ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 46 : ภาพเหมือน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 48 : เฮเนส·วินเซนต์

ราชันย์เร้นลับ 47 : ลุงนีลล์ขัดสน


ราชันย์เร้นลับ 47 : ลุงนีลล์ขัดสน

 

ลุงนีลล์ใช้มือลูบขมับก่อนจะกล่าว

 

“เราคงเห็นพ้องต้องกันแล้วใช่ไหม? ว่าเหตุใดพวกเจ้าทั้งสามถึงลงมือฆ่าตัวตาย เช่นนั้นฉันจะไม่กล่าวถึงมัน…

 

“ปัจจุบัน สมุดบันทึกเล่มดังกล่าวตกอยู่ในมือของรีเอล·บีเบอร์เรียบร้อยแล้ว และข้อมูลนี้จะถูกเผยแพร่เป็นวงกว้างในอีกไม่ช้าก็เร็ว

 

“อีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเจ้าจะรอดตายหรือไม่ แต่สมุดก็บรรลุผลหน้าที่ของมันแล้ว คือการนำไปส่งให้ถึงมือรีเอล·บีเบอร์…

 

“ฉันคิดว่า… ไม่สิ ฉันเชื่อว่านับแต่นี้ไป พลังของตัวตนลึกลับภายในสมุดคงไม่สนใจเจ้าอีก เหมือนกับที่เจ้าไม่สนใจมดปลวกบนพื้นนั่นแหละ ฮะฮะ! ตราบใดที่เจ้าไม่ทำตัวเด่นจนเตะตาพลังลึกลับดังกล่าวล่ะนะ

 

“ในไม่ช้า ใบประกาศจับรีเอล·บีเบอร์ของกรมตำรวจจะหลุดไปถึงสายข่าวของลัทธิเร้นลับ พวกมันจะเริ่มระแคะระคายว่ารีเอล·บีเบอร์เกี่ยวพันกับสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เชื่อฉันเถอะ องค์กรลับที่มีอายุยืนยาวขนาดขั้น เครือข่ายของมูลพวกมันอยู่ในระดับน่าทึ่งมาก

 

“ความสนใจจากองค์กรเร้นลับจะมุ่งเป้าไปที่รีเอล·บีเบอร์แทนเจ้า พวกมันจะต้องเร่งมือค้นหาสถานที่หลบซ่อนของบีเบอร์ให้พบก่อนเหยี่ยวราตรีแน่ ด้วยเหตุนี้ เจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไม่ถูกลัทธิเร้นลับคุกคามอีกต่อไป

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย ที่สามารถก้าวออกจากเงามืดในอดีตได้สำเร็จ นับแต่นี้ไป ชีวิตใหม่ของเจ้าจะเป็นการเดินที่สดใสซึ่งเต็มไปด้วยแสงแดดอบอุ่นสาดส่อง”

 

เมื่อลุงนีลล์กล่าวจบ ไคลน์พยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้าง

 

“ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”

 

นับตั้งแต่ถูกส่งข้ามโลกมาที่นี่ จิตใจของมันก็ไม่เคยผ่อนคลายเต็มที่เลยสักครั้ง ราวกับมีเงามืดแอบเฝ้ามองทุกฝีเก้า แต่ปัจจุบัน ความรู้สึกเหล่านั้นไม่หลงเหลืออีกแล้ว…

 

อย่างไรก็ตาม ไคลน์ยังแสดงอาการยินดีได้ไม่เต็มที่นัก ด้วยความรู้สึกบางประการ มันสัมผัสได้ว่า สมุดบันทึกอันทีโกนัสมีสายสัมพันธ์ประหลาดเชื่อมติดกับตนไว้ โดยเฉพาะความบังเอิญที่มีโอกาสพัวพันกับคดีลักพาตัวเข้า ไม่อย่างนั้น เบาะแสของสมุดเล่มดังกล่าวคงหายไปตลอดกาลพร้อมกับรีเอล·บีเบอร์แล้ว

 

ไคลน์ยังแอบหวาดหวั่นลึกๆ ในใจ หากมีสักวันที่พัสดุปริศนาส่งถึงมันโดยไม่จ่าหน้าซอง และเมื่อเปิดออกกลับพบสมุดบันทึกอันทีโกนัสอยู่ด้านใน

 

…ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันต้องทำตัวอย่างไร?

 

ได้แต่หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นไปตามที่ลุงนีลล์คาดเดา ชายหนุ่มแอบสวดภาวนา

หลังจากได้ยินไคลน์ตอบ ลุงนีลล์คิกคัก

 

“เจ้าคงไม่ใช่ผู้เคร่งศาสนาสินะ ไม่อย่างนั้น ในเวลาเช่นนี้ต้องทำสัญลักษณ์จันทร์แดงที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า‘ขอให้เทพธิดาอวยพร’”

 

“มิสเตอร์นีลล์ ตัวคุณก็เหมือนมิได้เคร่งศรัทธาสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นคงไม่อวยพรผมว่า‘ชีวิตใหม่ของเจ้าจะเป็นการเดินที่สดใสซึ่งเต็มไปด้วยแสงแดดอบอุ่นสาดส่อง’หรอกกระมัง?”

 

หลังจากเรียนวิชาศาสตร์เร้นลับภายใต้การสอนของลุงนีลล์หลายวัน ไคลน์เริ่มสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้น จึงกล้าต่อปากต่อคำจิกกัด

 

ทั้งสองประสานสายตาพลางหัวเราะคิกคักเสียงค่อย ก่อนจะทำสัญลักษณ์จันทร์แดงสี่จุดบริเวณหน้าอกพร้อมกัน

 

“เทพธิดาจงเจริญ!”

ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบดังขึ้นเมื่อบานประตูหลักของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทิฬถูกเลื่อนเปิด

 

มาดามโอเรียนน่าผู้เลอโฉมเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยเดรสสีเขียวอ่อน ผมของเธอยังคงม้วนปลายตามสมัยนิยมเหมือนทุกวัน

 

“อรุณสวัสดิ์มิสเตอร์นีลล์ อรุณสวัสดิ์ไคลน์สุดหล่อ”

 

มาดามโอเรียนน่าถือกระเป๋าหนังใบเล็กในมือพลางทักทายด้วยรอยยิ้ม

 

“เป็นวันที่ยอดเยี่ยมอีกวันหนึ่ง สภาพอากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว”

 

“อรุณสวัสดิ์มาดามโอเรียน่า คุณยังสาวและสวยเหมือนกับสิบปีก่อนไม่มีผิดเลยนะ”

 

ลุงนีลล์ทักทายอารมณ์ดี

 

มาดามโอเรียนน่าพลันหันมองค้อน

 

“มิสเตอร์นีลล์ วิธีการชมเชยของคุณก็ยังฟังแล้วน่าหงุดหงิดเหมือนสิบปีก่อนไม่มีผิด”

 

เธอเน้นหนักคำว่า‘สิบปี’

 

“เอ๋? ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

 

ลุงนีลล์หันมองไคลน์ด้วยสีหน้าสุดฉงน มันไม่เข้าใจว่าตนกล่าวสิ่งใดผิดไป

 

เอ่อ… ลุงไม่เคยได้ยินหรอกหรือ? ว่าการเอ่ยถึงอายุของสุภาพสตรีมันเสียมารยาท

 

ในฐานะนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์ย่อมทราบกฏพื้นฐานการสนทนาบนโลกอินเทอร์เน็ต รวมถึงมารยาทที่ควรปฏิบัติต่อหญิงสาว

 

ชายหนุ่มกระแอมเสียงค่อยพลางหันไปกล่าวกับมาดามโอเรียนน่า

 

“อรุณสวัสดิ์ครับ มาดามโอเรียนน่ายังคงสวยเหมือนทุกวัน”

 

“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ คุณบัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยโฮอี้”

 

โอเรียนน่าอมยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวต่อ

 

“พ่อบ้านชราคนดังกล่าวนำเงินมาจ่ายค่าจ้างแล้วนะคะ ตามกฏของหัวหน้า ครึ่งหนึ่งจะถูกหักไว้เป็นเงินสำรองของหน่วย ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง… ตามจริงต้องหารสองระหว่างคุณและเลียวนาร์ดอย่างเท่าเทียม แต่คุณไม่ใช้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ จึงได้รับส่วนแบ่งเพียงสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น ที่เหลือจะถูกแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการคนอื่นอย่างเท่าเทียม ว่างช่วงไหนก็เข้ามาเซ็นเบิกได้เลยนะคะ”

 

“พ่อบ้านคนนั้นจ่ายเท่าไรครับ?”

 

ไคลน์ถามด้วยสีหน้าอิ่มเอม แต่ภายในใจกำลังนึกเสียดายไม่น้อย

 

“200 ปอนด์ถ้วนค่ะ และเขายังฝากข้อความทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า—แด่องค์เทพวายุสลาตัน ผมไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขรวดเร็วเช่นนี้! เหตุใดบริษัทของคุณถึงยังไม่เป็นที่รู้จักอีก? เกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมทหารรับจ้างกันแน่?”

 

มาดามโอเรียนน่าเลียนแบบน้ำเสียงและสำเนียงรัฐใต้ของพ่อบ้านครี

 

ไคลน์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวติดตลก

 

“อันที่จริง… ไม่ยุติธรรมกับคนร้ายลักพาตัวเลยสักนิด”

 

สองผู้วิเศษสามารถไขคดีได้รวดเร็วด้วยพลังแสนสะดวกสบาย คนหนึ่งทำนายหาแหล่งกบดานแม่นยำ ส่วนอีกคนแค่ร้องเพลงกล่อมให้หลับ… ลักษณะเหมือนผู้ใหญ่แกล้งเด็กโดยไม่ออมมือ

 

“พวกมันโชคร้ายเกินไปต่างหาก ผู้กระทำชั่วย่อมต้องถูกเทพทอดทิ้งเป็นธรรมดา”

 

โอเรียนน่ากล่าวติดตลกบ้าง

 

“ฉันจึงอธิบายไปว่า สายสืบของพวกเราบังเอิญโชคดีได้เห็นคนร้ายลักพาตัวเด็กเข้าไปในตึก คดีจึงถูกปิดลงได้รวดเร็ว บริษัทของเรามิได้เก่งกาจขนาดนั้น อย่าได้คาดหวังกันนักเลย ก็แค่บังเอิญโชคดี ไม่แปลกที่จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง”

 

อันที่จริง การพยายามฝืนพูดให้สิ่งหนึ่งกลายเป็นเพียงเรื่องธรรมดา สิ่งนั้นกลับยิ่งพิเศษขึ้นมาโดยพลัน…

ไคลน์พึมพำในใจ สายตาของชายหนุ่มมองตามหลังมาดามโอเรียนน่าที่เดินผ่านฉากกั้นเข้าไปในห้องการเงิน

 

ลุงนีลล์หัวเราะคิกคักก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความอิจฉา

 

“เจ้าเป็นคนหนุ่มที่โชคดีมาก! ทำงานไม่ทันไรก็ได้จับงานใหญ่มูลค่าสองร้อยปอนด์เสียแล้ว”

 

“งานหายากมากหรือครับ?”

 

ไคลน์ถามฉงน

 

ก่อนหน้านี้ กิจวัตรน่าเบื่อหน่ายของตนมีเพียงศึกษาศาสตร์เร้นลับ อ่านเอกสารโบราณ ซ้อมยิงปืน และตระเวนอย่างไร้จุดหมายระหว่างบ้านเวิร์ชและถนนกางเขนเหล็ก

 

“จากบันทึกของโอเรียนน่า บางสัปดาห์พวกเราก็ไม่มีงานเข้ามาเลย และถึงจะมี งานส่วนใหญ่มักได้รับค่าตอบแทนไม่ถึงยี่สิบปอนด์”

 

ลุงนีลล์ใช้มือลูบไล้ศิลาจันทราบริเวณข้อมือพลางถอนหายใจยาว จากนั้นก็หันไปมองไคลน์ด้วยสีหน้าคาดหวัง

 

“ถ้ามีงานหวานหมูแบบนี้เข้ามาอีก อย่าลืมแอบบอกฉันบ้างล่ะ!”

 

ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินถ้อยคำดังกล่าว มันตัดสินใจถามตรงไปตรงมา

 

“มิสเตอร์นีลล์ คุณขัดสนเรื่องเงินอย่างนั้นหรือ? ได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละเท่าไรครับ? พอจะบอกกันได้ไหม ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นอะไร ข้ามไปได้เลยครับ”

 

ลุงนีลล์เอนหลังพิงโซฟาก่อนอมยิ้ม

 

“ไม่ใช้ความลับที่ต้องปิดบังสักหน่อย ฉันทำงานที่นี่มานานแล้ว รายได้รวมจากทั้งกรมตำรวจและโบสถ์ตกอยู่ที่สัปดาห์ละสิบสองปอนด์”

 

“สิบสองปอนด์ต่อสัปดาห์?”

 

ไคลน์โพล่งอย่างตกตะลึง

 

สัปดาห์ละสิบสองปอนด์ หนึ่งปีมี 52 สัปดาห์ หมายความว่าลุงนีลล์ได้รับเงินปีละกว่า 600 ปอนด์!

 

ย้อนกลับเมื่อครั้งไคลน์ได้อ่านหนังสือพิมพ์ทิงเก็นฉบับเช้า รวมถึงหนึ่งสือพิมพ์ทิงเก็นซื่อตรง ทั้งสองฉบับกล่าวตรงกันว่า ทนายความฝีมือเยี่ยมจะมีรายได้ราว 800 ปอนด์ถึง 1,000 ปอนด์ต่อปี

 

แต่นั่นหมายถึงทนายฝีมือเก่งฉกาจที่มีอยู่เพียงน้อยนิด!

 

สำหรับหัวหน้างานของเบ็นสัน รายได้ของมันตกที่ราวหกปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งนับเป็นงานที่ค่อนข้างมั่นคงแล้ว

 

“ค่าตอบแทนจำนวนไม่น้อย แถมพวกเรายังได้รับการละเว้นภาษี เยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”

 

ลุงนีลล์กล่าวอย่างมีความสุข

 

ไคลน์เคยได้ยินจากเบ็นสันว่า ชาวเมืองทุกคนต้องชำระภาษีประเภท E หากมีรายได้สูงกว่าสัปดาห์ละหนึ่งปอนด์

 

ถ้ามีรายได้ตั้งแต่หนึ่งปอนด์ถึงสองปอนด์ อัตราภาษีจะอยู่ที่ 3%  สองปอนด์ถึงห้าปอนด์จะอยู่ที่ 5% ห้าปอนด์ถึงสิบปอนด์จะอยู่ที่ 15%  และยี่สิบปอนด์ขึ้นไปจะอยู่ที่ 20%

 

นอกจากนั้น ไคลน์ยังเคยอ่านข้อมูลการจ่ายภาษีประเภทอื่นจากหนังสือพิมพ์ ภาษีประเภท A จะเกี่ยวข้องกับที่ดิน ที่พักอาศัย รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิดและค่าเช่า ส่วนประเภท B คือภาษีที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกร ประเภท C คือภาษีจากผลกำไรพันธบัตรและกองทุนหุ้น ประเภท D คือรายได้เชิงพาณิชย์ทั้งหมด รวมถึงค่าจ้างจากการทำงาน

 

“เข้าขั้นน่าอิจฉาเลยครับ”

 

ไคลน์อมยิ้ม

 

“แต่ว่า…”

 

ลุงนีลล์เกาศีรษะ

 

“เงินจำนวนเท่านี้กลับไม่เพียงพอสำหรับผู้วิเศษอย่างพวกเรา โดยเฉพาะผู้วิเศษสายพิธีกรรมที่ต้องสิ้นเปลืองวัตถุประกอบพิธีทุกครั้ง ไม่ว่าจะใช้งานจริงหรือฝึกซ้อม”

 

“ทำรายงานขอเบิกไม่ได้หรือครับ?”

 

ไคลน์ขมวดคิ้วงุนงง แม้แต่นักเบิกตัวฉกาจอย่างลุงนีลล์ยังจนปัญญาเชียว?

 

ลุงนีลล์พ่นลมหายใจเหยียดหยัน

 

“มันก็เบิกได้บ้าง แต่มีข้อจำกัดอยู่ พวกเราไม่สามารถเบิกได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการฝึกซ้อมที่ฟังดูฟุ่มเฟือยเกินไป จำนวนวัสดุที่เบิกได้มักไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้เงินตัวเองจับจ่ายไปกับตลาดมืดใต้ดิน”

 

ไคลน์ตกตะลึง มันรีบเอ่ยปากถาม

 

“มีวัสดุพิเศษวางขายในตลาดมืดด้วยหรือครับ? ผมนึกว่าทางโบสถ์ไม่อนุญาตเสียอีก”

 

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไคลน์อยากทราบวิธีครอบครองวัสดุพิเศษมาตลอด!

 

ในฐานะเจ้าขององค์กรเร้นลับที่เพิ่งตั้งไข่ได้ไม่นาน จะให้มันเบิกหรือหยิบยืมจากเหยี่ยวราตรีตลอดเวลาก็คงไม่เหมาะ

 

“ไม่มีทาง แต่ละโบถส์ใหญ่มิอาจควบคุมวัตถุดิบพิเศษเหล่านี้ได้หมด ในทางศาสตร์เร้นลับ มีวัตถุดิบจากธรรมดาหลายชนิดที่ปนเปื้อนพลังวิเศษไว้ในปริมาณเจือจาง แถมบางสิ่งยังมาจากสิ่งมีชีวิตหรือพืชพรรณทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นพิษใบเฮมล็อค ใบมินท์ทอง และวาลนิลาราตรีซึ่งเป็นส่วนผสมของโอสถนักทำนายที่เจ้าดื่ม

 

“พวกมันจะไร้พลังพิเศษเมื่ออยู่ในธรรมชาติ แต่หลังจากนำไปผ่านกรรมวิธีต่างๆ อย่างถูกต้อง พลังพิเศษจะถูกรีดเร้นออกมาอย่างน่าประหลาด

 

“ไม่ว่าจะเป็นการผสม การปั่น การสกัด หรือการหมัก สิ่งเหล่านี้สามารถดึงความพิเศษของวัตถุดิบตามธรรมชาติได้ ทางโบสถ์จึงหมดสิทธิ์ออกมาตรการควบคุมโดยสิ้นเชิง”

 

ลุงนีลล์อธิบายลงลึกรายละเอียด

โดยไม่รอให้ไคลน์ไต่ถาม มันอธิบายต่อ

 

“นอกจากนี้ ไม่เพียงแก่นของสัตว์วิเศษเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ แต่ยังรวมถึงอวัยวะภายในที่เหลือด้วย ตัวอย่างเช่นหมึกลาวา นอกเหนือจากโลหิตที่เจ้าดื่มเข้าไป ยังมีลูกตา แผ่นหนัง หรือกระทั่งหนวดที่ยังมีพลังวิเศษในปริมาณเจือจาง อาจไม่สำคัญเท่าเลือด แต่ก็มีประโยชน์ใช้สอยแตกต่างออกไป

 

“ยิ่งเป็นวัตถุดิบเกรดต่ำ ปริมาณก็ยิ่งมีมาก ทางโบสถ์คงถึงคราวล้มละลายแน่ หากมัวแต่ทุ่มกำลังคนและเวลาคอยกีดกันการซื้อขายวัตถุดิบพิเศษ สิ่งที่พวกมันทำได้ดีที่สุดคือการป้องกันมิให้วัตถุดิบสำคัญรั่วไหลภายในท้องตลาด”

เมื่อกล่าวจบ ลุงนีลล์อมยิ้ม

 

“แต่ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่โบสถ์ไม่ยอมกวาดล้างตลาดมืิด ในสายตาเจ็ดโบสถ์หลัก การมีตลาดเหล่านี้ไว้ย่อมดีกว่าไม่มี ภายใต้สถานการณ์ที่องค์กรลับยังถูกจำกัดไม่หมดสิ้น ตลาดมืดคือแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยรวบรวมเบาะแสองค์กรนอกรีตเหล่านั้น นับเป็นแผนการที่ไม่เลว

 

“แต่แน่นอน เมื่อมีตลาดมืด ก็ย่อมมีการค้าขายผิดกฎหมายจำพวกวัตถุดิบเฝ้าระวังต้องห้าม สิ่งนี้เป็นของคู่กันที่มิอาจหลีกเลี่ยง หากไม่ใช่วัตถุดิบที่อันตรายจนเกินไป ในบางครั้ง พวกเราก็ต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินผ่านไปเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการ”

 

“และเป็นเพราะแต่ละโบสถ์คอยจับตามองซึ่งกันและกันตลอดเวลา ทุกโบสถ์จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวกวาดล้างอย่างผลีผลามสินะครับ”

 

ไคลน์คาดเดา

 

ลุงนีลล์พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเห็นด้วย แต่มันมิได้อธิบายเสริม

 

“ผมเป็นนักทำนาย ในอนาคตคงต้องฝึกฝนศาสตร์พิธีกรรมบ่อยครั้ง คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องซื้อวัตถุดิบด้วยเงินส่วนตัว คุณช่วยพาผมไปดูตลาดมืดที่ว่านั่นสักครั้งได้ไหมครับ?”

 

ไคลน์ขอร้องสมเหตุสมผล

 

ลุงนีลล์เริ่มแสดงท่าทีลังเล

 

“อันที่จริง กลุ่มลูกค้าหลักของตลาดมืดไม่ใช่พวกผู้วิเศษสักเท่าไร ส่วนมากเป็นขุนนางระดับสูงหรือไม่ก็พวกเศรษฐีที่หลงไหลศาสตร์เร้นลับ…

 

“ฉันมีหนี้สามสิบปอนด์ที่ต้องรีบจ่ายคืนโดยเร็ว คงยังแวะไปที่ตลาดมืดไม่ได้จนกว่าจะชำระหนี้เรียบร้อย”

 

“เข้าใจแล้วครับ…”

 

ไคลน์คาดไม่ถึงว่า ผู้วิเศษรายได้สูงอย่างลุงนีลล์จะมีหนี้สินติดตัว

 

ถัดมาครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกล่าวหลังจากไตร่ตรองสักพัก

 

“มิสเตอร์นีลล์ ผมให้ยืมเงินก่อนไหม? เพิ่งได้รับส่วนแบ่งมาสิบปอนด์พอดี”

 

“ฮะฮะ! ของแบบนั้นไม่จำเป็น ฉันจัดการปัญหาของตัวเองได้”

 

ลุงนีลล์พยุงตัวขึ้นจากโซฟาอย่างไม่รีบร้อน

 

“เฮ่อ… สังขารคือปัจจัยเดียวที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถเอาชนะ ร่างกายฉันเริ่มอ่อนเพลียหลังจากเข้าเวรตลอดทั้งคืน… เจ้าอย่าลืมทบทวนบทเรียนที่สอนไปด้วย อ่านเอกสารโบราณที่เตรียมไว้ให้ แล้วพรุ่งนี้จะมาสอนพื้นฐานของศาสตร์พิธีกรรม”

 

“ครับผม”

 

ชายหนุ่มลุกยืนพร้อมกับถอดหมวกคำนับ

 

 

เมื่อหัวหน้าอย่างดันน์·สมิทไม่กลับสำนักงานในช่วงเที่ยง ไคลน์ที่ว่างงานจึงทำทีเดินเตร็ดเตร่ค้นหาสมุดบันทึกอันทีโกนัสไปเรื่อยเปื่อย

 

ในฐานะที่ได้รับเงินสดจำนวนสิบปอนด์ ชายหนุ่มไม่รีรอสิ่งใดอีก ไคลน์รีบมุ่งหน้าไปยังสโมสรพยากรณ์ทันที

 

เงินค่าสมากชิกปีแรกอยู่ในมือของมันแล้ว!

 

เสียงกระซิบที่ได้ยินขณะเข้าฌานและเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณยังคงดังขึ้นเป็นครั้งคราว สร้างความหงุดหงิดกังวลไม่น้อย และนั่นยิ่งทำให้ไคลน์ต้องการรีบทดสอบเทคนิค‘สวมบทบาท’โดยเร็ว

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด