ตอนที่แล้วGE148 ผู้ร่วมทาง [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE150 กายาเก้าจ้างเก้าฉื่อ [ฟรี]

GE149 เห็นแก่ตัว [ฟรี]


เมื่อเห็นหนิงฝานเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำทั้งสามแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง

เรือเหาะเช่นนี้ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำเท่านั้นที่ใช้ได้… เรือเหาะลำนี้สร้างขึ้นจากหยกกระจ่าง โลหะรุ้ง ซึ่งมีความทนทาง นอกจากนี้มันยังบินได้ด้วยความเร็วที่เทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นกลาง ซึ่งระดับของมันใกล้เคียงกับสมบัติวิญญาณระดับสูง

แต่ข่ายอาคมที่ปกคลุมเรืออยู่นั้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ประหลาดใจ… เพราะเป็นข่ายอาคมระดับดวงจิตแรกเริ่ม มีปืนใหญ่เสริมพลัง 12 กระบอกทำให้มีอานุภาพเทียบเท่าอาวุธวิญญาณขั้นสูง ที่ทรงพลังพอจะจะปลิดชีวิตของผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นต้นได้

หนิงฝานเป็นผู้เสริมอานุภาพให้กับเรือเหาะลำนี้ โดยการเอาแร่ที่หายากจากเรือของนิกายเต๋าสวรรค์ และนิกายจี๋หลิง ทำให้เรือแข็งแกร่งและทรงพลังมากขึ้น

เรื่อที่ทรงพลังเช่นนั้นผู้ที่เป็นเจ้าของสมควรเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม แต่เรือลำนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของกลับเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ… การที่ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณมีเรือที่แข็งแกร่ง มีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำเป็นผู้ติดตาม คนผู้นี้ย่อมมีที่มาไม่ธรรมดา

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำของแคว้นซ่งได้ปล่อยแมลงสีเขียวเข้าล้อมเรือ และกระจายตัวกันออก

แมลงเหล่านี้เป็นแมลงติดตาม หากให้พวกมันได้จดจำกลิ่นอายของผู้ใดไว้แล้ว พวกมันจดจำไปตลอดชีวิต ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญอีกฝ่ายจะสืบหาบางคน

เมื่อแมลงเหล่านั้นไม่ตอบสนอง ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำทั้งสามก็ส่านหน้า ลดความหวาดระแวงลงพลางกระซิบกระซาบกัน

“ไม่มี… คนพวกนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับปีศาจบุบผาแดง...”

“อืม… ให้พวกมันผ่านไปได้ บางทีเด็กนี่อาจมีที่มาไม่ธรรมดา… แมลงเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญสองคนซ่อนตัวอยู่ ผู้เชี่ยวชาญสองคนนั้นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม ไม่งั้นแมลงเหล่านี้คงสัมผัสไม่ได้… แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่ควรยั่วยุเด็กผู้นี้”

หนิงฝานไม่ได้ขัดอีกฝ่ายที่กำลังพูดคุย เขาพาชุ่ยหลิงและเย่หลิงชมทิวทัศน์ของแคว้นซ่ง

ลักษณะของแคว้นเยว่ถือเป็นที่ลุ่มน้ำ แต่แคว้นซ่งเป็นป่าและภูเขา ไม่ว่ามองไปทางใดก็จะเห็นภูเขาเป็นจำนวนมาก

ปราณในธรรมชาติของแคว้นซ่งอ่อนจางกว่าแคว้นเยว่ แม้ทั้งสองแคว้นจะถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกัน

“ภูเขาช่างงดงามนัก!” หนิงฝานกล่าว

“แต่ปราณวิญญาณเบาบาง เทียบกับแคว้นเยว่เราแล้วยังด้อยกว่า” เย่หลิงกล่าว

“แม้ภูเขาไม่สูงมาก แต่น้ำกลับน้ำอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน… แม้ปราณภูเขาบางแห่งจะหนาแน่น แต่ไม่ได้หมายความว่าภูเขาลูกนั้นจะดี… แม้คนจะยกระดับพลังสูงส่ง ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นคนดีเช่นกัน”

“ข้านับถือความคิดนายน้อย!” ชุ่ยหลิงกล่าว แววตาเผยความเฉลียวฉลาด เย่หลิงทำท่าเหมือนเข้าใจ แต่นางไม่เข้าใจ

หนิงฝานชี้ไปยังภูเขาแห่งหนึ่งให้พวกนางดู… แม้พวกนางเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ แต่พวกนางยังขาดโอสถให้ยกระดับ ขาดปัญญา ขาดประสบการณ์การต่อสู้ การที่ช่วยเสริมปัญญาให้พวกนางย่อมนับเป็นเรื่องดี

ในเมื่อพวกนางเป็นบ่าวของหนิงฝานแล้ว พวกนางก็ต้องยกระดับตนเอง

ทุกคนได้ยินคำกล่าวของหนิงฝาน จิ่งสั่วและชู่ซวนเชียนสื่อประหลาดใจ แต่นั่นทำให้ทั้งสองนับถือหนิงฝานมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญแคว้นซ่งที่กำลังพูดคุยก็ได้ยินหนิงฝานสั่งสอนสตรีทั้งสองนาง พวกมันตกตะลึงในความรู้แจ้งของหนิงฝาน

อย่างน้อยๆพวกมันก็ต้องใช้เวลา 100 ปีถึงจะมีสติปัญญาเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น กลับยังไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

แรกเริ่ม ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะยอมให้หนิงฝานผ่านไปเพราะศักดิ์ฐานะ

แต่ยามนี้ ชายชราที่ขู่จะจู่โจมเรือเหาะหนิงฝาน กลับแสดงสีหน้าจริงจัง ป้องมือคารวะ

“ก่อนหน้านี้ที่ข้ายั่วยุท่านไป นับว่าไร้มารยาท… ข้าซ่งจวิน...เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด ส่วนสองคนนี้คือสหายข้า ฉิงชานและเทียนหมิง… ไม่ทราบว่าสหายน้อยเป็นผู้ใด?”

ซ่งจวินเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด ไม่มีนิกายใดหนุนหลัง แต่ระดับพลังกลับบรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูง อีกไม่นานจะบรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด… พรสวรรค์ของชายชรานับว่าไม่ธรรมดา การที่จะหยิ่งทะนงและถือดีเช่นนี้ไม่นับเป็นเรื่องแปลก อย่าว่าแต่ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำด้วยกันยังไม่คู่ควรเรียกขานชายชราว่าสหายเต๋า

แต่กับหนิงฝานที่เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ ชายชรากลับสุภาพด้วย ทำให้สหายของมันประหลาดใจ

นอกจากเจ้าของเรือเหาะแล้ว ผู้เชี่ยวชาญของแคว้นซ่งไม่พบผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณในเรือเหาะอีก

“ข้ามีนามว่าหนิงฝาน เป็นผู้เชี่ยวชาญของนิกายกุ่ยเชว่ ที่มาเยือนแคว้นซ่งวันนี้ เพราะหวังจะใช้เป็นทางผ่านเพื่อมุ่งไปยังแคว้นเชิ่ง… ข้าไม่ได้มีเจตนาสร้างความวุ่นวายให้แคว้นเยว่ สหายเต๋าทั้งสามโปรดวางใจ”

“ที่แม้เป็นสหายจากนิกายกุ่ยเชว่… พวกข้าเสียมารยาทแล้ว… สหายน้อยมีแซ่หนิง… สหายน้อยใช่หลานชายของปีศาจทมิฬหนิงหรือไม่?”

“ใช่ ปีศาจทมิฬหนิงคือปู่ของข้า...” หนิงฝานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เมื่อได้ยินว่าหนิงฝานคือหลานของปีศาจทมิฬหนิง สีหน้าพวกมันแปรเปลีย่นใหญ่หลวง

ปีศาจทมิฬหนิง… นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4! ชื่อเสียงของหนิงฝานโด่งดังมาถึงแคว้นซ่ง ในแคว้นซ่งมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ใกล้จะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม แต่น่าเสียดายที่นี่ไม่มีนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 หากไม่เพราะยามนี้สถานการณ์ในแคว้นซ่งไม่สงบ ผู้เชี่ยวชาญของแคว้นซ่งคงเดินทางมายังแคว้นเยว่เพื่อขอให้ปรุงโอสถให้แล้ว

ไม่แปลกที่หนิงฝานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ แต่กลับมีเรือเหาะที่ทรงอานุภาพ ทั้งยังมีสตรีในขอบเขตแก่นทองคำรับใช้

มีเพียงผู้นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 เท่านั้น ถึงจะมีสิ่งต่างๆมากมายให้ผู้เป็นหลานเช่นนี้

ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามมองหนิงฝานด้วยแววตาอิจฉา… พวกมันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูง แต่กลับอิจฉาผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ เรื่องนี้ยากจะเกิด แต่ก็เกิดไปแล้ว

หากพวกมันมีนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 พวกมันก็อาจบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม… แต่หากพวกมันรู้ว่าหนิงฝานเบื้อบหน้าคือปีศาจทมิฬหนิง พวกมันจะตกตะลึงขนาดไหน

หากไม่เพราะภาระหน้าที่ที่ต้องเฝ้าดูแลข่ายอาคม พวกมันคงชักชวนหนิงฝานไปจิบชาเพื่อสร้างความสัมพันธ์

“เช่นนั้น… หากสหายเต๋าหนิงจะมุ่งหน้าไปแคว้นเชิ่ง พวกข้าก็ไม่รบกวน… นี่เหรียญตรา หากแสดงเหรียญนี้ ผู้เชี่ยวชาญของแคว้นซ่งจะไม่ขวางทางท่าน” ชายชรานำเหรียญหยกออกมาแล้วโยนให้หนิงฝาน

หนิงฝานรับเหรียญหยกจากอีกฝ่ายพลางป้องมือคารวะ หากมีมัน เรือของเขาจะไม่ถูกหยุดในแคว้นซ่งอีก

หนิงฝานกล่าวถาม “ข้าขอถามสหายเต๋าได้หรือไม่ ว่าปีศาจบุบผาแดงคือผู้ใด? เหตุใดมันถึงทำให้ผู้เชี่ยวแก่นทองคำขั้นสูงอย่างท่านต้องกังวล… ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับ หากสหายเต๋าไม่อยากบอก ข้าก็ไม่รบกวน”

คำกล่าวถามของหนิงฝานทำให้ชายชราทั้งสามสีหน้าแปรเปลี่ยน ปีศาจบุบผาแดงคือผู้ที่สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับแคว้น

แววตาของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนโกรธเคือง

“ที่พวกข้าต้องกระทำไร้มารยาทไป ก็เพราะเกี่ยวข้องกับปีศาจบุบผาแดง… เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับแต่อาจนำปัญหามาสู่ท่าน แต่ในเมื่อสหายเต๋าหนิงกล่าวถาม ข้าก็จะเล่าให้ฟัง เพื่อให้สหายหนิงระวังตัว”

ชายชราคนนั้นถอนหายใจยาวพลางกล่าว

“ข้าจะกล่าวโดยไม่ปิดบัง ปีศาจบุบผาแดงคือโจรเฒ่า ที่รู้จักกันในนามโจรบุบผา… เป็นเหมือนผู้มีอาคมที่ไม่ธรรมดา ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มันลักพาตัวผู้เชี่ยวชาญสตรีในแคว้นซ่ง เพื่อชิงแก่นหยินไปแล้วมากมาย… มันเป้นผู้ไร้ยางอายอย่างที่สุด! พวกข้าทั้งสามก็ถูกชิงภรรยาและบุตรสาวไป ไม่รู้ว่ายามนี้พวกนางเป็นเช่นใดบ้าง… ข้าได้แต่หวังว่าจะจับตัวมันได้เร็วๆ ข้าจะได้ฉีกมันเป็นชิ้นๆ แต่ถึงอย่างนั้น วิชาอำพรางของมันไม่ธรรมดา ทั้งยังรวดเร็วเป็นอย่างมาก เมื่อ 10 วันที่แล้ว ข้าและสหายเต๋าอีกหลายคนร่วมมือไล่ล่ามัน แม้มันจะบาดเจ็บและหนีไปได้ แต่พวกเราก็ตายไปถึง 3 คน… มันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สหายหนิงที่กำลังจะเดินทางเข้าแคว้นซ่งพร้อมกับสตรีเช่นนี้ อาจตกเป็นเป้าของมันก็ได้”

ซ่งจวินขบฟัน สหายอีก 2 คนของมันก็ไม่ต่างกัน

บุตรสาวและภรรยาของพวกมันทั้ง 3 ถูกจับตัวไป เหตุใดพวกมันจะไม่โกรธแค้น

หนิงฝานประหลาดใจ ที่แคว้นซ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นอยู่

หากเป็นเช่นนี้ ระหว่างการเดินทางหนิงฝานต้องระวัง

การที่โจรบุบผาสามารถฝ่าการป้องกันของผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้แสดงว่ามันไม่ธรรมดาเป็นอย่างาก

“แล้วพลังของมันอยู่ระดับใด?” หนิงฝานขมวดคิ้ว

“สมควรเป็นผู้เชี่ยวชาญกึ่งดวงจิตแรกเริ่ม… อาจเป็นไปได้ว่ามันคือผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่บาดเจ็บสาหัส จนระดับพลังของมันลดลง” ซ่งจวินประหลาดใจ มันสัมผัสได้ว่าหนิงฝานสนใจปีศาจบุบผา หากชักจูงหนิงฝานได้ตามมาหาปีศาจบุบผาด้วยกันได้ ย่อมเป็นประโยชน์ใหญ่หลวง

แม้หนิงฝานจะไม่ทรงพลัง แต่ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับประมุขนิกายอีก 2 คนที่อยู่ในเรือ หากทั้งสองร่วมด้วย คงจับโจรบุบผาแดงได้ง่ายขึ้น

“ข้ามีเรื่องอยากขอร้องสหายเต๋าหนิง ท่านพอจะรั้งอยู่ในแคว้นซ่ง ช่วยพวกข้าตามาหาปีศาจนั้นได้หรือไม่? หากสหายเต๋ายอม พวกข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม” ซ่งจวินกล่าว ผู้เชี่ยวชาญอีกสองคนก็แสดงสีหน้าขอร้อง

จิงสั่วเองก็สนใจ มันเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรม เกลียดพวกคนชั่วเข้าไส้ หากสังหารปีศาจบุบผาแดงได้ ระดับจิตใจของมันจะเพิ่มพูน

แต่ชู่ซวนเชียนสื่อกลับกล่าวกับหนิงฝานด้วยสัมผัสเทพทันที

“เราอยู่ช่วยพวกเขาก่อนเถอะ...”

นางเป็นสตรีที่กล้าหาญ แม้นิกายฝ่ายอธรรมสองแห่งรุมจู่โจมเมืองหนิง นางยังยื่นมือช่วยอย่างไม่หวาดกลัว

คำขอของซ่งจวินและชู่ซวนเชี่ยนสื่อไม่อยากขัดความตั้งใจหนิงฝานได้

เขามีเวลาไม่มาก จึงไม่อยากอยู่หาปัญหาในแคว้นซ่ง

หากปีศาจบุบผาสามารถลักพาตัวสตรีได้โจ่งแจ้งเช่นนี้ หนิงฝานที่ทรงพลังก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้

ดังนั้น หนิงฝานจึงส่ายหน้าปฏิเสธ

“ขออภัยสหายเต๋า ตัวข้ามีธุระสำคัญต้องทำ ไม่อาจล่าช้าได้ แม้ข้าอยากจะช่วยเหลือท่าน แต่คงทำไม่ได้...”

“ฮ่าฮ่า คำขอของข้าคงมากเกินไป รบกวนสหายน้อยแล้ว… เช่นนั้นล่าก่อน...”

ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำทั้งสามถอนหายใจอย่างไร้หนทาง มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ หากก้าวพลาดก็อาจหมายถึงชีวิต

หากไม่เพราะภรรยาและบุตรสาวของทั้งสามถูกจับตัวไป พวกมันคงไม่รู้ว่าปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหน เพราะผู้ที่ไล่ล่าพวกมันย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต

ในเมื่อหนิงฝานไม่ยอมช่วย พวกมันก็ไม่อาจทำอันใด การได้สานสัมพันธ์กับหลานของปีศาจหนิงย่อมถือเป็นเรื่องดีแล้ว

พวกมันทั้งสามป้องมือคารวะ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงหาไปเพื่อตามหาปีศาจตนนั้น

หลังจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสามจากไป แววตาหนิงฝานเป็นประกาย พลางนำชุ่ยหลิงและเยว่หลิงกลับเจ้าเรือ

ภายในเรือ… ชู่ซวนเชียนสื่อขมวดพลางมองหนิงฝาน เมื่อเห็นผู้เดือดร้อนตรงหน้า แต่กลับไม่ยื่นมือช่วย นางไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ปีศาจบุบผาแดงก่อเรื่องขนาดนี้ แต่เจ้ากลับไม่ช่วยพวกเขา เจ้ามีนเห็นแก่ตัว!”

“เห็นแก่ตัว… ก็ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรม อย่าลืมว่าข้าฝึกฝนด้วยวิชาขัดเกลาผสาน ดูดซับพลังจากสตรี เทียบกันแล้วข้าก็ไม่ต่างจากปีศาจตนนั้น เห็นแก่ตัว...ฮ่าฮ่าฮ่า แต่หากคนรักของข้าเป็นผู้โชคร้าย ไม่ว่ายังไงข้าก็จะใช้วิธีเห็นแก่ตัวและไร้ยางอาย… ข้าจะบอกเจ้าให้ ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาแล้ว ข้าไม่อาจเสียเวลาที่นี่ได้...” หนิงฝานหลับตา

“เจ้า! เจ้าจะเสียเวลามากขนาดนั้นเลยหรือไง!” นางทำสีหน้าไม่พอใจแล้วกลับเข้าห้องทันที

นางรู้ว่าหนิงฝานตัดสินใจถูก แต่นางก็หวังให้หนิงฝานลดความเห็นแก่ตัวและตามใจนางบ้าง

แต่เหตุใดนางต้องโกรธหนิงฝาน? เห็นใดเวลานางเห็นคนอื่นเห็นแก่ตัวถึงไม่สนใจ… เหตุใดเป็นเช่นนี้ เหตุใดยามที่เห็นหนิงฝานเห็นแก่ตัว นางถึงต้องไม่พอใจ

เห็นแก่ตัวคือสิ่งผิดจริงหรือ?

แม้หนิงฝานปฏิเสธ แต่เหตุใดนางไม่ไปช่วยแคว้นซ่งเพียงลำพัง? เหตุใดนางยังเลือกที่อยู่ในเรือเหาะ?

หรือเป็นเพราะนางก็เห็นแก่ตัว? หากเป็นเช่นนั้น นางคงถูกหัวเราะเยาะ

600 ปีที่นางฝึกตน นางทั้งเจ็บปวด ร่ำไห้กับเหตุการณ์ต่างๆ แต่ยามนี้นางกลับไม่เป็นเช่นนั้น

หนิงฝานเห็นแก่ตัว… หากเกิดพบอันตรายขึ้นมาจริงๆ… เขาจะกลับมาช่วยนางหรือไม่? หรือจะยืนดูอยู่เฉยๆ?

ความรู้สึกเหล่านั้นได้ปรากฏขึ้นมาใจของนาง

นางไม่เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น นางสับสน

“เหตุใดเขาต้องเร่งฝึกฝนยกระดับพลัง… เขาอายุเพียง 19 ปีแต่กลับบรรลุกึ่งแก่นทองคำ ความเร็วระดับนี้ไม่เป็นสองรองใครในโลกพิรุณ อีกอย่าง เขายังสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้… แต่ถึงอย่างนั้นเขายังรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งไม่พอ ข้าเองก็ไม่เคยถามว่าเหตุใดเขาต้องไปทะเลไร้สิ้นสุด… เหตุใดเขาต้องการเวลามากขนาดนั้น”

“หรือข้าจะไปถาม?”

เมื่อครู่นางเพิ่งทะเลาะกับหนิงฝาน หากจะไปถามคงไม่เหมาะ

นางลังเลอยู่นานก่อนจะหยิบขลุ่ย ผลักประตูออกจากห้อง มุ่งตรงไปยังดาดฟ้าเรือ

ยามนี้เป็นยามย่ำค่ำ หนิงฝานยืนชมตะวันลับขอบฟ้า สายลมพัดชายอาภรณ์ปลิว ดูราวกับโดดเดี่ยว

ในขณะที่เขากำลังขบคิดอยู่นั้น ชู่ซวนเชียนสื่อก็เดินเข้ามา กระตุ้นให้สัมผัสรับรู้ของเขาทำงาน เฉกเช่นสัตว์ป่าที่สัมผัสระวังที่ไม่ธรรมดา แม้จะเกิดการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะรับทราบ

ช่างเป็นการระมัดระวังที่ดี ยิ่งอยู่ในสถานที่อันตราย ยิ่งเป็นการฝึกฝนสัมผัสรับรู้และจิตใจ

นางสงสัยว่าหนิงฝานเผชิญสิ่งใดมา ถึงทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งขนาดนี้

หนิงฝานยังคงเป็นปริศนาสำหรับนาง แต่ในช่วง 600 ปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกให้กับบุรุษ

“เจ้ามาเป่าขลุ่ยให้ข้าฟังหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาซะแล้ว” หนิงฝานหัวเราะพลางกล่าว แต่เขาไม่ได้หันหน้ากลับไป… นางรู้สึกราวกับเสียงหัวเราะนั่นไม่ได้มาจากใจ

“วันนี้ข้าไม่เป่าขลุ่ย… ข้าขอถามเจ้าได้หรือเปล่า?” นางกล่าวด้วยอารมณ์ที่เหมือนกับการลงดาบสังหารสังหารมนุษย์เป็นครั้งแรก

“อืม?” หนิงฝานประหลาดใจ เดิมทีเขาคิดว่านางจะตำหนิ

“เหตุใดเจ้าถึงต้องการเวลามากขนาดนั้น… เหตุใด...เจ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจ...”

“เหตุใด? ถามก็ดีแล้ว ข้าเดินทางไปยังภูเขาห่างไกล เดินทางไปยังนิกายเทียนหลีโม่ เดินทางไปยังภูเขาจันทราเยือกแข็ง เพื่อฟังเสียงพิรุณและขบคิดถึงสิ่งที่เจ้าถาม… ในที่สุดข้าก็เข้าใจ...”

รอยยิ้มบนใบหน้าหนิงฝานหายไป

“ถึงชีวิตของเจ้าจะยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าก็มีผู้อาวุโสคอยปกป้องอยู่ห่างๆ... แต่ในบางครั้ง เจ้าอาจหวาดกลัวและหนีไป”

“หากเจ้ามีศัตรูที่แม้เป็นเทพกษัตริย์พิรุณก็ยากจะต่อกร มันผู้นั้นจะมาเยือนที่นี่ในอีก 100 ปีข้างหน้าเพื่อสังหารอาจารย์เจ้า เจ้าก็คงจะยกระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้...”

“หากเจ้าเคยเข้าใจผิด บางทีเจ้าอาจไม่แยแสสนใจ… หากเจ้าไม่ใส่ใจ เจ้าอาจกลายเป็นคนใจร้าย… หากมีผู้คนย่ำยีนับร้อย เจ้าอาจก้าวเข้าสู่เส้นทางของปีศาจ… และหากเจ้ามีสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้อง เจ้าก็จะเห็นแก่ตัวเหมือนกัน...”

“สงครามที่ผ่านมา ข้าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก กลัวว่าหากข้าตาย เมืองหนิง...จื่อเฮ่อ...จะเป็นอย่างไร… ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุอาจารย์ถึงต้องเลือกเดินทางไปโลกกระบี่… เจ้าเองสมควรรู้ว่าการทะลวงขอบเขตแก่นทองคำมันยากขนาดไหน หากจะบรรลุก็ต้องตดความรู้สึก! เจ้าเองสมควรรู้...ว่าหัวใจแห่งปีศาจของข้าคือภรรยา ข้าไม่อาจตัดนางทิ้งได้ ไม่อาจทอดทิ้งนางได้… แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้… เมื่อยามที่ซือซือจากไป ข้าสามารถรั้งนางไว้ได้ สามารถเปลี่ยนให้นางเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงของข้าได้… แต่ข้าทำไม่ลง ทำไม่ลงจริงๆ...”

“สหายเต๋าเอ๋ย… ในชีวิตเจ้า บางคราวเจ้าต้องหวาดกลัว บางคราวเจ้าไม่อาจแยกจาก บางคราวเจ้าไม่อาจหักใจสังหาร บางคราวเจ้าไม่อาจเห็นแก่ตัว ทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้...”

“หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น… หากคนรักของเจ้าถูกพรากไป เจ้าจะทำอย่างไร”

“เจ้าสมควรรู้เต็มอก… ข้าไม่กลัวปีศาจบุบแดงนั่น หากมันกล้าลงมือกับคนของข้า มันต้องตาย!”

แววตาของหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา จ้องมองไปยังยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ พลางปลดปล่อยสัมผัสเทพเข้ากดดัน

บนยอดเขาแห่งนั้นได้ปรากฏบุบผาสีแดงฉาน บนตัวบุบผามีบาดแผลที่โลหิตสีดำไหลริน

เสียงมนุษย์ดังขึ้นจากบุบผาดอกนั้น เป็นเสียงที่ไพเราะราวกับเสียงของสตรี แต่กลับแฝงไปเจตนาสังหารที่แรงกล้า

“ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ แต่เหตุใดมันครอบครองสัมผัสเทพที่ทรงพลังขนาดนั้น… มันไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า แต่มันก็นำกระถางขัดเกลาชั้นยอดมาด้วยมากมาย น่าอร่อยยิ่งนัก”

บุบผาสีแดงกลายร่างเป็นสตรีในอาภรณ์แดง ผู้มีใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัว

ที่เอวของนางมีกระเป๋าสีโลหิตใบหนึ่ง ในนั้นมีเสียงร้องสตรีดังระงมม

ปีศาจบุบผาแดงคือสตรี?

ระดับของนาง… ขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น?!

เรื่องนี้ชู่ซวนเชียนสื่อไม่ทราบ ว่าการที่ตนเพิ่งเข้าสู่แคว้นซ่ง จะถูกปีศาจบุบผาแดงหมายตาเข้าแล้ว

ยามนี้นางกลับจมอยู่กับความรู้สึกที่ซับซ้อนจากคำกล่าวหนิงฝาน

นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานที่ยังเป็นเพียงผู้เยาว์ จะมีความคิดที่ลึกซึ้งและซับซ้อนเช่นนี้

นางคาดไม่ถึงว่าปีศาจหนิงผู้ยิ่งใหญ่เคยจะเคยถูกกระทำย่ำยี

แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงมากที่สุด คือหนิงฝานมีผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกเป็นศัตรู และอีก 100 ปีข้างหน้า มันจะมาสังหารอาจารย์ของเขา!

นางสั่นสะท้าน นางเสียใจที่กล่าวว่าหนิงฝานเห็นแก่ตัว เพราะนั่นไม่ต่างจากนำกระบี่แทงเข้าที่หัวใจของเขา

แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานยังคงยิ้มให้นาง และไม่บอกนางว่าปีศาจบุบผาแดงกำลังจับตาดูอยู่

รอยยิ้มนั้นไร้ซึ่งอารมณ์

“เป่าขลุ่ยให้ข้าฟังที… ข้าอยากฟังเพลงเขาเสี่ยวฉง...”

สายลมเย็นยามราตรีพัดโชย รอบข้างพันลี้โดดเดี่ยวราวกับยืนอยู่เพียงลำพัง จันทราส่องแสงอาบไล้งดงาม

นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงฝานบอกเล่าเรื่องราวของตนให้ผู้อื่นฟัง

เขาคิดว่าตนและชู่ซวนเชียนสื่อคล้ายกันมาก มีบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด แต่นางก็เข้าใจ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด