ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 38
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 40

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 39


ตอนที่ 39

ฟางม่อแค่จะเอาของมาให้ เพราะตอนบ่ายยังต้องกลับไปบริษัทเพื่อจัดการกับเอกสารอีกกองใหญ่ ดังนั้นหลังจากที่กินข้าวเสร็จจึงขอตัวกลับก่อน

สองสามีภรรยาต่างก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ และก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับเขามากนัก หน้าที่ส่งแขกจึงตกมาเป็นของเย่ซวงไปโดยปริยาย

ตอนที่เดินออกมาจากบ้านเพื่อไปเอารถนั้น ทั้งคู่จะไม่พูดคุยกันเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ และถึงแม้ว่าช่วงเวลาหนึ่งเย่ซวงจะเคยเป็นลูกน้องของฟางม่อมาก่อนก็จริง แต่ด้วยสถานะของตนเองสมัยเป็นลูกน้องจึงไม่สามารถทำตัวสนิทชิดเชื้อกันได้ ดังนั้นตอนนี้หัวข้อสนทนาที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเย่ซวงผู้ชายเท่านั้นแหละ...

ไม่ว่าจะคิดยังไงฟางม่อก็รู้สึกอึดอัด ผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งคุยกันเรื่องแฟนหนุ่มของอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน ถ้าผู้ชายไม่ได้ปัญหาทางอีคิวล่ะก็ อย่างนั้นคงจะมีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือผู้ชายคิดอะไรกับผู้หญิง อย่างที่สองก็คือผู้ชายคิดอะไรกับแฟนหนุ่มของผู้หญิง...แต่ไม่ว่าจะแบบไหนฟางม่อก็รู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ

ฟางม่อไม่ได้อาศัยอยู่ในบริเวณแถวนี้ ยิ่งแวะมาหาในตอนกลางวัน ที่จอดรถก็จะหายาก ทำให้ต้องเดินไกลไปสักหน่อย ตลอดทางที่ไม่รู้จะพูดอะไรมันน่าอึดอัดเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากที่เดินไปอย่างเงียบๆ ระยะหนึ่ง ฟางม่อก็คิดแล้วคิดอีกจนหาหัวข้อสนทนาที่ไม่นับว่าเสียมารยาทได้ในที่สุด “วันนี้ขอบคุณที่เชิญมานะครับ คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือทำอาหารของคุณจะดีขนาดนี้...ได้ยินเสี่ยวเย่พูดว่าคุณวางแผนจะดูแลงานบ้านเองทั้งหมดหลังแต่งงาน คุณไม่คิดที่จะกลับไปทำงานแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำงานหรอกนะคะ แค่เวลาอาจจะมีไม่เท่าเมื่อก่อนน่ะค่ะ” เย่ซวงตอบไปด้วยความระมัดระวังและเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ ตอนนี้ตัวเองยังไม่ได้คิดไว้เลยว่าสภาพอย่างนี้จะสามารถทำงานอะไรได้ แล้วก็ไม่กล้ารับประกันว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้ติดต่อกันอีกหรือเปล่า ดังนั้นอย่าพูดอะไรเยอะจะดีกว่า

ฟางม่อยิ้ม ก่อนจะตอบไปว่า “ด้วยฝีมือของมิสเย่ ไปเปิดร้านอาหารได้เลยนะครับ ค่าห้องก็ประหยัดไปได้แล้ว ไม่คิดจะเช่าหน้าร้านดูสักที่เหรอครับ?”

เมื่อกี้ฟางม่อก็ได้รู้อะไรจากบ้านเย่มาบ้าง ได้ยินมาว่าเย่ซวงผู้ชายกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ ดูก็รู้แล้วว่าคงหางานพิเศษทำไม่ค่อยได้ ถ้าไม่มีรายได้กันทั้งคู่ วันข้างหน้าต้องลำบากเป็นแน่

แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น แล้วก็ไม่คิดจะพูดถึงมันด้วย เพียงแต่พลั้งปากพูดออกไปด้วยความเป็นห่วงในฐานะเพื่อนคนหนึ่งก็เท่านั้น...

ในความคิดส่วนตัวของฟางม่อ การไม่ทำงานนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย ต่อให้ไม่ได้กังวลเรื่องเงินเรื่องทอง แต่ทว่าการไม่ทำงานก็เท่ากับปลีกตัวเองออกมาจากแวดวงสังคม เมื่อทำเรื่องที่ไม่ได้แสดงให้เห็นศักยภาพของตัวเองเลย ก็จะทำให้เกิดความเฉื่อยชา แล้วก็ตามโลกภายนอกไม่ทัน ไหนจะทำให้นิสัยของตัวเองเปลี่ยนไปเป็นจืดชืดและน่าเบื่อ...ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีสังคม ไม่รู้วิธีการรับมือกับคนอื่น ไหนจะอ่านสีหน้าของคนไม่ออกอีก นอกจากโลกสองมิติแล้วก็คงจะไม่รู้ว่าภายในประเทศเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบ้าง...

คำว่าโอตาคุเกิดขึ้นมาได้ยังไง?! เดิมทีมันไม่ได้เป็นคำที่มีไว้ยกย่องชื่นชมเลย

ในฐานะที่ฟางม่อเป็นตัวแทนบุคคลยอดเยี่ยม เขาจึงไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดในการใช้ชีวิตแต่งงานของเย่ซวงมาตั้งแต่แรกแล้ว เขารู้สึกว่าเพื่อนที่ยอดเยี่ยมคนนั้นของตัวเองไม่ควรเอาชีวิตไปไว้ในมือของภรรยา

แต่ว่าตอนนั้นที่ยืนอยู่ด้านหน้าตนเองก็คือเพื่อน ดังนั้นฟางม่อก็เคารพในการตัดสินและไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา แต่วันนี้อยู่ๆ ก็พบว่าคนที่อยู่เคยอยู่ในความดูแลของตนเองยังมีจุดเด่นอีกมากมายที่ยังไม่ได้แสดงออกมา และไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ เมื่อดูจากองค์ประกอบหลายๆ อย่าง คนเคยชินกับการอยู่บนตำแหน่งสูงอย่างฟางม่อ ก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำเล็กน้อยอย่างเกรงใจ

ที่จริงแล้วเย่ซวงเองก็กลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย เธอไม่ได้ขาดเงินเหรอ? แน่นอนว่าขาด

ต่อให้ประหยัดเงินค่าถ่ายโฆษณาไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ว่าต่อไปจะต้องใช้อีกเท่าไร พูดอีกอย่างก็คือเหมือนกับปัญหาที่ฟางม่อคิดไว้นั่นแหละ ถ้าไม่ทำงานเอาแต่อยู่บ้านก็คงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและเจ็บใจน่าดู เธอเองก็ไม่ได้เป็นนักโทษหลบหนีสักหน่อย...

คิดมาจนถึงตอนนี้ เย่ซวงก็ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถามออกมาอย่างระมัดระวังว่า “ที่จริงเรื่องการทำงานพวกเราก็คิดกันไว้บ้างแล้วล่ะค่ะ แต่เพราะฉันกับเขาอยู่ที่เมืองนี้นานๆ ไม่ได้ ก็เลยคุยกันว่าจะหางานที่ไม่ต้องนั่งทำที่ออฟฟิศ...พี่ฟางมีคำแนะนำอะไรไหมคะ?!”

ทำไมทั้งคู่ถึงอยู่ที่เมืองนานๆ ไม่ได้?!

ฟางม่อเกิดความสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามออกมา “ที่คุณหมายถึงคือ SOHO* เหรอ?!”

SOHO ก็นับว่าเป็นคนกึ่งโอตาคุ มีรายได้ก็จริง แต่ว่าไม่มั่นคง และจะตัดขาดกับแวดวงสังคมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของตัวเอง แต่ไม่ได้มีกลุ่มที่แน่นอน ส่วนใหญ่คือมีคนใกล้ตัวที่สนิทอยู่สองสามคนเท่านั้น

พูดกันไปได้สองสามประโยค ก็เดินมาถึงที่ที่ฟางม่อจอดรถแล้ว หลังจากที่ปลดล็อครถแล้ว ก่อนที่ฟางม่อจะเปิดประตูรถเข้าไป ก็ยืนพิงข้างประตูรถแล้วพูดว่า “ความสามารถของเสี่ยวเย่ก็ไม่เลวเลย ทำงานพิเศษเป็นนายแบบก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ส่วนคุณ...ที่จริงแล้วผมคิดว่าทำงานพิเศษเป็นเวลานานก็ไม่ใช่ชีวิตที่มั่นคงจริงๆ หรอกนะ แต่ว่าเธอกับเสี่ยวเย่ดูไม่เหมือนคนธรรมดา ดังนั้นผมจะไม่แนะนำไปมากกว่านี้แล้ว พวกคุณลองคิดกันดูว่ามีงานแบบไหนที่จ้างทำงานที่บ้านบ้าง ถ้าต้องการให้ช่วยก็มาหาผมได้”

แน่นอนว่าฟางม่อไม่ได้บริสุทธิ์ใจ เรื่องเงินทองไม่ใช่เรื่องที่จะยกมาพูดกันง่ายๆ ดังนั้นที่เขาเรียกว่าช่วยก็คือ แนะนำลูกค้าอะไรพวกนี้ให้นิดหน่อย แต่ด้วยความสามารถและคุณสมบัติของเย่ซวงผู้ชายนั้น ก็คงจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เมื่อเวลานั้นมาถึงคนกลางอย่างเขาก็จะได้ผลดีตามไปด้วย

ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับอะไรก็ตาม แต่สำหรับฟางม่อแล้ว แค่คำพูดประโยคสองประโยคก็ไม่ได้เสียอะไรไม่ใช่เหรอ?!

แน่นอนว่าเย่ซวงไม่ได้คิดถึงเรื่องการใช้เส้นสายเลย ถึงแม้คิดได้ก็ไม่ได้สนใจ บางครั้งคำพูดประโยคสองประโยคของคนรวยก็มีพลังมากกว่าคนธรรมดา เธอจึงซาบซึ้งถึงจุดนี้ “อย่างนั้นก็ขอบคุณพี่ฟางมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากมีโอกาสล่ะก็ จะไปหาคุณให้ช่วยแน่นอนค่ะ ฉัน...เดี๋ยวฉันกลับไปปรึกษากับเสี่ยวเย่และพ่อแม่ของฉันก่อนแล้วกันนะคะ”

ฟางม่อพยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะโบกมือบอกลา แล้วหลังจากนั้นก็ขับรถออกไป

*SOHO คือ small officeหรือ home office หลักๆ คือทำงานที่บ้าน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด