ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 36
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 38

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 37


ตอนที่ 37

ระหว่างทางกลับบ้านก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เย่ซวงก็นึกแผนที่จะฝึกฝีมือการเข้าครัวขึ้นมาได้ จึงรีบเลี้ยวไปซื้อผักที่ตลาด

เดี๋ยวนี้ระบบจัดเก็บและกระจายสินค้าสดในประเทศพัฒนาไปเยอะเลยทีเดียว เพียงแค่ไม่รีบไปซื้อสินค้าราคาพิเศษล่ะก็ อันที่จริงในตลาดก็ซื้อของสดได้ไม่น้อยเลย แน่นอนว่านี่มีที่ตลาดระดับประเทศขนาดใหญ่เท่านั้น ถ้าเป็นตลาดเล็กๆ ตามท้องถิ่น ก็คงยากที่จะเลี่ยงเรื่องของไม่ครบหรือไม่สด...

บางคนคิดว่าการทำอาหารเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่หลังจากที่เย่ซวงได้รับความทรงจำสืบทอดมา ก็ชินกันการใช้ข้อมูลตัวเลขมาวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว ฝีมือการทำครัวก็คือการสังเคราะห์จากหลายๆ ด้านนั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น พลังในการจำ พลังสมาธิ พลังผสานความสามารถ พลังในการสังเกต และพลังในการรวบรวมจัดสรร...

คนที่เรียนทำอาหารต่างรู้ว่า ในการเป็นเชฟอย่างแรกคือต้องจำสูตรอาหารให้ได้เสียก่อน อาหารเลื่องชื่อของคนรุ่นก่อน ทุกขั้นตอนต้องครบห้ามขาด เช่น ก่อนเอาเนื้อชิ้นใหญ่ลงน้ำมันต้องแช่น้ำก่อนหรือไม่ เพราะในสุดท้ายแล้วเนื้อสัมผัสที่ออกมามันจะไม่เหมือนกัน ซาลาเปาต้องใส่น้ำเย็นหรือน้ำเดือดในหม้อ?! ระดับความอ่อนนุ่มของหน้าก็มีความต่างกัน

แต่ละเมนูต้องใช้ความร้อนของน้ำมันที่เท่าไร? อุ่นกี่นาทีถึงจะยกกระทะขึ้นได้? ต้องใช้น้ำมันใช้น้ำหรือทำให้แห้ง?!

ถ้ามีขั้นตอนก่อนหลังใดพลาดไป สุดท้ายอาหารที่ออกมาก็อาจจะมีรสชาติต่างกัน

ต่อมาคือ การใช้มีดใช้เตา จะตัดเป็นชิ้นหรือแว่นก็ต้องฝึก จะเขย่ากระทะหรือจับตะหลิวก็ต้องฝึก ไม่ได้สั่งสมประสบการณ์แล้วอยากจะทำเก่ง?! เชฟไม่ตบบ้องหูก็ดีแค่ไหนแล้ว

ไฟอ่อนไฟแรงเท่าไร เวลานานเท่าไร หมักดอกต้องวางไว้เท่าไรถึงจะกำลังดี? ใส่เกลือตอนไหนปริมาณเท่าไรถึงจะดี? หากมีการคิดค้นเมนูใหม่ ก็ต้องดูอาหารตามความเหมาะสมของคนกิน เครื่องปรุง รสชาติ และสารอาหาร ต้องมีประมาณไหนถึงจะกำลังดี?!

คนส่วนมากแค่คิดถึงเรื่องที่ต้องระวังก็ปวดหัวแล้ว ดังนั้นครอบครัวปกติอย่างมากที่สุดก็จะทำแค่อาหารธรรมดา...

อะไรที่เรียกว่าอาหารธรรมดา?! ส่วนผสมหลักกับเครื่องเคียงต้องแยกให้ดี ผัดน้ำมันหรืออุ่นในหม้อทั้งหมด ผัดๆ ผสมๆ ใส่เกลือลงไปแค่นั้นก็กินได้แล้ว นี่เรียกว่าอาหารธรรมดา ส่วนบ้านไหนที่พิถีพิถันหน่อยก็จะแยกลำดับก่อนหลังของส่วนผสมกับเครื่องเคียงก็เท่านั้น

แม่บ้านแต่ละบ้านอย่างมากก็ต้องเคยฝึกหลายเมนูจนชินแล้ว ทุกครั้งเมื่อถึงวันเทศกาลหรือวันปีใหม่ เวลาเชิญแขกมาดื่มเหล้าที่บ้าน อาหารที่นำไปวางบนโต๊ะ ก็ต้องเป็นอาหารที่เรียกได้ว่า ‘เมนูที่เลิศรส’

แม้แต่ห้องครัวของโรงแรมห้าดาวก็ต้องมีทั้งเมนูที่ถนัดและไม่ถนัด เพราะความจำมีขีดจำกัด คงไม่มีใครกล้าบอกว่าท่องจำอาหารได้ทุกสูตรทุกขั้นตอนหรอก

แต่ตอนนี้มีคนที่ความจำเป็นเลิศแบบเย่ซวง ฝีมือเกือบจะเทียบเท่าระดับคัดลอกมาเลย ดังนั้นเปิดดูรายการทำอาหารในแท็บเล็ตเพียงแค่ครู่เดียว มีดที่คุณนายเย่วางอยู่บนเขียง เพียงแค่พริบตาเดียวมันฝรั่งก็ถูกหั่นออกมาเป็นเส้นบางๆ โปร่งแสงราวกับปีกจักจั่นที่แค่เป่านิดเดียวก็ปลิวแล้ว

“...” ให้ตายเถอะ! แค่เธอทำมันฝรั่งเส้นผัดต้องทุ่มเทขนาดนี้เลยเหรอ?!

ใช้ได้เลย พรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เย่ซวงทำได้แค่เมนูธรรมดา ก็ไม่ใช่อย่างอื่น หลักๆ คือวัตถุดิบไม่ครบ...บ้านคนทั่วไปที่ไหนจะมีวัตถุดิบเครื่องปรุงทุกอย่างครบพร้อมรอให้เย่ซวงมาทดลองกัน?!

มีพริก ต้นหอม ขิง กระเทียมก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนเครื่องปรุงปกติก็มี น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูประมาณนี้ แม่บ้านที่เพิ่งแต่งงานใหม่เตรียมแค่สลัดซอสมะเขือเทศก็พอแล้ว แต่หญิงแก่จะยุ่งอยู่กับเรื่องในบ้านทั้งวันไม่จบไม่สิ้น ค่าใช้จ่ายก็ต้องคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน แค่ดูก็รู้ว่าคงจะไม่ซื้อวัตถุดิบที่ไม่รู้ว่าจะใช้หรือไม่มาเก็บไว้หรอก

แม่บ้านคุณวุฒิสูงอย่างคุณนายเย่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างเจ็บใจ หลังจากเช็ดเหงื่อก็ต้องมารอสามีและลูกชายอยู่ที่ห้องรับแขก แต่ก็ไม่ได้ไปแสดงท่าทางหงุดหงิดอะไร ได้แต่ปลอบใจตัวเองไป

ถึงแม่คุณนายเย่จะอนุญาตแล้ว แต่คุณเย่กับน้องชายยังคงรู้สึกไม่ไว้ใจ ทั้งยังไม่กล้าเข้าไปดูในห้องครัวด้วย แต่ก็กลัวว่านี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้าย

คุณเย่ที่อยู่ไม่สุขก็ใจลอยไปถึงห้องครัวที่มีกลิ่นหอมชวนให้อยากดูลอยออกมา คุณเย่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ระหว่างที่อดไม่ได้กำลังจะลุกขึ้นไปดู เสียงกริ่งก็ดังขึ้น

เย่ซวงยังไม่ทันจะออกมาเสิร์ฟอาหาร สายตาก็มองไปเห็นฟางม่อยืนอยู่ที่หน้าประตู...

“พี่ฟาง!” เย่ซวงยิ้มอย่างสุภาพ “พี่มาได้จังหวะพอดีเลย มากินข้าวด้วยกันสักมื้อสิ!”

ก่อนหน้านี้ฟางม่อได้โทรมานัดเอาไว้แล้ว เขาอุตส่าห์วิ่งวุ่นทั้งวันเพื่อเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ห้องให้เย่ซวง เย่ซวงจึงอยากจะตอบแทน แต่ก็ไม่รู้จะให้ของอะไรดี คิดแล้วก็สรุปได้ว่า ชวนมากินข้าวที่บ้านแล้วกัน

ถ้าฟางม่อไม่ได้มาเป็นแขกวันนี้แล้วล่ะก็ เธอคงไม่รีบเข้าครัวไปทำอาหารหรอก ยังไงก็ต้องเอาอาหารขึ้นชื่อออกมาสิถึงจะถูก...แน่นอนว่าเย่ซวงต้องมั่นใจแล้วถึงได้กล้าชวนเขามา ถ้าหากลองทำแล้วไม่อร่อย ก็คงจะพาออกไปกินร้านอาหารข้างนอกแล้ว

อย่างแรกคือ เย่ซวงกินอาหารไม่ได้หลายอย่าง อย่างที่สองคือ ใช้ข้าวมื้อหนึ่งแลกกับห้อง เย่ซวงคิดแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเสียเปรียบตรงไหน

ตอนแรกคุณเย่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าผู้ชายที่ชวนมามีสถานะเป็นอะไร แต่เมื่อเย่ซวงเปิดปากพูด ก็ไม่ข้องใจแล้ว

เรื่องที่ฟางม่อเอาเรื่องห้องมาบอก เย่ซวงยังไม่ได้คุยกับคนในบ้านเลย แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้คนบ้านเย่ต้อนรับเขาน้อยลง คุณนายเย่ที่ตาลุกวาวรีบลากเย่ซวงเข้ามาในครัว ในขณะเดียวกันก็ให้ผู้ชายทั้งสองของบ้านออกไปเสิร์ฟอาหารและรับแขก จากนั้นก็ถามเย่ซวงด้วยเสียงเบาว่า “เด็กนี่ฐานะที่บ้านเป็นยังไง?! นิสัยดีไหม?! ตกลงเอาคนนี้เหรอ?! คงไม่ใช่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนหรอกนะ ช่วงนี้เพราะเกิดเรื่องเลยตัดสินใจได้แล้วเหรอ?!”

“...” เย่ซวงรู้สึกว่าตั้งแต่ตัวเองออกจากบ้านไปอยู่โรงแรมหลายวันมานี้ ดูเหมือนว่าจะเกิดช่องว่างระหว่างวัยกับแม่ตัวเองเสียแล้ว

คุณนายเย่ที่เห็นเย่ซวงมองด้วยสายตาไร้เดียงสา ก็อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วยันหน้าผากแล้วพูดว่า “อยู่กับแม่ยังจะมาแกล้งโง่อีก! จะกำหนดเพศตัวเองไม่ใช่ว่าต้องมี...เฮ้อ! อะไรแบบนั้นใช่ไหม! ถึงต้องหาแฟนหนุ่มมาแต่งงานด้วย...พ่อหนุ่มนี่เป็นแฟนลูกเหรอ?! ถึงแม้ตัดสินใจตอนนี้จะเร็วไปหน่อย แต่แม่ดูแล้วเขาก็ดูสุขุมดีนะ ใช้ได้เลยแหละ อีกอย่างลูกยังมีเรื่อง...”

เย่ซวงนึกขึ้นมาได้ทันที และในขณะเดียวกันก็รู้แจ้งชัดเจน...แย่แล้ว! มัวแต่ยุ่งกับเรื่องหาเงินและทำกับข้าวจนลืมไปเลย! อย่างที่แม่พูดไม่มีผิด ตอนนี้เรื่องที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือ ต้องหาผู้ชายดีๆ สักคน...

แล้วก็มองออกไปทางเหยื่ออันโอชะที่อยู่ด้านนอก นี่ควรจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่แล้วเย่ซวงเจ็บใจขึ้นมาทันที

น้ำตาของเย่ซวงไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ท่าทางเศร้าเหลือล้นพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้แล้ว เขา...เป็นเพื่อนของแฟนหนู...”

“อะไรนะ?! ลูกยังมีแฟนคนอื่นอีกเหรอ?!” คุณนายเย่ตกใจ คิดดูอีกทีแล้วก็ไม่เลวเหมือนกัน โบราณบอกไว้ว่า คนประเภทเดียวกันมักจะอยู่รวมกัน...

ยังไม่รอให้คิดจนจบ ก็ได้ยินลูกสาวร้องไห้พูดว่า “หนูหมายความว่า เขาเป็นเพื่อนที่หนูได้มาตอนเปลี่ยนเป็นผู้ชาย...” ถ้ามาเปลี่ยนเอาตอนนี้ จากที่มองในแง่ดีก็จะกลายเป็นมองในแง่ลบแทนน่ะสิ

ทีนี้คงได้กลายเป็นผู้หญิงใจโลเลอย่างแน่นอน!

คุณนายเย่ “...”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด