ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 59 : จุดเริ่มต้นของโรซาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน

ราชันย์เร้นลับ 60 : แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง


ราชันย์เร้นลับ 60 : แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง

 

“ไม่มีปัญหา”

 

ไคลน์พยายามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สั่นคลอน จากนั้นก็ใช้ศอกซ้ายเท้าบนที่พักแขน และนำปลายนิ้วข้างเดียวกันวางบนหน้าผาก แสร้งว่ากำลังตั้งใจฟัง

 

อัลเจอร์เรียบเรียงคำพูดก่อนจะกล่าว

 

“อันทีโกนัสคือชื่อของตระกูลเก่าแก่โบราณ ประวัติศาสตร์ของพวกมันเริ่มขึ้นในยุคแห่งหายนะซึ่งเกิดก่อนยุคสมัยที่สี่ และยังมีความเกี่ยวพันกับแผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง”

 

แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง?

 

มีแผ่นที่สองด้วยหรือ? แล้วมีทั้งหมดกี่แผ่นกันแน่?

 

นัยน์ตาไคลน์พลันหดลีบ ร่างกายเกือบเสียอาการ

 

จากบทสนทนาระหว่างแฮงแมนและจัสติสในครั้งก่อนหน้า มันได้ยินว่า แผ่นศิลาเย้ยเทพคือสิ่งที่บรรจุ 22 เส้นทางสู่การเป็นเทพไว้

 

ของแบบนั้นมีถึงสองอัน… หรืออาจมากกว่า?

 

22 เส้นทางแห่งเทพ… ผู้วิเศษ 22 เส้นทาง

 

สองสิ่งนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า?

 

ผู้วิเศษทุกเส้นทางสามารถกลายเป็นเทพในท้ายที่สุดอย่างนั้นหรือ?

แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สองได้ทำให้ความคิดของไคลน์เริ่มฟุ้งซ่าน หากไม่เพราะมีหมอกหนาทึบบดบังตนไว้ อากัปกริยาที่เสียอาการคงถูกมิสผู้ชมสังเกตุเห็นไปแล้ว

 

ส่วนเรื่องยุคแห่งหายนะ สำหรับตัวมันที่เป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะนั่นคืออีกชื่อหนึ่งของยุคสมัยที่สาม

 

จากการทบทวนความจำด้านประวัติศาสตร์เมื่อคืนก่อน ยุคสมัยที่สามนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองช่วง คือยุครุ่งเรืองและยุคหายนะ

 

“แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สองงั้นหรือ?”

 

ออเดรย์แสดงความไม่รู้ออกมาอย่างซื่อตรง แต่เมื่อตระหนักได้ หล่อนเริ่มเก็บอาการและกลับเข้าสู่ภาวะผู้ชมตามเดิม

 

ถามได้ดีมากมิสจัสติส! ไคลน์ชมเชยในใจ

 

ในฐานะเดอะฟูล หากตนถามออกไปจะส่งผลให้เสียภาพลักษณ์เสียหาย

 

อัลเจอร์แอบชำเลืองเดอะฟูลด้วยหาตา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนท่าทีหรือส่งเสียงประหลาดใจ มันจึงเริ่มเล่าต่อ

 

“แผ่นศิลาเย้ยเทพแรกปรากฏในยุคสมัยแห่งความมืด หรือรู้จักกันในชื่อยุคสมัยที่สอง ช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากโดยมีเทพคอยให้ความช่วยเหลือ

“ส่วนแผ่นศิลาเย้ยเทพที่สองปรากฏตัวปลายยุคสมัยที่สาม กล่าวกันว่า มันคือตัวแทนของความหายนะในยุคสมัยนั้น

 

“มีเพียงเจ็ดโบสถ์หลักเท่านั้นที่ทราบเนื้อหาบนศิลาเย้ยเทพทั้งสองแผ่น ตัวผมมีข้อมูลเพียงหางอึ่ง ทราบแค่ว่าเป็นแผ่นศิลาจารึก 22 เส้นทางสู่การเป็นเทพเหมือนกัน แต่ไม่ทราบความแตกต่างที่ชัดเจน”

 

“แล้วศิลาเย้ยเทพที่จักรพรรดิโรซายเคยเห็นเป็นแผ่นที่หนึ่งหรือสองคะ?”

 

ออเดรย์ถามใคร่รู้

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า ไคลน์พลันฉุกคิดได้ วันแรกที่แฮงแมนพูดคุยกับจัสติสเรื่องโอสถ มันระบุชัดเจนว่าชื่อของโอสถมีต้นตอมาจากแผ่นศิลาเย้ยเทพ

 

สอดคล้องกับที่หัวหน้าดันน์เคยเล่าว่า ระบบโอสถในปัจจุบันสมบูรณ์ได้เพราะการเสียสละของบรรพบุรุษและการปรากฏตัวของศิลาเย้ยเทพ…

 

ถ้าอย่างนั้นก็แน่ชัดแล้วว่า โอสถทุกเส้นทางจะนำไปสู่ความเป็นเทพในตอนสุดท้าย

 

ชายหนุ่มตอบคำถามแรกของตัวเองในใจ

 

อัลเจอร์ตอบสั้นห้วน

 

“แผ่นที่สอง”

 

หลังจากได้รับคำตอบ สีหน้าออเดรย์กลับเป็นปรกติ มิได้ต้องการทราบสิ่งใดเพิ่มเติม เธอเข้าสู่ภาวะผู้ชมและคอยจับตามองแฮงแมนต่อ

 

แน่นอน การถูกเพ่งพินิจจากผู้ชมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก อัลเจอร์พยายามข่มจิตใจมิให้โกรธเคือง มันทราบว่าเธอไม่มีเจตนาร้าย

 

“ระหว่างที่ราชวงศ์โซโลม่อนครองความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยที่สี่ แม้ตระกูลอันทีโกนัสจะมีชื่อเสียงในหมู่ชนชั้นสูง แต่พวกมันกลับไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นกำลังสำคัญในการก่อตั้งจักรวรรดิทูดอร์ นับแต่นั้น พวกมันจึงกลายเป็นตระกูลใหญ่แห่งทวีปเหนืออยู่นาน

 

“ในช่วงเวลาดังกล่าว ตระกูลใหญ่ประจำทวีปอย่างอันทีโกนัส อามุนด์ อับราฮัม เจคอป รวมถึงตระกูลชนชั้นสูงอีกมากในยุคสมัยนั้น ทั้งหมดคือขุมกำลังสำคัญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคสมัยที่สี่

“ทว่า หลังจาก‘สงครามสี่จักรพรรดิ’จบลงด้วยความตายของจักรพรรดิโลหิตแห่งทูดอร์ จุดยืนของตระกูลอันทีโกนัสเริ่มเกิดการสั่นคลอนทันที พวกมันไม่ใช่ตระกูลชนชั้นสูงอีกต่อไป และถูกเทพเจ็ดตนตามล่าในที่สุด

 

“ผมไม่แน่ใจในเหตุการณ์หลังจากนี้มากนัก ทราบอีกทีก็คือ ตระกูลอันทีโกนัสถูกทำลายอย่างสิ้นซากด้วยฝีมือโบสถ์เทพธิดารัตติกาล

 

“มิสเตอร์ฟูล หากท่านต้องการทราบข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ เกรงว่าต้องติดต่อกับโบสถ์เทพธิดาเท่านั้น หรือไม่ก็องค์กรลับโบราณสองถึงสามฝ่ายที่อาจมีข้อมูล ท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าผมหมายถึงองค์กรใด”

 

ตูไม่ทราบ…

 

ไคลน์พยักหน้าแสร้งเข้าใจ

 

“อา…”

 

หนึ่งในนั้นอาจเป็นลิทธิเร้นลับที่กำลังตามล่าสุดบันทึก… อีกหนึ่งอาจเป็นนิกายมอสส์ที่หัวหน้าดันน์และลุงนีลล์เล่าให้ฟัง

 

อันสุดท้าย ไม่แน่ใจว่าจะรวมถึงสมาคมแปรจิตด้วยหรือไม่…

 

ขณะไคลน์กำลังไตร่ตรองถึงความน่าจะเป็น อัลเจอร์ได้กล่าวข้อมูลส่วนสุดท้ายที่มันทราบออกมา

 

“ผมไม่ทราบว่าตระกูลอันทีโกนัสถือครองโอสถเส้นทางใดไว้ แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน นิยามที่ผู้คนใช้อธิบายถึงตระกูลอันทีโกนัสจะมีเพียงสองคำเท่านั้น…

 

“คือ‘ประหลาด’และ‘น่าหวาดกลัว’”

 

ประหลาดและน่าหวาดกลัว…

 

เมื่อหวนนึกทึกสมุดบันทึกเล่มดังกล่าว หวนนึกถึงชะตากรรมที่ไคลน์และเพื่อนร่วมชั้นต้องเผชิญ ความตายของมารดารีเอล·บีเบอร์ นิยามที่ว่าค่อยข้างตรงเลยทีเดียว

 

ไคลน์เริ่มเคาะโต๊ะเพื่อส่งสัญญาณ เมื่อเห็นแฮงแมนและจัสติสยังคงเงียบงัน มันเป็นฝ่ายเปิดปากพูด

 

“ยอดเยี่ยมมาก เป็นการชดเชยที่เราพึงพอใจทีเดียว”

 

สาเหตุที่ไคลน์ใช้นิ้วเคาะโต๊ะส่งสัญญาณก่อนเริ่มทำบางสิ่งทุกครั้ง เพื่อให้แฮงแมนและจัสติสเข้าใจว่าตนมีนิสัยชอบเคาะนิ้ว

 

จะได้กลบเกลื่อนการเปิดปิดภาวะเนตรวิญญาณที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

 

อัลเจอร์มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ

 

ออเดรย์มองสลับไปมาระหว่างแฮงแมนกับเดอะฟูล เธออมยิ้มเล็กน้อย

 

“ข้อถามคำถามที่สองต่อเลยนะคะ…

 

“โอสถเส้นทางผู้ชมลำดับถัดไปมีชื่อว่าอะไรบ้าง? แล้วฉันจะหาเบาะแสได้จากที่ใด?”

 

เฮ่อ…

 

อยากถามตรงไปตรงมาแบบนี้ได้บ้างจัง

 

ไคลน์ตัดพ้อ มันทำเพียงชำเลืองสายตาไปมองแฮงแมน

 

อัลเจอร์เงียบงันสักพัก

 

“ผมจะบอกให้ก็ได้ ในฐานะที่เป็นผู้ชักนำคุณให้มาอยู่บนเส้นทางนี้

 

“โอสถลำดับแปดของเส้นทางผู้ชมมีชื่อว่า‘นักอ่านใจ’ ส่วนลำดับเจ็ด ชื่อโบราณของมันคือ‘นักจิตวิเคราะห์’ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็น‘นักจิตบำบัด’

 

“ข้อมูลเหล่านี้มาจากปากสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมแปรจิต ผมคิดว่าพวกมันคงครอบครองโอสถเส้นทางนี้ไว้”

 

สมาคมแปรจิต…

ผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์เคยใช้วิธีสอบสวนของสมาคมแปรจิตกับเรา แต่หัวหน้าดันน์กลับบอกว่าพวกมันคือสมาคมเสียสติและชั่วร้าย…

 

ไคลน์นั่งเก็บข้อมูลอย่างตั้งใจ

 

“คุณทราบที่อยู่ปัจจุบันของสมาชิกสมาคมแปรจิตไหมคนดังกล่าวไหมคะ?”

 

ออเดรย์ถามด้วยสีหน้าคาดหวัง

 

ไม่ว่าจะนักอ่านใจหรือนักจิตบำบัด ชื่อของพวกมันช่างน่าหลงไหลสำหรับเธอ

 

อัลเจอร์หัวเราะเสียงค่อย มันไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้บ่อยนัก

 

“ต้องทราบอยู่แล้วครับ… หมอนั่นกำลังนอนจมก้นทะเลแถวๆ มหาสมุทรโซเนียร์ ผมเป็นคนจมเรือของมันกับมือ

 

“หากคุณต้องการทราบเบาะแสเพิ่มเติมของสมาคมแปรจิตที่เหลือ คงต้องขอแสดงความเสียใจล่วงหน้า ผมได้ทำลายเบาะแสเดียวที่มีทิ้งไปแล้ว”

 

มันไม่กังวลว่าตัวจริงจะถูกเปิดเผย สาเหตุเพราะ อัลเจอร์ทำการจมเรือลำดังกล่าวในที่ลับตาคน ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าเป็นฝีมือกัปตันเรือคนใด

“จมไปแล้ว…”

 

ออเดรย์กระอักกระอ่วน เธอสานต่อบทสนทนาไม่ถูก

 

เด็กสาวผมทองสูดลมหายใจหนึ่งฟอดใหญ่โดยไม่รู้ตัวว่าหลุดจากภาวะผู้ชมอีกครั้ง

 

“คำถามที่สาม… อ…เอ่อ สมมตินะคะ จะเกิดอะไรขึ้นหากสัตว์ธรรมดาดื่มโอสถลำดับเก้าเข้าไป?”

 

นี่มัน… คำถามบ้าบออะไรกัน?

 

ไคลน์แอบเคาะหว่างคิ้วเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ ทันใดนั้น มันมองเห็นความเปลี่ยนแปลงทางออร่าด้านอารมณ์ของจัสติส

 

กระวนกระวาย ประหม่า และอับอาย

 

เธอเผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไปอย่างนั้นหรือ? ไคลน์ฉงนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มองเป็นเรื่องประหลาดนัก เพราะทั้งสองการชุมนุมที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า สมองของมิสจัสติสค่อนข้างกลวง

 

แฮงแมน·อัลเจอร์ มันผงะไปเช่นกัน ก่อนจะมอบคำตอบในอีกหลายวินาทีถัดมา

 

“สัตว์ทั่วไปที่มีสติปัญญาต่ำจะไม่สามารถเข้าฌานเหมือนมนุษย์ได้ ด้วยเหตุนี้ พวกมันจะเสียชีวิตทันทีหรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่ง

 

“ทว่า หากสัตว์ดังกล่าวรอดชีวิตมาได้ มีโอกาสสูงที่มันจะกลายเป็นสัตว์วิเศษตามชนิดโอสถที่ดื่มเข้าไป ถ้าโอสถช่วยเพิ่มสติปัญญา มันอาจกลายเป็นสัตว์ที่ฉลาดจนถึงขั้นพูดได้”

 

“ขอบคุณค่ะ”

 

ออเดรย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

“ดิฉันไม่มีคำถามแล้ว”

 

อัลเจอร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มันชั่งใจว่าจะไต่ถามถึงชุมนุมแสงเหนือและผู้สดับดีไหม แต่ท้ายที่สุดก็เลือกจะเงียบไว้

 

“ผมก็เช่นกัน”

 

“แต่เรามีบางสิ่ง”

 

ไคลน์กล่าวโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบท

 

“ซึ่งต้องการความร่วมมือจากพวกเจ้า”

 

ชายหนุ่มยังไม่ออกจากภาวะเนตรวิญญาณ มันจึงมองเห็นอารมณ์หวาดผวาเล็กๆ จากแฮงแมน ส่วนมิสจัสติสนั้นเบาปัญญาเกินกว่าจะตกใจกลัว

 

ไคลน์รีบแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้ทั้งสองสบายใจ

 

“ไม่ต้องห่วง เป็นการรบกวนเพียงเล็กน้อย และจะส่งผลดีกับพวกเจ้าแน่นอน คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงไปสักเท่าไร”

 

“เชิญว่ามาได้เลยค่ะ”

 

ออเดรย์กลับเข้าภาวะผู้ชมอีกครั้ง แต่เธอมิอาจมองทะลุเข้าไปในหมอกหนาที่ล้อมรอบตัวเดอะฟูลได้

 

“สุดแล้วแต่ท่าน”

 

อัลเจอร์ขานรับ

 

ไคลน์อมยิ้มก่อนเริ่มอธิบาย

 

“ก่อนหน้านี้ เราเคยบอกไปแล้วว่า จะหาทางทำให้พวกเจ้าแจ้งข่าวล่วงหน้าหากไม่ว่างเข้าร่วมชุมนม

 

“ด้วยวิธีที่เราคิดค้นขึ้น หากพวกเจ้าเกิดติดธุระด่วนในวันจันทร์บ่ายสามโมง สามารถแจ้งล่วงหน้าโดยไม่จำเป็นต้องขังตัวเองในห้องอีกต่อไป”

 

“แบบนั้นเยี่ยมเลย!”

 

ออเดรย์เริ่มคลายปมคิ้วที่ขมวด

 

อัลเจอร์ถามสงสัย

 

“ท่านจะให้เราทำสิ่งใดหรือ?”

 

“สามารถทำได้เองที่บ้าน ค่อยทดลองทำเวลาว่าง ไม่ต้องมากพิธีการนัก ขอเพียงไม่ถูกใครรบกวนก็พอ…

 

“ก่อนอื่น เตรียมเทียนไขและเชิงเทียนไว้ทั้งหมดสี่ชุด หากเป็นเทียนกลิ่นไม้จันทน์จะดีมาก เริ่มด้วยการใส่เทียนลงบนเชิงและจุดไฟ จากนั้นก็นำไปวางไว้ที่สี่มุมห้อง

 

“ถัดมา วางถาดขนมปังขาวไว้ข้างเทียนมุมซ้ายบน วางถาดบะหมี่เฟเนพ็อตไว้ข้างเทียนมุมขวาบน วาดถาดปาเอย่าไว้ข้างเทียนมุมซ้ายล่าง และวางถาดพายเดซี่ไว้ข้างเทียนมุมขวาล่าง…

 

“หลังนั้นก็ลงมือสร้างกำแพงวิญญาณด้วยมีดเงิน”

 

ไคลน์อธิบายวิธีสร้างกำแพงวิญญาณให้มิสจัสติสฟัง แต่ขั้นตอนถูกปรับแต่งเล็กน้อยโดยตัวมันเอง

 

อันที่จริง วิธีการข้างต้นไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะในทางศาสตร์พิธีกรรมเวทมนตร์ ขั้นตอนดังกล่าวมีไว้เพื่อ‘ดึงความสนใจ’จากตัวตนลึกลับหรือเทพทั้งเจ็ด เช่นการใช้เทียนกลิ่นที่เทพธิดาชอบ เพื่อหยิบยืมพลังจากเทพธิดา

 

ทว่า พิธีกรรมในคราวนี้ชี้ตรงมายังตน เครื่องเซ่นสังเวยจึงไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่มันพยายามทำให้อลังการและซับซ้อนเข้าไว้ ตัวมันในสายตาจัสติสและแฮงแมนจะได้ดูยิ่งใหญ่

 

แถมหลักปฏิบัติดังกล่าวยังขัดต่อความเชื่อเรื่องตัวเลขนำโชคที่ลุงนีลล์สอน หลักที่ว่า เทียนสองเล่มหมายถึงองค์เทพ

 

“…ผสมบุปผาจันทรา มินท์ทอง บุปผาหลับไหล ตะไคร้หอม และกุหลาบหิน เข้าด้วยกัน จากนั้นก็กลั่นออกมาเป็นสารสกัดของเหลว

 

“เมื่อเสร็จขั้นตอน ให้ลงมือหยดสารสกัดลงบนเทียนไขในแต่ละมุมของห้อง…”

 

หลังจากออเดรย์จดจำขั้นตอนทั้งหมดที่มิสเตอร์ฟูลอธิบายทั้งหมด เธอรีบเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าใคร่รู้

 

“แล้วคาถาล่ะคะ? พวกเราต้องท่องคาถาแบบใด?”

 

อัลเจอร์ที่กำลังจดบันทึกด้วยปากกาหมึกซึมมีอันต้องหยุดเขียน มันเงยหน้าชำเลืองมองเดอะฟูลอย่างสนใจ

 

ไคลน์ที่ร่างกายโอบล้อมด้วยหมอกสีเทาหนาทึบ มันเคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนจะกล่าวเป็นภาษาเฮอร์มิสด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ

 

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันย์เหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด