ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 50
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 52

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 51


ตอนที่ 51

หันชูก็คือเพื่อนเฮดฮันเตอร์ที่ฟางม่อเคยบอกว่าเป็นศิษย์เก่าของไอวี่ลีก

พอจบออกมาจากมหาลัยที่มีชื่อเสียงของอเมริกาแล้ว จากนั้นก็ได้ออกมาทำงานเป็นเฮดฮันเตอร์ ในสายตาของคนในประเทศก็เหมือนเด็กเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่ออกมาขายประกันยังไงอย่างนั้น

แน่นอนว่าทุกคนก็มีปณิธานเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะงานอะไรก็ไม่สมควรที่จะดูถูกเหยียดหยาม โดยเฉพาะในต่างประเทศที่เคารพส่งเสริมความสนใจส่วนบุคคล ความร่ำรวยและตำแหน่งหน้าที่การงานนั้นไม่ได้เป็นเป้าหมายที่ทุกคนอยากจะไขว่คว้า ไม่เพียงแค่หันชูที่ประวัติการศึกษาสูงเช่นนี้ แต่งานที่เขาทำกลับถูกคนอื่นมองว่าเป็นงานที่ไม่มีอนาคต ยังมีคนจบปริญญาเอกในมหาลัยที่มีชื่อเสียงอีกมากมายที่ปล่อยวางจากการสู้รบแล้วมาเป็นอาสาสมัครแทน ไม่ใช่ทุกคนจะมีความคิดแบบเดียวกัน ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนข้างตัวเราจะเพี้ยน หรือกล้ามเนื้อตรงไหนมันผิดปกติขึ้นมาจนทำให้คิดเรื่องแปลกๆ?!

คนส่วนมากในประเทศก็จะคิดว่านี่เป็นการไม่เอาการเอางาน แต่ถ้าเป็นต่างประเทศล่ะก็ นี่คือการไล่ตามคุณค่าของตัวเองและความหมายของการมีชีวิต...เมื่อเทียบกับบุคคลต้นแบบอย่างฟางม่อ ในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่หันชูก็คือต้นแบบที่ไม่ดี

ก่อนอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องการเรียนการทำงานของหันชูที่สับสนอลหม่านเลย ยังไงเขาก็เข้ากับสายงานด้านนี้ได้ดีอย่างกับปลาได้น้ำยังไงอย่างนั้น

หลังจากที่ได้ฟังการแนะนำของฟางม่อในครั้งแรก หันชูก็รู้สึกสนใจคนที่มีทักษะมากมายคนนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาเองไม่มีคนดีๆ อยู่ในมือเลยเสียเมื่อไหร่ แต่คนที่ทักษะดีส่วนมากก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถูกลูกค้าใช้งานระยะยาว ก็ไปทำงานที่เสี่ยงอันตราย หลังจากทำไปได้ไม่กี่ปีร่างกายก็ทนรับไม่ไหวไปในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ฟังที่ฟางม่อบบอกว่า คนที่มีทักษะฝีมือมากมายคนนี้ยังเป็นเด็กเนิร์ดด้วย...หันชูรู้ดีว่าฟางม่อไม่ใช่คนที่ชอบพูดโกหก ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายไม่มีใบรับรองคุณสมบัติอะไรเลย เขาก็คิดเสียแล้วว่าอยากจะรับอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในรายชื่อเฮดฮันเตอร์ส่วนตัวแล้ว ต่อมาเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเองก็อยากจะมาทางด้านนี้ แน่นอนว่าคนที่มาตามหาคนมีพรสวรรค์ก็ต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือไป

หันชูไม่ได้จะดูถูกผู้หญิงหรอก แต่เดิมทีเขาคิดว่าคนที่จะสนิทกับฟางม่อได้จะต้องเป็นผู้ชายที่ดูดีเสียอีก เอกสารที่หันชูเอาติดมือมาด้วยก็คงจะต้องทิ้งแล้วแหละ ยังไงงานนี้ก็คงไม่เหมาะกับผู้หญิง...

“...” เย่ซวงที่ได้ยินเสียงตกใจของอีกฝ่ายก็เงียบไปเช่นกัน จากนั้นก็พูดอย่างเอือมระอาว่า “ผู้หญิงรับงานไม่ได้เหรอ?”

หันชูที่ซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่มิดก็พูดขึ้นมาว่า “ช่างเถอะ เป็นผู้หญิงก็ได้” ยังไงใบภารกิจในมือก็หาคนที่เหมาะสมมาทำไม่ได้แล้ว อีกอย่างเก็บคนไว้ก่อน ต่อให้ครั้งนี้ไม่ได้ใช้ก็ยังมีครั้งหน้า “เดี๋ยวตอนบ่ายผมไปหาคุณ คุณพอมีเวลาไหม?!”

ถึงแม้ที่พูดออกมาจะเป็นประโยคคำถาม แต่จริงๆ แล้วน้ำเสียงของหันชูมีความแข็งกร้าวอยู่พอสมควร เดิมทีเขาไม่คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะมีอะไรไม่สะดวก อย่างแรกเขาเคยได้ยินฟางม่อพูดมาก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีงานถึงได้วางแผนจะรับงานจากตัวเอง อย่างที่สองคือนี่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์...

คิดไม่ถึงว่าในชีวิตจะเติมไปด้วยความไม่คาดคิด เย่ซวงยังคงลังเลใจ “...เปลี่ยนวันไม่ได้ใช่ไหมคะ? หรือว่าเปลี่ยนมาเป็นตอนกลางคืนดีคะ?! ฉันบอกคนหนึ่งไปแล้วว่าวันนี้จะไปช่วยดูม้าให้น่ะค่ะ”

“ดูม้า? ก็ว่าวันนี้คนที่ไปเที่ยวดูการแข่งม้าเยอะมาก ผมยังคิดว่า...เดี๋ยวก่อนๆ ที่คุณบอกว่าดูม้าคงไม่ใช่การแข่งขันตอนบ่ายที่สนามม้าชานเมืองใช่ไหม?” หันชูพูดไปครึ่งเดียวอยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ คิดดูแล้วโกรธกลับดีใจขึ้นมา “ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ คุณเป็นคนดูม้าที่กลุ่มเมืองซานหลินหามาใช่ไหมครับ?”

เสียงผู้หญิงในสายนั้นฟังดูแล้วก็มีความนุ่มนวลไพเราะพอตัว ถ้าฟางม่อไม่ได้บอกก่อน เขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกผู้ดีมีเงินแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะซ่อนฝีมือที่เก่งกาจเอาไว้ ในเมื่อดูม้าเป็น...ท่าทางคงจะรู้เรื่องต่างๆ ไม่น้อยเลย?!

คิดมาถึงตรงนี้ หันชูก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เสียงในสายที่ลอยออกมานั้นมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด “อย่างนั้นถ้าถึงเวลานั้นค่อยไปเจอกันที่สนามม้าแล้วกันครับ ขอบอกอะไรอีกนิดนะครับ นักแข่งม้าของเมืองปักกิ่งผมเป็นคนหาให้ ถ้าคุณชนะในการแข่งขันนี้ หลังจากนี้ผมจะให้คุณไปเริ่มอยู่ในระดับ C เลย”

หันชูคิดว่าตนเองให้ผลประโยชน์ไปแล้วไม่น้อย ปกติต่อให้มีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องไปเริ่มต้นทดลองงานที่ระดับ F โดยเรียนรู้งานจากรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มากพอ หลังจากนั้นถึงจะสามารถทำงานคนเดียวได้ แต่นี่เพิ่งเข้ามาก็กระโดดไปอยู่ที่ระดับ C แล้ว จากมุมมองของหันชู นี่ก็ให้เกียรติมากแล้ว

น่าเสียดายที่เย่ซวงไม่เข้าใจช่องทางการเข้าทำงานของที่นี่เลย และเธอก็ไม่รู้เลยว่างานในสายตาของเฮดฮันเตอร์ยังแยกระดับความยากลงไปอีก ดังนั้นพอฟังมาถึงตรงนี้ก็ตกใจ “ชนะการแข่งเหรอ?! ปัญหาคือฉันแค่ดูม้าไม่เกี่ยวกับการแข่งม้านะ แล้วการดูแลม้าก็มีข้อจำกัดอยู่ด้วย...คุณไม่คิดว่านี่มันเกินไปหน่อยเหรอ?!”

“เกินไป...” หันชูสำลัก “ยังไงผมก็ให้โอกาสคุณแล้ว จะคว้าไว้หรือไม่ก็แล้วแต่คุณเลย ผมจะดูแค่ผลลัพธ์เท่านั้น”

นี่ก็ไม่นับว่าจบกันไม่สวยนะ แต่ก่อนที่จะวางสายแน่นอนว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้ข้อสรุปร่วมกัน

พูดตามตรง การที่เย่ซวงไปดูม้าก็เป็นหน้าเป็นตาให้ตัวเอง แต่การที่ตัวเองจะดูม้าที่ดีให้กลุ่มสาวเศรษฐีพวกนี้นั้นกลับเป็นไปได้ยาก ยังไงเย่ซวงเองก็ไม่ได้มีพลังวิเศษวิโสขนาดนั้น เมื่อก่อนพวกเขาอาจจะประทับใในตัวเธอ แต่จะตามแค่เธอคนเดียวก็ไม่ได้

ด้วยข้อจำกัดในการคัดเลือกนี้ เย่ซวงจึงไม่สามารถเลือกม้าที่ดีที่สุดได้ด้วยตัวคนเดียว อีกอย่างเลือกม้าดีมาก็ไม่รู้จะสู้ของปักกิ่งได้ไหม บวกกับฝีมือที่ต่างกันของนักแข่งม้าเองด้วย...

เย่ซวงดูหันชูแล้วก็รู้สึกว่าเขาเจตนาที่จะหาเรื่องกันชัดๆ

ส่วนหันชูก็มองเย่ซวงว่าเธอช่างเลือก จะเอาแต่งานเบาๆ ...โดยสรุปแล้วทั้งสองฝ่ายต่างมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกันสักเท่าไรในตอนแรก

แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ยังไม่ทันที่เย่ซวงจะคิดหาทางแก้เรื่องแพ้ชนะในการแข่งม้า สายของน้องหร่วนก็โทรเข้ามาเสียก่อน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด