ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 12
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 14

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 13


ตอนที่ 13

ฟางเฟยหญิงสาวในชุดสีแดงยืนตะลึงอยู่ที่หน้าประตูเกือบนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ได้สติกลับมา ก่อนจะตีหน้านิ่งแล้วหันไปพูดกับเย่ซวงว่า “สวัสดีค่ะ”

“...ครับ” เย่ซวงเองก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ท่าทางแบบนี้ทำไมดูไม่น่าเข้าใกล้ยิ่งกว่าตอนเจอกันที่บริษัทอีกล่ะ?!

เย่ซวงคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด สาวสวยสุดร้อนแรงที่อยู่หน้าประตูเมื่อครู่ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็งอย่างกับคนละคน อารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อกี้หายไปในชั่วพริบตา แล้วมองมาทางเย่ซวงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นแล้วหันไปทางฟางม่ออย่างไม่พอใจ ก่อนจะถามออกมาอย่างเฉยเมยว่า “คนนี้เป็นแขกของพี่เหรอ?”

“เฟยเฟย!” ฟางม่อขมวดคิ้มมองไปยังท่าทางของฟางเฟย

ฟางเฟยถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ สายตาเย็นชาก็มองไปทางเย่ซวง ก่อนจะคว้าสายกระเป๋าสะพายพร้อมกับพูดว่า “ขอโทษค่ะ หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน!” พูดจบก็หมุนตัวพร้อมกับกระแทกส้นสูงเดินออกไป

ฟางม่อจำต้องหันมามองหน้าเย่ซวง เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่น่ารักของฟางเฟย รอยยิ้มในตอนที่รับโทรศัพท์ของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนจะอธิบายให้เย่ซวงฟังว่า “น้อยครั้งนะครับที่ผมจะเห็นฟางเฟยเขิน ขอโทษนะครับ ขำๆ น่ะครับ”

“ครับๆ”

บ้าหรือเปล่าเนี่ย! แบบนี้แม่แกเรียกเขินเหรอ?! ให้ตายเถอะ! บ้านใครเขินแล้วทำตัวแบบนี้กัน ‘พวกฐานะต้อยต่ำ ไปให้ห่างๆ ฉันเลยนะ’ แบบนี้น่ะ เป็นท่าทางที่ไม่น่าเข้าใกล้เอาเสียเลย

เย่ซวงยิ้มทื่อๆ ออกไป แล้วก็หันหน้ากลับมา แล้วจึงตัดสินใจได้ว่าต่อจากนี้จะขอไม่ข้องเกี่ยวกับน้องสาวของฟางม่อให้มากที่สุด

เธอกับฟางเฟยไม่มีทางเข้ากันได้แน่ๆ

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟางเฟยก็กลับมา สายตาของเธอไม่มองไปที่คนข้างๆ อีกเลย ราวกับว่าในห้องนั้นไม่มีเย่ซวงอยู่ เธอตีหน้านิ่งแล้วหันไปคุยกับฟางม่อคนเดียว

ฟางม่อหันไปมองเย่ซวงอย่างขอโทษหลายครั้ง เย่ซวงก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับอย่างเดียว

ฟางม่อคิดว่าการเมินเฉยต่อแขกไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เขาจึงหันไปคุยกับเย่ซวงบ้างเป็นครั้งคราว เขาพยายามที่จะให้เย่ซวงมีบทสนทนามาคุยแลกเปลี่ยนกันตลอด แต่หญิงสาวหน้านิ่งก็ชอบพูดแทรกขึ้นมา...

เย่ซวงทนผู้หญิงก้าวร้าวคนนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงล้วงมือเข้าไปหยิบมือถือออกมาเปิดอ่านนิยายแก้เบื่อ

เมื่อฟางม่อเห็นแบบนั้นก็ทำตัวไม่ถูก คนหนึ่งก็น้องสาว อีกคนก็เป็นเพื่อนที่ตั้งใจจะผูกมิตรด้วย

ไม่สำคัญว่าทั้งคู่จะมีท่าทีต่อกันยังไง ต่อจากนี้จะให้ทั้งคู่เจอกันให้น้อยลงก็แล้วกัน อย่างน้อยบรรยากาศแบบนี้ก็อยากให้ผ่านไปสักที...คิดมาถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นน้องสุดที่รัก ฟางม่อก็หมดความอดทนได้เหมือนกัน จึงมองไปที่ฟางเฟยอย่างไม่พอใจ

ฟางเฟยตกใจก่อนจะเบะปาก แล้วก็ไม่แทรกบทสนทนาหรือดึงให้ฟางม่อมาคุยกับตัวเองอีกเลย

ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟจนครบ พอดีกับที่เย่ซวงอ่านนิยายตอนใหม่จบไปหนึ่งตอน ภายในห้องอาหารไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีกเลย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นฟางม่อกำลังเปิดฝาครอบอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า

“ถึงเวลากินข้าวกันได้แล้ว” ฟางม่อยิ้มก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วตักน้ำแกงเนื้อปูขึ้นมา “ฝีมือของเชฟร้านนี้เป็นต้นตำรับแน่นอน ผมรับรองว่าคุณจะหาวัตถุดิบแบบนี้ไม่ได้จากที่ไหนอีก”

การตักอาหารให้คนอื่นเป็นการแสดงออกถึงความสนิทสนมกัน แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เย่ซวงกลับมองว่าที่ฝ่ายตรงข้ามตักอาหารให้ เป็นเพราะต้องการขอโทษที่น้องสาวเขาแสดงท่าทางเสียมารยาทออกมาเมื่อครู่มากกว่า

ในเมื่อพี่ชายของฟางเฟยเป็นคนอยากจบเรื่องเอง เย่ซวงจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?! อีกอย่างเธอเองก็ไม่สามารถที่จะตบโต๊ะแล้วตะโกนด่าออกไปได้ว่า ‘ผู้หญิงปากร้ายแบบนี้ ไปขุดมาจากไหน?!’ ...จะยังไงก็กินๆ เข้าไปเถอะ มัวแต่มานั่งคิดก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี...

น้ำแกงเนื้อปูยังไม่ทันได้เข้าปาก ฟางเฟยก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก “พี่คะ ทำไมไม่ตักให้หนูบ้าง?!”

“...” ทันใดนั้นเย่ซวงก็คิดได้ว่าถ้าตัวเองอ่อนข้อให้อีก จะเป็นการแสดงว่าตัวเองไม่สู้คน

เย่ซวงจึงวางตะเกียบลงก่อนจะลุกขึ้นขอโทษพร้อมกับบอกลา “ผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระต้องไปทำอีก ถ้ามีเวลาว่างเอาไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ดีกว่า!” ต่อให้มีเวลาก็จะไม่มาหรอก!

ฟางม่อดูเหมือนจะยอมต่อไปไม่ได้แล้ว จึงวางตะเกียบลงก่อนจะต่อว่าฟางเฟย “พี่กับคุณเย่ยังมีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีก เฟยเฟยกลับไปก่อนเถอะ!”

“แต่ว่าหนู...”

สาวสวยใบหน้าเย็นชาอยากจะพูดอะไรออกมาอีก แต่ก็ถูกสายตาของฟางม่อมาขวางเอาไว้ “มีอะไรไว้ค่อยคุยกันที่บ้าน!”

ในที่สุดชายหนุ่มที่คอยปรามหญิงสาวอารมณ์ร้อนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากที่ฟางเฟยสะพายกระเป๋าเดินออกจากประตูไป ฟางม่อก็หันกลับมาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพูดขอโทษออกมา “ขอโทษด้วยจริงๆ ปกติแล้วเฟยเฟยเธอไม่ใช่คนแบบนี้”

“ผมเข้าใจ ก็ผู้หญิงนี่ครับ ทุกๆ เดือนจะมีสักสองสามวันที่เข้าใจยาก” เย่ซวงถอนหายใจกำลังจะพูดต่อ แต่ดันหันไปเห็นสีหน้างวยงงของฟางม่อเสียก่อน พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผู้ชายไม่ควรที่จะพูดเรื่องแบบนี้ออกมา “เอ่อ...ที่ผมจะพูดก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอก”

บรรยากาศถูกทำลายไปหมดแล้ว จะพูดหรือทำอะไรก็ดูจะเงอะงะไปหมด

เดิมทีความสัมพันธ์ของฟางม่อกับเย่ซวงก็เป็นการรู้จักกันเพียงชั่วข้ามคืน ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่เหมาะที่จะมาวิเคราะห์นิสัยใจคอของน้องสาวตัวเอง ถึงแม้ฟางม่อจะพยายามรั้งเย่ซวงให้อยู่กินข้าวมื้อนี้ให้เสร็จก่อน แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

ขณะที่เย่ซวงกินข้าวเสร็จก็คิดว่าตัวเองเป็นเหมือนต้นสนที่มีอายุยืนยาวนาน* ยังไงอย่างนั้นแม้ว่าบอสสุดหล่อจะอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม แต่เป็นเพราะบรรยากาศตอนนี้ ต่อให้กินอะไรลงไปก็คงจะปวดท้องเป็นแน่ เย่ซวงจึงถือโอกาสตอนที่ฟางม่อเรียกเก็บเงิน ไม่สนว่าจะเสียมารยาทหรือไม่ รีบกลับไปพูดเหมือนเดิมว่า “ขอบคุณสำหรับการเลี้ยงอาหาร แต่ว่าผมมีธุระจริงๆ ครั้งหน้าถ้ามีเวลาว่างค่อย...”

“เดี๋ยวก่อน ผมไปส่งคุณดีกว่า!” ฟางม่อเห็นท่าทางอยากจะหนีของเย่ซวง ก็รีบรั้งเอาไว้

“ไม่จำเป็นหรอก!” เย่ซวงไม่เปิดโอกาสเขาพูดอีก ครั้งนี้เธอไม่ลืมที่จะเอาถุงเสื้อไปด้วย จากนั้นก็พูดแบบรีบๆ ว่า “ผมไปก่อนนะ บายๆ”

“เดี๋ยวก่อน...” ฟางม่อกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงจากนอกห้องดังขึ้น

“ยังไม่จ่ายเงินแล้วคิดจะหนีเหรอ?! เฮ้ย วันนี้ฟางม่อคิดจะชักดาบ!”

เย่ซวงหันกลับมามองก็เห็นพ่อครัวร่างใหญ่สวมหมวกเชฟสีขาวเดินตรงเข้ามาในห้อง ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นคนรู้จักของฟางม่อ

ฟางม่ออยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ลุงโหลว ครั้งหน้าผมค่อย เอ่อ...”

ประโยคแรกยังพูดไม่ทันจบ ที่ประตูก็ไม่เห็นเงาของเย่ซวงแล้ว พ่อครัวร่างใหญ่ก็เกาหัวด้วยความสงสัย “เมื่อกี้ผมจำได้ว่ายังมีอีกคนยืนอยู่ตรงนี้ด้วยนี่?!”

“...ช่างเถอะ ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยขอโทษแล้วกัน”

ฟางม่อถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อนใหม่คนนี้ตกใจน้องสาวของเขาจนหนีไปแล้ว

ดูท่าว่ากลับไปคงจะพูดดีๆ กับเฟยเฟยไม่ได้แล้วล่ะ

หวังว่าครั้งต่อไปเวลาเจอเย่ซวงน้องสาวคนนี้จะไม่ทำท่าทางเป็นศัตรูอีก...

แต่ที่ฟางม่อไม่รู้เลยคือ ในตอนที่เขายืนคิดอยู่นั้น เมื่อเพื่อนใหม่ของเขาออกจากประตูร้านไป ก็บังเอิญเจอเข้ากับฟางเฟยพอดี

ฟางเฟยในชุดสีแดงเพลิงยืนอยู่ที่ข้างถนน ดูเด่นสะดุดตา พอดีกับประตูร้านอาหารก็ไม่ได้ห่างจากตรงนั้นมาก เย่ซวงอยากจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ทำไม่ได้ ในขณะที่เธอตะลึงไปชั่วครู่ เวลาเดียวกันฟางเฟยก็หันมามองพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “มองหาอะไร! ฉันไม่ได้รอเธออยู่นะ!”

“...”

“ทำไมไม่พูดอะไร?! ไม่เห็นเหรอส้นสูงของฉันหักน่ะ!”

“...”

“นี่!”

เย่ซวงทนไม่ไหวจึงพูดออกมา “ที่พูดนี่อยากให้หักอีกข้างให้ด้วยเหรอ”

“...”

 

*ต้นสนที่มีอายุยืนยาวนาน เป็นการเปรียบเปรยว่านั่งอึดอัดมานาน

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด