดปราณดุสิตาบรูพา
ด้วยคุณสมบัติทั้งสามที่รวมกัน มันจึงสร้าชิงเฉาหยูที่ปัจจุบันอยู่อันดับ 18 ของหอคอยแห่งควาลำเค็ญ
ฮอง…
ผมของหลี่ฟู่เฉินปลิวไปข้างหลังราวกับว่าเขาอยู่กลางพายุหมุน
ขณะที่หมัดกำลังจะเข้าปะทะหน้าอกของหลี่ฟู่เฉิน
หลี่ฟู่เฉินก็ปล่อยหมัดของตนเองออกไป
มันไร้คำบรรยายถึงความเร็วของหมัดนี้
ห่อหุ่มด้วยพลังฉีสีแดงซีด กำปั้นของเขาก็พุ่งตัวออกไปด้วยท่าทีที่เรียบง่าย
แต่เนื่องจากความเร็วสูงสุด มันจึงให้ความรู้สึกราวกับว่าหมัดนั้นดูว่างเปล่า
ในความเป็นจริง เป็นตัวหมัดเองที่สร้างความว่างเปล่าขึ้นมา และพื้นที่ก็ดูเหมือนจะถูกตัดออก
เมื่อกำปั้นของชิงเฉาหยูอยู่ห่างจากหน้าอกของหลี่ฟู่เฉินไปสามนิ้ว กำปั้นของหลี่ฟู่เฉินก็เหมือนจะเข้าปะทะหลังจากนั้น แต่ในพริบตามันก็เข้าไปกระแทกหน้าอกขิงชิงเฉาหยูก่อน
อ็อก!
พร้อมกับพ่นเลือดสดๆ ออกมา ชิงเฉาหยูก็ถอยกลับด้วยความกลัว เขาได้ยินเสียงกระแทกสามครั้งได้อย่างชัดเจนจากหน้าอกของเขา มันเห็นได้ชัดว่ากระดูกซี่โครงของเขาสามซีก
นี่มันเป็นอะไรจริงๆ
เขาประกาศว่าจะหักกระดูกซี่โครงของหลี่ฟู่เฉินสามซีก แต่ก็ลงเอยด้วยการที่เขาถูกหักกระดูกซี่โครงสามซีกแทน
ไม่มีอะไรที่น่าขันมากไปกว่านี้
เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นขั้วตรงข้าม ชิงเฉาหยูเกือบจะพังพินาศลงไปด้วยความหดหู่ใจ
เขากรีดร้องในใจ:
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
ทำไมหลี่ฟูเฉินถึงแข็งแรงมาก?
ทำไมเขาถึงต้องมาโยนหน้าตัวเองทิ้งไปต่อหน้าจือฮงซิ่ว?
ทำไมผลลัพธ์ของความพยามเขาถึงเป็นเช่นนี้?
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ผู้สังเกตการณ์จ้องมองด้วยปากที่กำลังอ้าปากค้าง และไม่อยากจะเชื่อเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาเอาชนะชิงเฉาหยูได้ด้วยหมัดเดียวโดยอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทั้งหมดนี้คือความฝัน? หรืออาการหลอน?”
“เหตุผลหายไปไหน? เอาชนะอัจฉริยะได้ด้วยหมัดเดียว เขาต้องการทำลายคำจำกัดความเช่นอัจฉริยะไปจริงๆ หรือไม่?”
“ปีศาจ เขาจะต้องเป็นปีศาจ”
ผู้ชมต่างมีความคิดเช่นเดียวกับชิงเฉาหยู และทุกคนก็ไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ พวกเขารู้สึกราวกับว่ามุมมองต่อโลกของพวกเขากำลังจะล่มสลายลงไป
ในช่วงเวลาที่ขับคันหลี่ฟู่เฉินก็ปล่อยหมัดออกไป จิตใจของกั่วเซี่ยสั่นไหวเล็กน้อย
เธอไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ
การเอาชนะชิงเฉาหยูได้ในหนึ่งหมัด นั้นก็หมายความว่าเธอเองก็จะพ่ายแพ้เขาในหนึ่งหมัดด้วยเช่นกัน
ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะเจาะเช่นนี้?
มุมมองต่อโลกของกั่วเซี่ยก็ดูเหมือนจะล่มสลายลงเช่นกัน
(หมายเหตุ TL: มุมมองต่อโลกของพวกเขา หมายถึงกฎและเหตุผลที่กำลังยุ่งเหยิง)
ตงยือเหมิงและกวนเซียวหยูทิ้งสองอ้าริมฝีปากสีดอกกุหลาบของพวกเธอขึ้น และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“ข้าคิดว่าข้าเริ่มที่จะชอบเขาแล้ว” กึ่งงงงวย ตงยือเหมิงพึมพำ
ดูมีอำนาจ
ความแข็งแกร่งที่ท่วมท้น
ลักษณะทั้งหมดนี้อยู่ในอุดมคติที่เธอชอบ
ในใจของเธอช่วงเวลานี้ ร่างของหลี่ฟู่เฉินและร่างของหยูเหวินเที่ยนถูกซ้อนทับกัน
ดูมีอำนาจเหมือนกัน
เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งคล้ายกัน
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือโครงกระดูกระดับ 5 ดาวและโครงกระดูกปกติ
สำหรับกวนเซียวหยู เธอไม่สามารถควบคุมเสียงของเธอได้และสามารถอุทานเสียงเบาๆ ราวกับแมวน้อย
กวาดสายตามองผู้ชม หลี่ฟู่เฉินทำตัวราวกับว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องที่พิเศษอะไร และกลับไปที่ลานบ้าน ปิดประตู
นอกลานบ้าน ฝูงชนต่างก็มองกันและกัน ส่วนใหญ่มีรอยยิ้มขมขื่นหรือดูเคอะเขิน
พวกเขารู้ลึกอยู่ในใจ เหตุการณ์ที่อาจเขย่าโลกบางอย่างต้องเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันของศิษย์ชั้นนอก
หลี่ฟูเฉิน บางทีเขาอาจจะกลายเป็นการดำรงอยู่เชกเช่นเดียวกับหยูเหวินเที่ยน
การดำรงอยู่ราวกับว่าไม่ได้เป็นคนของโลกนี้
สำหรับหลงจากเข้าสู่นิกายชั้นในได้แล้ว หลี่ฟู่เฉินก็จะยังคงจะได้รับเป็นข้อยกเว้นหรือไม่? นั่นเป็นสิ่งที่ต้องฝากไว้กับอนาคต สำหรับเวลานี้ หลี่ฟู่เฉินเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้แต่อัจฉริยะก็ยังรู้สึกกดดันเมื่อเผชิญหน้ากับเขา