ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 52 : ผู้ชม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 54 : ลูกค้าดูดวงคนแรก

ราชันย์เร้นลับ 53 : ผู้สดับ


ราชันย์เร้นลับ 53 : ผู้สดับ

 

เรือไม้โบราณสามเสากระโดงกำลังแล่นผ่านผืนทะเลที่ถูกปกคลุมด้วยพายุสุดบ้าคลั่ง

ตัวเรือไม่มีความเร็วสูงหรือขนาดใหญ่โต ท่ามกลางสภาพอากาศโหดร้ายคล้ายกับวันสิ้นโลก เรือไม้ที่ลักษณะบอบบางราวกับใบไม้ปลิวลอยจากต้นกำลังแล่นผ่านคลื่นสมุทรไปอย่างเนิบนาบไร้ภัยอันตราย ไม่มีสัญญาณการโยกเอนแม้แต่น้อย

 

อัลเจอร์·วิลสันยืนตามลำพังบนดาดฟ้าเรือไม้โบราณ สายตาจ้องมองคลื่นยักษ์ที่กำลังก่อตัวสูงคล้ายขุนเขา มันกำลังขบคิดในสิ่งใด คงไม่มีใครทราบได้นอกจากตัวมัน

 

“จะวันจันทร์อีกแล้วสินะ…”

 

อัลเจอร์พึมพำ

 

จันทร์คือวันแห่งพระแม่ธรณี เป็นจุดเริ่มต้นข้างขึ้นข้างแรมระลอกใหม่ซึ่งส่งผลต่อการเดินเรือ

 

ทว่า สำหรับอัลเจอร์·วิลสัน วันจันทร์ยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่ง มันคือวันนัดหมายชุมนุมไพ่ทาโร่ต์บนมิติสายหมอก

 

อย่างน้อย เราก็ไม่กลายเป็นคนเสียสติ…

 

ขณะยืนมองท้องทะเลด้วยสายตาเหม่อลอย ลูกเรือที่มีเพียงน้อยนิดคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้และพร้อมกับไต่ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

 

“ท่านบิชอป พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ใดกันหรือ?”

 

อัลเจอร์กวาดสายตามองทะเลรอบตัวหนึ่งหน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม

 

“จับกุม‘ผู้สดับ’แห่งชุมนุมแสงเหนือ”

 

 

พายุเริ่มสงบลง แทรกแทนที่ด้วยหมอกควันสีเทาเต็มบรรยากาศ เรือไม้ประหลาดซึ่งไม่เข้ากับยุคสมัยลำหนึ่งแล่นท่องไปบนคลื่นราบเรียบ บนเรือมีปืนใหญ่เรียงรายหลายกระบอก

 

เด็กหนุ่มราวแปดเก้าขวบ ผมสีเหลืออ่อน สีหน้าท่าทางกำลังหวาดกลัว รอบตัวมันเต็มไปด้วยกลุ่มโจรสลัดมากหน้าหลายตา บ้างกำลังเมามายไปกับเบียร์ บ้างกำลังเหวี่ยงเชือกเล่นอย่างไร้จุดหมาย และบ้างชกต่อยกันเองด้วยกำปั้นเปลือยเปล่า

 

เด็กน้อยหันไปมองชายชุดคลุมดำที่กำลังยืนภายใต้เงามืด มันไต่ถามด้วยเสียงค่อย

 

“ท่านพ่อ พวกเรากำลังจะไปไหนหรือ?”

ห้าวันก่อนคือวันแรกที่มันได้พบบิดาบังเกิดเกล้า บิดาผู้เรียกตัวเองว่านักผจญภัย

 

หากไม่เพราะภาพวาดสีน้ำมันที่มารดาเหลือทิ้งไว้ หากไม่เพราะสถานรับเลี้ยงเด็กจำเป็นต้องปล่อยตัวเพราะมีหลักฐานครบครัน มันไม่เคยมีความคิดที่จะไปจากเมืองเกิดแม้แต่น้อย อีกฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า‘บิดา’นั้นมิได้แตกต่างอะไรจากคนแปลกหน้า

 

ชายปริศนายังคงยืนในเงามืด มันเพียงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

 

“แจ็ค พ่อจะพาลูกไปยังดินแดนแห่งเทพ ที่นั่นมีอาศรมศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระผู้สร้างเคยอาศัยอยู่”

 

“อาณาจักรเทพหรือ? แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างเรามิอาจย่างกรายเข้าอาณาจักรเทพได้ นอกเสียจากจะได้รับความกรุณา…”

 

แจ็คตัวน้อยถูกสอนสั่งอย่างดีจากผู้เป็นมารดา มันมีความรู้ติดตัวพอสมควร หลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากปากบิดา เด็กหนุ่มทั้งประหลาดใจและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน

 

บุรุษในเงามืดยังคงยืนที่จุดเดิม มันมีโครงสร้างใบหน้าลุุ่มลึก ปาก จมูก โหนกแก้มนูนลึกเด่นชัด เป็นใบหน้าที่พบได้ไม่บ่อยนัก ยากจะลืมลงหากเคยเห็นไปแล้วครั้งหนึ่ง ราวกับเป็นปฏิมากรรมแกะสลักสุดปราณีตจากช่างฝีมือ

ชายปริศนายกมือขึ้นป้องหู มันขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าคล้ายกับกำลังตั้งใจฟังบางสิ่ง

 

“แจ็ค ลูกเข้าใจผิดแล้ว คำว่ามนุษย์ธรรมดานั้นไม่ถูกต้องสักเท่าไร พระผู้สร้างได้ให้กำเกิดทุกสรรพสิ่งบนโลก หมายความว่ามนุษย์ทุกคนเกิดจากพระผู้สร้าง และล้วนมีความเป็นเทพอยู่ในตัว เพียงแต่มีมากน้อยไม่เท่ากัน หากมีมากหน่อยจะถูกยกระดับกลายเป็นเทวทูตหรือนางฟ้า เจ็ดเทพจอมปลอมที่ผู้คนเคารพศรัทธาเป็นเพียงเทวทูตและนางฟ้าที่ทรงพลังกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อย

 

“ดูอย่างพ่อสิ พ่อได้ยินคำสอนจากพระผู้สร้างโดยตรง อา…! นี่คือสาสน์จากพระเจ้า!

 

“ชีวิตมนุษย์คือการเดินทางของวิญญาณ เมื่อวิญญาณเดินทางไปยังที่ใหม่และสั่งสมประสบการณ์จนแข็งแกร่งขึ้น มนุษย์ทุกคนสามารถคนห้าความเป็นเทพในตัวพบ หรือแม้กระทั่งหลอมรวมความเป็นเทพจากภายนอกเข้ากับดวงวิญญาณ…”

 

แจ็คน้อยมิอาจเข้าใจประโยคซับซ้อนที่แฝงปรัชญาของผู้เป็นบิดา มันทำเพียงส่ายศีรษะ ก่อนจะเอ่ยปากไต่ถามเรื่องถัดไปที่เคยพลาดโอกาสถามในครั้งก่อน

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่า พระผู้สร้างคือผู้ให้กำเนิดโลกใบนี้ จากนั้นก็แบ่งร่างกายตนเองกระจัดกระจายออกเป็นหลายส่วน พระผู้สร้างมิได้อาศัยอยู่บนโลกตั้งแต่แรก ท่านคือทั้งหมดของโลก แล้วเหตุใดท่านพ่อถึงบอกว่า มีอาศรมศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้สร้างเคยอาศัยอยู่?”

 

นับเป็นตรรกะที่คมคายสำหรับเด็กวัยแปดถึงเก้าขวบ

 

ชายปริศนาผู้มีใบหน้าคล้ายรูปั้นแกะสลักถึงกับผงะไปชั่วครู่ มันแสร้งเบือนหน้าหนีราวกับไม่ได้ยินคำถามจากเด็กน้อย ทำทีเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบที่ไม่มีใครได้ยิน

 

ทันใดนั้น มันทรุดคุกเข่าลงกับพื้นดาดฟ้าเรือ ผิวหนังบางส่วนถูกแสงแดดส่องกระทบ เผยให้เห็นวัตถุประหลาดสีครามปนดำที่ปกคลุมผิวหนังหลายจุด

 

มือทั้งสองกุมขยำเส้นผมและหนังศีรษะรุนแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวเจ็บแปลบ ปากเปล่งเสียงตะโกนแหบพร่า

 

“พวกมันโกหก!”

 

 

หลังเสร็จมื้อเที่ยง ลุงนีลล์ให้สัญญาว่า หากมีโอกาสได้ไปคราวหน้า ตนจะพาไคลน์ไปยังตลาดมืดค้าของวิเศษด้วยกัน

 

ชายหนุ่มมุ่งหน้ากลับบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ ท่าทีไม่เร่งร้อน มันกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรทำสิ่งใดดี ระหว่างนั่งอ่านเอกสารโบราณและทบทวนวิชาเร้นลับ หรือรีบออกไปสวมบทบาทเป็นนักทำนายที่สโมสรพยากรณ์ ก่อนที่ดันน์·สมิทจะพบตัวเข้าและขัดขวางไม่ให้กระทำ

 

ทว่า ก่อนตัดสินใจได้เด็ดขาด ดันน์·สมิทเดินเข้ามาในสำนักงานพอดิบพอดี มันสวมเสื้อกันลมสีดำตัวเก่งและหมวกทรงกึ่งสูงเหมือนทุกครั้ง

 

“หัวหน้า มีความคืบหน้าบ้างไหม?”

 

ไคลน์ไต่ถามถึงความเป็นไปของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส สีหน้าเจือความกังวลหลายส่วน

 

ปราศจากท่าทีอิโรยบนสีหน้าของดันน์ มันชำเลืองนัยน์ตาเทามองไคลน์ก่อนจะตอบ

 

“พวกเรายืนยันได้ว่า สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสอยู่ในมือรีเอล·บีเบอร์อย่างแน่นอน เพียงแต่เบาะแสทั้งหมดกลับขาดหายไปกลางคันอย่างน่าฉงน

 

“ผมได้แจ้งเหยี่ยวราตรีทุกสาขาผ่านโทรเลขไปแล้ว พวกเขาถูกมอบหมายภารกิจให้ตรวจตราท่าเรือและสถานีรถจักรไอน้ำเข้มงวดเป็นพิเศษ

 

“ภาพเหมือนของคนร้ายถูกส่งจดหมายไปในช่วงบ่ายของเมื่อวาน อีกไม่นานคงถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ใหญ่หลายฉบับ”

 

ถ้าโลกนี้มีโทรศัพท์ เครื่องแฟ็กซ์ กล้องวงจรปิด รวมถึงฐานข้อมูลกลางก็คงจะดี…

 

น่าเสียดาย ตนพอจะใช้งานสิ่งเหล่านั้นเป็นบ้างในระดับพื้นฐาน แต่กลับปราศจากความรู้ในการสร้างโดยสิ้นเชิง…

 

ไคลน์ถอนหายใจตำหนิตัวเอง

 

“แต่อย่างน้อย พวกเราสามารถพูดได้เต็มปากว่าพบเบาะแสของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสแล้ว และทั้งหมดเป็นผลงานสำคัญของคุณ แต่แน่นอน ยังต้องรอผลการสืบสวนเพิ่มเติมประกอบอีกเล็กน้อย

 

“จริงสิ… ผมส่งโทรเลขร้องขอของวิเศษต้องห้ามหมายเลข 2-049 ไปยังมุขมณฑลเขตเบ็คลันด์แล้ว มันเคยเป็นของวิเศษอันตรายประจำตระกูลอันทีโกนัสมาก่อน สามารถช่วยพวกเราระบุได้ว่า รีเอล·บีเบอร์เป็นหนึ่งในทายาทตระกูลอันทีโกนัสหรือไม่”

 

ของวิเศษต้องห้ามระดับสอง…

อันตรายปานกลาง… ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังพอสมควร

 

ไคลน์นึกอยากถามถึงความสามารถพิเศษ และอันตรายที่ผู้ใช้พึงระวัง แต่ชายหนุ่มพลันนึกได้ว่า ตนยังไม่มี‘สิทธิ์’มากพอที่จะเข้าถึงข้อมูลลับของโบสถ์

“ขอให้เทพธิดาอวยพรพวกเรา”

 

ไคลน์ทำสัญลักษณ์สี่จุดที่หน้าอก

 

ดันน์ผลักประตูห้องทำงานเข้าไป ก่อนจะกล่าวพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

 

“เทพธิดาคอยปกป้องพวกเราเสมอ…

 

“ไคลน์ ถ้าคุณไม่เลือกโอสถนักทำนายในคราวก่อน ด้วยความดีความชอบครั้งล่าสุด คุณจะมีแต้มสะสมมากพอสำหรับเลือกเดินบนเส้นทางผู้ไร้หลับ และกลายเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเหยี่ยวราตรีเต็มตัว…

 

“เฮ่อ… ด้วยความสัตย์จริง ผมค่อนข้างเสียดายกับสิ่งที่คุณเลือก อย่างน้อยผู้เก็บซากศพ ถึงชื่อจะไม่น่าอภิรมย์นัก แต่คุณก็ได้เห็นพลังของดาลี่ย์ไปแล้ว ผู้สื่อวิญญาณมีประโยชน์ที่หลากหลาย

 

“หรืออย่างน้อยก็ผู้ส่องความลับก็ไม่เลว ลุงนีลล์จะคอยเป็นที่ปรึกษาและช่วยลดโอกาสคลุ้มคลั่งให้คุณได้”

 

เกี่ยวกับคำอธิบายที่มันเลือกนักทำนาย ชายหนุ่มเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะดันน์ไม่เคยไต่ถาม

 

มันเรียบเรียงคำพูดก่อนตอบ

 

“แต่ไหนแต่ไร ผมมีตัวเลือกในใจแค่สองข้อเท่านั้น คือผู้ส่องความลับและนักทำนาย สองเส้นทางดังกล่าวเป็นผู้วิเศษสายสนับสนุนที่ไม่ต้องเผชิญศัตรูซึ่งหน้า คุณก็รู้ว่าผมเป็นพวกปอดแหก…

 

“แต่หัวหน้ากับลุงนีลล์เคยกล่าวว่า ศาสตร์เร้นลับ ยิ่งสงสัยมากก็ยิ่งอันตราย ผมจึงระแวงในเส้นทาง‘ผู้ส่องความลับ’ ว่าอาจส่องพบสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า

 

“ดังนั้น ด้วยนิสัยรักตัวกลัวตายของผม ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่จึงเป็นนักทำนาย คงเป็นความขี้ขลาดกระมัง ที่ดลบันดาลให้ผมเลือกเส้นทางนี้”

 

“...ผมขอยอมรับว่า คำอธิบายของคุณสมเหตุสมผลมากกว่าที่ผมจินตนาการไว้”

 

ดันน์ฉีกยิ้มขณะนวดคลึงขมับ

 

มันเบือนหน้ามองไคลน์เล็กน้อย ก่อนจะใช้นัยน์ตาเทาสำรวจหัวจรดเท้า

 

“ถึงเวลาขยายขอบเขตงานแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องตระเวนไปมาระหว่างบ้านเวิร์ชและถนนกางเขนเหล็กอีก เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ บ้าง เผื่อว่าจะเกิดเดจาวูและสัมผัสถึงสมุดบันทึกหรือรีเอล·บีเบอร์ได้”

 

“ครับผม”

 

มันหมดภาระไปอีกหนึ่งเรื่อง

ชายหนุ่มกล่าวคำอำลากับดันน์·สมิทและหันหลังกลับ ภายในใจกำลังนับถอยหลัง…

 

สาม สอง…

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

ดันน์ส่งเสียงตะโกน

 

ไคลน์หันกลับไปยิ้มหวาน

 

“มีอะไรหรือครับหัวหน้า?”

 

ดันน์กระแอมกลบเกลื่อน ก่อนจะอธิบาย

 

“เอ่อ… ผู้วิเศษสายสนับสนุนใช่ว่าจะปราศจากภัยคุกคาม ต้องมีสักวันที่ปัญหาวิ่งเข้าใส่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แม้นักทำนายจะมีพลังที่ช่วยให้หลบหลีกการปะทะซึ่งหน้าได้ดี แต่การไม่ประมาทคือสิ่งที่ดีที่สุด พยายามลับคมทักษะยิงปืนให้มากเข้าไว้ รวมถึงหมั่นเพิ่มพลังทางกายภาพด้วยการออกกำลังกาย”

 

“กำลังทำอยู่ทุกวันครับ”

 

ไคลน์ชี้นิ้วไปทางห้องรับแขก

 

“ผมไปก่อนนะครับ”

 

“ตกลง… เอ่อ เดี๋ยวก่อน”

 

ดันน์เบรกเป็นหนที่สอง มันทำสีหน้าครุ่นคิด

 

“อืม… บางที ผมควรจ้างครูฝึกศิลปะป้องกันตัวให้คุณ แต่เรื่องนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณกลายเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแล้ว”

 

ไคลน์พยักหน้ารับตามมารยาท จากนั้นก็หันไปถามอย่างระมัดระวัง

 

“มีอะไรอีกไหมครับหัวหน้า?”

 

“ไม่มีแล้ว”

 

เมื่อได้เห็นนัยน์ตาสุดเคลือบแคลงของอีกฝ่าย ดันน์·สมิทรีบส่ายศีรษะยืนยันหนักแน่น

 

“ไม่มีแล้วจริงๆ”

 

ไคลน์เดินผ่านฉากกันกลับมายังห้องรับแขก มันกล่าวคำอำลากับโรแซนและมาดามโอเรียนน่า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสนามยิงปืนเพื่อฝึกซ้อม

 

เมื่อซ้อมเสร็จ ชายหนุ่มเดินทางไปยังสโมสรพยากรณ์ และได้พบกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับสาวสวยนามแอนเจลิก้าอีกครั้ง เธอกำลังก้มหน้าอ่านนิยตสารด้วยท่าทีผ่อนคลาย

 

“ครอบครัว…”

 

ไคลน์อ่านออกเสียงในใจ ด้วยไม้ค้ำในมือซ้าย มันเดินเข้าไปทักทายหล่อนด้วยรอยยิ้ม

 

“สายัณห์สวัสดิ์ครับ มาดามแอนเจลิก้า”

 

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์โมเร็ตติ”

 

โดยไม่เร่งร้อน แอนเจลิก้าวางนิตยสารในมือลง เธอลุกยืนและกล่าว

 

“เมื่อวาน หลังจากคุณกลับไปได้ไม่นาน มิสเตอร์กลาซิสมาที่นี่ เขาเพิ่งหายจากอาการป่วยร้ายแรง”

 

ไคลน์ถอนหายใจโล่งอกขณะยิ้ม

 

“เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แอนเจลิก้าที่แอบสำรวจชายหนุ่มหัวจรดเท้า ลดโทนเสียงลงและไต่ถามด้วยสีหน้าสุดฉงน

 

“มิสเตอร์กลาซิสกล่าวว่า คุณคือที่หมอลึกลับมากๆ  เป็นความจริงรึเปล่าคะ?”

 

อะไรนะ?

 

สายตาไคลน์จ้องมองสตรีเบื้องหน้าไม่กระพริบ สีหน้าแฝงความฉงน เป็นนัยว่ามันได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ผิดไปหรือไม่

 

กลาซิสเห็นตนเป็นหมอไปได้อย่างไร?

 

แม้แต่ตัวเรายังไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อน…

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด