ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 56 : เอาชีวิตรอดจากท้องทะเล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 58 : ข้อสรุป

ราชันย์เร้นลับ 57 : เรียบเรียงและหาเหตุผล


ราชันย์เร้นลับ 57 : เรียบเรียงและหาเหตุผล

 

หลังจากชะงักครู่หนึ่ง ไคลน์ลงมือเขียนต่อ

 

“หลักสำคัญในการระงับผลข้างเคียงของโอสถคือการ‘ย่อยพลัง’ มิใช่‘ควบคุมพลัง’ นี่เป็นพื้นฐานที่เข้าใจได้ไม่ยาก

 

“หากฝืนควบคุมพลัง พลังที่ได้รับจะเป็นเพียงอุปกรณ์ช่วยเหลือนอกกาย เฉกเช่นสัตว์ป่าดุร้าย ที่ไม่ว่าจะถูกฝึกอย่างดีเพียงใด แต่มันจะเป็นได้แค่ความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งมีโอกาสแว้งกัดเจ้าของในสักวัน

 

“กลับกัน ถ้าหากย่อยพลังอย่างสมบูรณ์จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พลังดังกล่าวจะเปรียบดังแขนขา อวัยวะ และสามารถใช้ได้ดังใจนึกโดยไม่แว้งกลับทำร้าย

 

“มาถึงจุดที่เราตั้งข้อสงสัย เหตุใดการสวมบทบาทถึงเป็นกุญแจสำคัญในการย่อยพลัง?

 

“จากประสบการณ์สวมบทบาทเป็นนักทำนายในวันนี้ เราสามารถตั้งสมมติฐานได้สองข้อ ซึ่งจะต้องมีการหาข้อพิสูจน์ในอนาคตกันต่อไป

 

“สมมติฐานข้อแรก : โอสถจะเปลี่ยนให้มนุษย์มีพฤติกรรมและลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับ‘ชื่อโอสถ’ หมายความว่าร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเราจะถูกเปลี่ยนให้เข้าใกล้ความเป็นนักทำนายมากขั้น ดังนั้น การสวมบทบาทนักทำนายตัวจริงจะช่วยให้เรากลมกลืนกับพลังใหม่ได้รวดเร็ว

 

“สมมติฐานข้อที่สอง : วิญญาณที่ตกค้างจาก‘วัตถุดิบโอสถ’มีระบบคล้ายคลึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หากเราต้องการแฮ็คระบบอย่างสมบูรณ์ การค้นหาบั๊กและช่องโหว่คือสิ่งจำเป็น และชื่อของโอสถเปรียบดังคำบอกใบ้

 

“ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้อง‘ปลอมตัว’ ปรับสภาพจิตใจและวิญญาณให้‘คล้ายคลึงระบบ’ด้วยวิธีการสวมบทบาท วิธีนี้จะ‘หลอก’ระบบให้เชื่อว่าเราเป็นพวกเดียวกับมัน และยอมรับให้ผ่านเข้าไปแฮ็คสำเร็จ

 

“แต่ไม่ว่าจะสมมติฐานข้อใด สิ่งที่เหมือนกันคือ เราต้องปรับเปลี่ยนร่างกาย จิตใจ และวิญญาณให้มีลักษณะเหมือนกับชื่อโอสถ เพื่อที่จะได้รับพลังของโอสถอย่างเต็มที่ ไปพร้อมกับขจัดผลข้างเคียงแปลกปลอม”

 

ไคลน์วางปากกาลงและอ่านข้อความที่ตัวเองเขียน ในวินาทีนี้ มันต้องขอบคุณระบบการศึกษาของจักรวรรดิแห่งอาหารบนโลกเก่า

 

ไม่ว่าจะเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ แต่ตัวมันได้ถูกปูพื้นฐานการคิดคำนวณอย่างเป็นเหตุเป็นผลมาตั้งแต่เด็ก

 

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ตนเก่งฉกาจในฐานะนักรบคีย์บอร์ด หลักตรรกะและการทบทวนคือสิ่งสำคัญในการโต้เถียงให้ชนะบนโลกอินเทอร์เน็ต

 

“หลังจากบรรพบุรุษลองผิดลองถูกมานาน การสวมบทบาทอาจเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดแล้ว เราคงต้องรอพิสูจน์ผลลัพธ์ด้วยตัวเองในอนาคต”

 

ไคลน์สรุปกับตัวเอง ก่อนจะเขียนคำถามถัดไปลงกระดาษ

 

“เหตุใด‘นักทำนาย’ที่ชำนาญศาสตร์เร้นลับหลายชนิดถึงอ่อนแอด้านการต่อสู้?

 

“ไม่ใช่ว่ายิ่งชำนาญศาสตร์เร้นลับ ก็จะยิ่งดวลตัวต่อตัวได้แข็งแกร่งหรอกหรือ? โดยเฉพาะพลังทำนายหาจุดอ่อนศัตรู”

 

“สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่า…

 

“สมมติฐานแรก อาจเหมือนกับนิยายที่เราเคยอ่านสมัยอยู่โลกเก่า ตัวเอกถูกส่งไปยังโลกแห่งเกมที่มี‘อาชีพ’แตกต่างกันไป แต่ละอาชีพจะมีข้อดีข้อเสียหักล้างเพื่อให้เกมสมดุล

 

“แต่เมื่อลองนึกดูให้ดี โลกของเราไม่เหมือนเกมสักเท่าไร การสมมติให้ผู้วิเศษเหมือนกับ‘อาชีพ’อาจไม่ถูกต้อง แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

 

“สมมติฐานที่สอง พื้นฐานของโลกใบนี้คือความสมดุล และพระผู้สร้างได้กำหนดให้โลกต้องดำเนินไปอย่างสมดุลเท่าเทียม

 

“สมมติฐานที่สาม โอสถลำดับต่ำทุกเส้นทางจะถูกจำกัดพลังไว้ อาจเป็นผลมาจากการลองผิดลองถูกของบรรพบุรุษ

 

“พลังโอสถที่มากเกินไปจะทำให้ผู้วิเศษคลุ้มคลั่งได้ง่าย พลังที่น้อยเกินไปจะไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงชีวิตเป็นผู้วิเศษ

 

“ลงเอยด้วย ผู้วิเศษแต่ละเส้นทางจะชำนาญด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง แต่จะอ่อนแอด้านที่เหลืออย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

 

“สมมติฐานที่สี่ ทุกสิ่งในโลกถือกำเนิดจากเศษเสี้ยวพระผู้สร้าง หมายความว่า ทุกองค์ประกอบจะชดเชยสิ่งที่ขาดหาย และไม่ก้าวก่ายในความถนัดของกันและกัน พลังแต่ละเส้นทางจึงเชี่ยวชาญได้เพียงหนึ่งศาสตร์

 

“เราเอนเอียงไปทางสมมติฐานที่สามและสี่มากกว่า แต่อย่างหลังยากต่อการพิสูจน์ จึงใช้ได้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น

 

“เมื่อตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ทิ้งไป จะเหลือเพียงสาเหตุที่สามซึ่งน่าเชื่อถือที่สุด เราจะใช้มันเป็นหลักในการดำเนินชีวิต”

 

มาถึงจุดนี้ ไคลน์เขียนบันทึกของตัวเองเต็มสองหน้ากระดาษแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตรงกันข้าม มันเขียนลงมือเขียนคำถามถัดไปต่อ

 

“จากประสบการณ์ในวันนี้ พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาของเราเข้าข่ายพิธีกรรมเวทมนตร์โบราณ

 

“โดยทั่วไปแล้ว พิธีกรรมเวทมนตร์จะแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรก การเซ่นสังเวยสิ่งของที่‘ตัวตนลึกลับ’ชื่นชอบ

 

“ถัดมาคือขั้นตอนที่สอง การท่องคาถาเพื่อเอ่ยนามและเรียกขานตัวตนลึกลับดังกล่าว

 

“สุดท้ายคือขั้นที่สาม พิธีกรรมที่เป็นตัวระบุว่าเราปรารถนาในสิ่งใด

 

“หากใช้ทฤษฏีนี้เป็นบรรทัดฐาน พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาของเราค่อนข้างแปลกประหลาด… เพราะมันไม่มีส่วนที่สาม!

 

“ของเซ่นคืออาหารสี่ทิศที่วางมุมห้อง ส่วนคาถาคือการกล่าวถึงเทพฟ้าดินทั้งสี่…

 

“แต่หลังจากนั้น ตัวเราไม่ได้ประกอบพิธีกรรมใดต่อ ทำเพียงหลับตาและรอผลลัพธ์ มิได้ระบุว่าต้องการสิ่งใดตอบแทน ไม่แม้แต่จะกล่าวอ้อนวอนให้ดวงชะตาดีขึ้น

 

“หรือก็คือ… ตัวตนลึกลับไม่มีทางทราบว่าเราต้องการสิ่งใด มันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม…”

 

นี่เราปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจแทนมาตลอดเลยหรือ?

 

“บ้าจริง! คนเขียนหนังสือ‘พิธีกรรมโบราณสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น’คิดอะไรอยู่กันแน่?

 

“เรามันโง่ที่ดันไปหลงทำตาม…”

 

ไคลน์หยุดเขียนทันที มันพยายามสูดลมหายใจยาวเข้าปอดสองครั้งเพื่อสงบสติ

 

เมื่ออารมณ์เข้าที่เข้าทาง มันเริ่มเขียนต่อ

 

“เราควรปรับแต่งพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาให้สมบูรณ์ เช่นการเอ่ยว่า ตัวเราปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกเก่าและได้พบเพื่อนฝูงอีกครั้ง

 

“คำถามถัดมาก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหตุใดตัวตนลึกลับดึงเราขึ้นไปบนมิติสายหมอก? มีความนัยพิเศษซ่อนอยู่หรือไม่?”

 

“และถ้าปรับแต่งพิธีกรรมโดยปรารถนากลับไปยัง‘โลกเก่า’ ตัวตนลึกลับจะเข้าใจหรือ ว่าโลกเก่านั้นหมายถึงสถานที่ใด?

 

“ต่อให้เข้าใจ แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่เรายังหาคำอธิบายไม่ได้…

 

“หากตัวตนลึกลับดังกล่าวสามารถทำตามใจชอบ แล้วเหตุใดถึงต้องส่งตัวเราไปยังมิติสายหมอกทั้งสามครั้งโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง? แถมปล่อยให้เราอัญเชิญจัสติสกับแฮงแมนร่วมชุมนุมโดยไม่รบกวน เจตนาของตัวตนลึกลับคืออะไรกันแน่?

 

“ถ้าการพิธีกรรมครั้งที่สี่ในบ่ายวันพรุ่งนี้ส่งผลแบบเดิม หมายความว่า ตัวตนลึกลับกำลังปรารถนาให้เรากระทำบางสิ่งบนมิติสายหมอก….

 

“การเพิ่มขั้นตอนที่สามเข้าไปเพื่อแจ้งเจตจำนงอาจไม่เป็นผล ไม่สิ บางทีตัวตนลึกลับอาจโมโหจนทำให้ทุกสิ่งแย่ลง

 

“แต่น่าแปลก ทำไมพิธีกรรมจากโลกเก่าถึงส่งผลกับโลกใหม่ด้วย? ทั้งที่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงคาถาแม้แต่น้อย…

 

“หมายความว่า เราสามารถใช้พิธีกรรมนี้บนโลกใดก็ได้ แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างนั้นหรือ…

 

“แล้วจะแจ้งความปรารถนากลับโลกเก่าด้วยวิธีใดได้บ้าง?

 

“และถ้ามองว่า ตัวตนลึกลับที่โลกเก่ากับโลกใหม่เป็นคนละบุคคลกัน คำถามหลายข้อก็จะลงล็อคพอดี…

 

“แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่า ตัวตนลึกลับบนโลกปัจจุบันที่เราอาศัยอยู่ จงใจดึงตัวเราขึ้นไปบนมิติสายหมอกด้วยเหตุผลบางประการ และจะมิอาจเปลี่ยนแปลงโชคตะตานี้ได้อีกพักใหญ่

 

“มาถึงคำถามที่สำคัญที่สุด ตัวตนลึกลับของโลกใบนี้ที่เราเอ่ยถึง เขาหรือเธอเป็นใครกันแน่? แล้วเหตุใดถึงไม่เผยตัวตนเลยสักนิด?

 

“หรือจะคอยเฝ้าจับตามองในส่วนลึกของมิติสายหมอกแห่งนั้นตลอดเวลา?

 

“หืม… หรือจะเป็นตัวตนที่กำลังหลับไหล และคอยตอบรับพิธีกรรมโดยอัตโนมัติหากมีใครปฏิบัติตามเงื่อนไข?

 

“แต่เนื่องจากหลับไหลอยู่ จึงไม่ยื่นมือแทรกแซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนมิติสายหมอก?

 

“ถ้าอย่างนั้น เราสามารถทดลองใช้ขั้นตอนที่ต่างออกไปเพื่อหยั่งผลตอบรับ หากผ่านไปอย่างราบรื่น เราจะพบวิธีเดินทางกลับโลกเก่าได้ในสักวัน

 

“แต่ปัญหาคือ ถ้าตัวตนลึกลับมิได้หลับไหลอย่างที่คิด ตัวเราจะเผชิญความฉิบหายในชั่วพริบตา แบบนั้นไม่อันตรายไปหน่อยหรือ?

 

“การทดสอบครั้งแรกต้องกระทำอย่างระมัดระวังที่สุด พยายามไม่ให้ตัวตนลึกลับโมโห…

 

“ปวดหัวชะมัด อยากมีข้อมูลมากกว่านี้”

 

ไคลน์ถอนหายใจยาวหลังจากสรุป

 

มาถึงส่วนสุดท้าย มันเขียนถึงรายละเอียดปลึกย่อยที่เหลือ

 

“มีเสียงกระซิบประหลาดดังขึ้นบ่อยครั้ง มันพูดว่าอะไรกันแน่… ‘โฮนาซิส’ แล้วก็… เฟรเกียหรือฟราเกีย?

 

“โฮนาซิสคือเทือกเขาที่กั้นแบ่งอาณาจักรโลเอ็นและสาธารณะรัฐอินทิสออกจากกัน ยอดเขาสูงที่สุดมีระดับสูงกว่าน้ำทะเลราวหนึ่งกิโลเมตร

 

“เนื้อความในสมุดบันทึกอันทีโกนัสระบุไว้ว่า ‘ประเทศรัตติกาล’เคยมีตัวตนในยุคสมัยที่สี่มาก่อน

 

“ประเทศรัตติกาลจะเกี่ยวข้องกับโบสถ์เทพธิดารัตติกาลหรือไม่? มีความสัมพันธ์กันอย่างไร? มิตรหรือศัตรู?

 

“และสาเหตุที่ตระกูลอันทีโกนัสถูกโบสถ์เทพธิดารัตติกาลลบออกจากประวัติศาตร์ จะเกี่ยวข้องกับประเทศรัตติกาลที่ว่าหรือไม่?

 

“หรือเสียงที่เราได้ยินจะเป็นพลังจากสมุดบันทึกอันทีโกนัส? เสียงคร่ำครวญของหนึ่งในสมาชิกตระกูลอันทีโกนัสเมื่อพันปีก่อนอย่างนั้นหรือ?

 

“แล้วเฟรเกีย… ฟราเกีย? หมายถึงอะไร?

 

“เป็นคำถามที่น่าสนใจ… หากประเมินจากความลึกลับของสมุดบันทึกและการครอบครองของวิเศษต้องห้ามรหัส 2-049 มีความเป็นไปได้สูงว่า ตระกูลอันทีโกนัสจะมีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอดีต อาจเป็นตระกูลผู้วิเศษใหญ่ลำดับต้นๆ ของทวีปเหนือ

 

“ชักสงสัยแล้วว่า พวกมันถือครองโอสถเส้นทางใดไว้? เส้นทางสมบูรณ์หรือไม่?

 

“การที่เราพบว่าสมุดบันทึกอันทีโกนัสตกอยู่ในมือรีเอล·บีเบอร์ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าตกใจก็จริง แต่ก็ปราศจากสัญญาณการถูกชักจูงโดยใครบางคน

 

“ชักน่าสงสัยว่า ชะตาชีวิตของเราถูกผูกติดกับสมุดบันทึกเล่มนั้นจริงหรือ?”

 

 

ข้อสงสัยทั้งหมดของไคลน์ถูกเขียนลงบนแผ่นกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า ทุกคำถามจะถูกวิเคราะห์สาเหตุและหาคำตอบอย่างละเอียด

 

ภาษาจีนกลางถูกขีดเขียนลงบนกระดาษสี่แผ่นเต็ม ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

 

ฉึบ

 

ไคลน์สลับหยิบหน้าแรกขึ้นมาอ่านทวนใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ บางครั้งใช้ปากกาขีดเน้นในส่วนสำคัญ บางครั้งก็เขียนเพิ่มเข้าไปและอ่านทวนซ้ำทั้งประโยค

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จันทร์แดงฉานด้านนอกถูกเมฆมืดปกคลุมจนลับตาชั่วขณะ

 

ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกบนโต๊ะขึ้นมาและเปิดฝาสำรวจเวลาครู่หนึ่ง ก่อนจะวางลง

 

ถัดมาเป็นการดึงลิ้นชักออกและก้มหยิบกล่องไม้ขีดไฟ ไคลน์จุดไม้ขีดหนึ่งก้านพร้อมกับนำเปลวเพลิงไปลนขอบปึกกระดาษทั้งสี่แผ่น

 

เพลิงส้มลุกลามทั่วแผ่นกระดาษรวดเร็ว

 

ไคลน์ขยับมือข้างที่ถือกระดาษไปวางเหนือถังขยะใกล้ตัว

 

ขี้เถ้าค่อยๆ ร่วงหล่นลงถัง

 

จนกระทั่งเหลือเพียงมุมกระดาษส่วนสุดท้าย มันบรรจงคลายปลายนิ้วที่คีบอยู่ ปล่อยให้เศษกระดาษที่เหลือหล่นลงถังขยะโดยสมบูรณ์

 

ในเมื่อไดอารีจักรพรรดิโรซายถูกเขียนด้วยภาษาจีนกลาง หากลุงนีลล์หรือหัวหน้าดันน์ทราบว่ามันมีเอกสารที่เขียนในภาษาเดียวกันเก็บไว้กับตัว ไคลน์คงมิอาจหาคำตอบใดไปอธิบายได้

 

และในโลกที่ผู้วิเศษสามารถเข้าฝันคนอื่นได้ตามใจชอบ คงไม่ดีแน่หากตนเขียนความลับของตัวเองเป็นภาษาโลเอ็น ฟุซัค หรือเฮอร์มิส

 

ดังนั้น การเขียนด้วยอักษรจีนกลางก็เพื่อเข้ารหัสความลับไว้ และต่อให้มีใครแอบอ่านความฝัน ไคลน์ก็สามารถอธิบายได้ว่า ตนพยายามถอดรหัสไดอารีจักรพรรดิโรซายอย่างหนักจนเก็บเอาไปฝันถึง

 

ดังนั้น เมื่อสรุปเสร็จสิ้นก็ต้องทำลายหลักฐานทิ้งโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยสำหรับสืบสาวมาถึงตัว

 

การทบทวนความรู้และหาข้อสรุปของโลกปัจจุบัน ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาตัวรอด มันจะหมั่นกระทำเช่นนี้ต่อเนื่องทุกสัปดาห์เพื่อไม่ให้รายละเอียดเล็กน้อยตกหล่น

 

เมื่อกระดาษสี่แผ่นกลายเป็นซากถี้เถ้าโดยสมบูรณ์ ไคลน์หยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาเขียนหัวเรื่อง :

 

“เรียนอาจารย์ที่เคารพ…”

 

มันต้องการใช้ความรู้ความสามารถของศาสตราจารย์เคว็นติน·โคเฮ็นในการสืบหาร่องรอยของเทือกเขาโฮนาซิส

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด