ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 36 : คำถามง่ายๆ หนึ่งข้อ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 38 : มือสมัครเล่น

ราชันย์เร้นลับ 37 : สโมสร


ราชันย์เร้นลับ 37 : สโมสร

 

ไคลน์เดินทางออกจากบ้านภายใต้แสงแดดแผดเผายามบ่ายแก่

 

เมื่อมีแผนเดินเท้าจากถนนกางเขนเหล็กไปยังบ้านเวิร์ช ไคลน์เลือกสวมเสื้อลินินตัวเก่ามากกว่าชุดทำงานใหม่เอี่ยม บนศีรษะสวมหมวกสักหลาด รองเท้าเป็นคู่เก่าของไคลน์ก่อนฆ่าตัวตาย ทั้งหมดก็เพื่อมิให้กลิ่นเหงื่อเหม็นอับติดชุดทำงานแสนแพง

 

ชายหนุ่มเดินไปบนถนนดารารัตน์ ก่อนจะตัดเข้าถนนกางเขนเหล็กและเดินผ่านเขตจัตุรัสใจกลาง สายตาชำเลืองมองเข้าไปด้านในตามจิตใต้สำนึก

 

กระโจมคณะละครสัตว์ไม่อยู่อีกแล้ว พวกมันคงย้ายสถานที่หลังจากการแสดงจบลง

 

ไคลน์ย้อนนึกถึงผู้ผึกสัตว์สาวสวย มันคิดมาเสมอว่า เธออาจเป็นผู้วิเศษปกปิดตัวตนที่แอบชี้นำอนาคตของมันอย่างลับๆ หลังจากมองเห็นความพิเศษในตัว

 

จึงมีโอกาสที่เธอจะปรากฏตัวต่อหน้ามันอีกครั้งในอนาคต เพื่อช่วยบอกใบ้เพิ่มเติม

 

แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ผู้ฝึกสัตว์คนดังกล่าวหายไปพร้อมกับคณะละครสัตว์ ป่านนี้คงกำลังตระเวนทัวร์ในเมืองอื่น

 

หล่อนจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ หากต้องคอยแสดงซ้ำเดิมไปเรื่อยๆ ในแต่ละเมือง…

 

ไคลน์ส่ายศีรษะพลางยิ้มจืดชืด มันสืบเท้าเดินต่อไปบนถนนกางเขนเหล็ก

 

ถนนกางเขนเหล็กมิใช่ถนนเส้นตรงทั่วไป ตามชื่อของมัน ถนนกางเขนเหล็กประกอบด้วยถนนสองเส้นตัดกันเป็นรูปกาเขน แบ่งออกเป็นสี่เขต คือฝั่งขวา ฝั่งซ้าย สายบน และสายล่าง

 

ไคลน์ เบ็นสัน และเมลิสซ่าเคยอยู่สายล่างมาก่อน แต่สายล่างเองก็ถูกแบ่งแยกย่อยเป็นส่วนล่างกับส่วนบน ผู้พักอาศัยในเขตสายล่างตอนบนไม่พอใจที่ถูกเรียกเหมารวมกับเขตสายล่างที่แออัด จึงทำการเปลี่ยนชื่อเรียกถนนสายล่างตอนบนเสียใหม่ว่า ‘ถนนสายกลาง’

แตกต่างจากเขตที่อยู่ถัดลงไปราวสองร้อยเมตรค่อนข้างมาก บริเวณดังกล่างคือเขตชุมชนแออัดอย่างแท้จริง หนึ่งเตียงนอนจะต้องรองรับน้ำหนักมนุษย์ยากจนตั้งแต่ห้าถึงสิบคน

เมื่อย่างเข้าถนนฝั่งซ้าย ไคลน์ปล่อยความคิดตัวเองให้ไหลลื่น มันหวนนึกถึงรูปลักษณ์และรายละเอียดของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส รวมถึงจุดที่ไคลน์คนเก่าอาจนำสมุดไปไปซ่อน

 

สมุดเล่มดังกล่าวสำคัญกับเหยี่ยวราตรีค่อนข้างมาก และยังเป็นเบาะแสการตายของไคลน์

สีหน้าของชายหนุ่มดำมืดขณะครุ่นคิด

ทันใดนั้น สุ้มเสียงที่คุ้นเคยดังแว่วข้างหู

 

“พ่อหนุ่ม”

 

อะ…! ไคลน์รีบหันมองตามสัญชาตญาณ แล้วก็พบว่า ตนกำลังยืนอยู่หน้าร้านขนมปังสลินที่เมลิสซ่าโปรดปราน

 

มาดามเวนดี้ผู้มีสีผมหงอกเทาได้กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

 

“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ?”

 

หญิงชราไต่ถามอ่อนโยน

 

ไคลน์ลูบหน้าตัวเองเล็กน้อย

 

“นิดหน่อยครับ”

 

“ไม่ว่าเธอจะกังวลมากเพียงใด แต่วันพรุ่งนี้ยังมีเสมอ”

 

มาดามเวนดี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ลองชิมชาเย็นสูตรใหม่หน่อยไหม? ฉันยังไม่มั่นใจว่ารสชาติจะถูกปากคนท้องถิ่น”

 

“คนท้องถิ่น? แล้วคุณไม่ใช่หรือครับ? มาดามสลิน”

ไคลน์ขมวดคิ้วฉงน แต่มันก็มิได้ขัดข้องคำเชื้อเชิญ ของฟรีย่อมดีเสมอ

 

เวนดี้·สลินเชิดคางขึ้นเล็กน้อย

 

“เดาถูกแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่นี่ เกิดและเติบโตที่รัฐตอนใต้ แต่ย้ายมาอยู่ทิงเก็นตามสามี… เรื่องราวก็ผ่านมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นเบ็นสันยังไม่เกิด บางทีพ่อกับแม่เธอยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ฮิฮิฮิ

 

“ฉันยังไม่ชินกับอาหารรัฐเหนือสักที บ่อยครั้งที่คิดถึงอาหารของรัฐใต้ เช่นไส้กรอกหมู ขนมปังมันฝรั่ง แพนเค้กปิ้ง ผักทอดมันหมู แล้วก็เนื้อย่างราดซอสพิเศษ

 

“อ้อ รวมถึงชาเย็นด้วย…”

 

ไคลน์อมยิ้ม

 

“มาดามสลินครับ เรื่องเล่าของคุณทำให้ผมถึงกับท้องร้อง… ขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

 

“รสชาติอาหารอร่อยสามารถชำระล้างจิตใจได้เสมอ”

 

เมื่อกล่าวจบ เวนดี้·สลินยื่นแก้วชาสีน้ำตาลอมแดงมาให้

 

“นี่คือชาเย็นที่ชงจากสูตรในความทรงจำอันเลือนลาง ลองชิมดู แล้วบอกกับฉันว่ารสชาติเป็นอย่างไร”

 

หลังจากก้มศีรษะขอบคุณ ไคลน์รับถ้วยชามาจิบหนึ่งอึก… รสสัมผัสคล้ายคลึงกับชาเย็นบนโลกเก่า เพียงแต่กลิ่นและรสของชาจะเข้มข้นกว่ามาก แถมยังหอมสดชื่น ปัดเป่าความไม่สบายใจก่อนหน้าได้หมดสิ้น

 

“อร่อยมากครับ!”

 

ไคลน์กล่าวชมอย่างจริงใจ

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งอก”

 

เวนดี้อมยิ้ม เธอยืนมองไคลน์ดื่มชาในถ้วยจนหมดด้วยสีหน้าอิ่มเอม

 

หลังจากสนทนากับมาดามสลินเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องย้ายบ้าน ไคลน์ออกเดินทางอีกครั้งไปบนถนนที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดี

พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ลดจำนวนลงมากในยามบ่าย จะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากห้าโมงครึ่งเป็นต้นไป ซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน

 

บุคคลที่ยังคงทำมาค้าขายล้วนมีสีหน้าอิดโรยไร้วิญญาณ

 

ในวินาทีที่ย่างกรายเข้าสู่ถนนสายกลาง—สายล่างตอนบน หัวใจไคลน์พลันหดหู่ราวกับถูกความมืดมิดเข้าครอบงำ

 

เกิดเป็นความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังอย่างไร้เหตุผล …เพราะอะไรกัน?

 

ชายหนุ่มหยุดเดินและรีบสำรวจตนเองและสิ่งรอบตัว แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดเลย…

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก มันตัดสินใจเลื่อนปลายนิ้วขึ้นไปแตะหว่างคิ้วสองครั้ง ทำทีคล้ายกับกำลังไตร่ตรองบางสิ่ง

 

ภาพการมองเห็นผันเปลี่ยน แสงออร่าจำนวนมากจากร่างพ่อค้าแม่ค้าและคนเดินถนนสองข้างทางเริ่มปรากฏในการมองเห็น

 

แต่ก่อนจะได้เพ่งความสนใจไปกับสุขภาพของใครสักคน มันถูกดึงดูดให้ต้องหันไปมองสีออร่าอันหม่นหมองเข้มข้นที่ระบุถึงภาวะสิ้นหวังรุนแรง

 

มันมิอาจคาดเดาอารมณ์ที่แน่ชัดของอีกฝ่ายได้ แต่สิ่งหนึ่งที่แจ่มแจ้งก็คือ อารมณ์สิ้นหวัง ซึมเศร้า และมืดมน กำลังเอ่อล้นภายในตัวมันอย่างเข้มข้น

 

หลังจากกวาดสายตามองรอบตัวหนึ่งครั้ง แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็มิอาจลบล้างความดำมืดดังกล่าวออกไปได้ ราวกับเป็นอารมณ์ที่ถูกกักเก็บไว้ในใจมานานหลายปีโดยไม่ได้ปลดปล่อย

 

หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ ไคลน์เริ่มตระหนักถึงสัจธรรมของบางสิ่ง

 

ดังคำที่ลุงนีลล์เคยกล่าว การเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณจะส่งผลให้อารมณ์ผู้ใช้หวั่นไหวไปตามสภาพแวมล้อมได้ง่ายกว่าปรกติ โดยเฉพาะในตอนที่ร่างกายยังไม่ชินกับพลัง

 

สัมผัสวิญญาณก็มีหลักการแบบเดียวกัน

 

โอสถนักทำลายช่วยส่งเสริมให้สัมผัสวิญญาณของไคลน์เฉียบแหลมขึ้น การฝึกซ้อมเท่านั้นที่จะช่วยให้ร่างกายคุ้นชิน

 

เป็นพลังติดตัวที่มิอาจสลัดออกหรือเพิ่มพูนได้ตามใจต้องการ

 

ไม่แปลกที่นักทำนายจะสัมผัสถึงความผิดปรกติรอบตัวได้มากกว่ามนุษย์ทั่วไป

 

ผู้วิเศษแต่ละคนย่อมมีระดับจิตสัมผัสที่แตกต่างกัน ผู้วิเศษสายวิญญาณโดยตรงอย่างผู้สื่อวิญญาณจะช่ำชองเป็นพิเศษ พวกมันจะมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้แจ่มชัดประหนึ่งแสงสว่างท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด

 

ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่มีสัมผัสวิญญาณรุนแรงจะถูกบรรยากาศรอบตัวครอบงำอารมณ์ได้ง่ายมาก หากไม่มีการฝึกฝนหรือควบคุมพลังที่ดีพอ

 

“สีเข้มขนาดนี้ ต้องสะสมนานเท่าไรกัน?”

 

ไคลน์ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ ชายหนุ่มแตะหว่างคิ้วสองครั้งเพื่อปิดเนตรวิญญาณและสงบจิตใจกลับเป็นปรกติ

 

กึก กึก กึก

 

ไคลน์เดินมาหยุดหน้าหอพักเก่าที่เคยซุกหัวนอนมานาน ชายหนุ่มยังคงสัมผัสถึงมวลอารมณ์ด้านลบอันเข้มข้น รวมถึงการเชื่อมต่อเบาบางจากผู้มีสัมผัสวิญญาณอ่อนๆ

 

ขณะเดียวกัน มันพยายามมองหาเบาะแสสมุดบันทึกอันทีโกสนัสซึ่ง ‘ตัวมัน’ อาจนำไปซุกซ่อนไว้ที่ใดสักแห่ง

 

สภาพถนนยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ขยะเกลื่อนกลาด น้ำขังเน่เหม็นส่งกลิ่นรุนแรง จุดเดียวที่ถูกทำความสะอาดคือบริเวณหน้าหอพัก

 

ไคลน์ผลักประตูที่เปิดแง้มเข้าไป ก่อนจะเดินสำรวจชั้นหนึ่งอันมืดมิดซึ่งแสงแดดส่องเข้ามาไม่ถึง

 

ชั้นหนึ่งไม่พบสิ่งใด

 

เมื่อเดินขึ้นชั้นสอง เสียงบันไดไม้ยังคงร้องเอี๊ยดอ๊าดไม่แปรเปลี่ยน แสงไฟบนชั้นสองยังสลัวเหมือนเคย ไคลน์เข้าสู้ภาวะเนตรวิญญาณและจ้องมองเข้าไปในความมืด

 

แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเช่นกัน ไม่ว่าจะเบาะแสของสมุดบันทึกหรือภูติผี

 

“ถ้าพบได้ง่ายขนาดนั้น มนุษย์ทั่วไปคงเจอผีเป็นว่าเล่นแล้ว…”

 

มันถอนหายใจยาว ไคลน์ทราบดีว่า ‘วิญญาณ’ ไม่ได้ปรากฏตัวในรูป ‘ภูติผี’  หากแต่เป็นรูปเฉพาะของวิญญาณ ซึ่งมีเพียง ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เท่านั้นที่สามารถติดต่อสื่อสาร

 

หลังจากวนรอบชั้นสามหนึ่งครั้งและไม่พบสิ่งใด ไคลน์เดินลงจากหอพักพร้อมกับรีบจ้ำเท้าไปยังบ้านเวิร์ช

 

ตลอดทางกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม มันไม่พบเบาะแสใดแม้แต่อย่างเดียว

 

เมื่อหยุดยืนหน้าบ้านเดี่ยวที่มีสวนหรูหรา ไคลน์มองลอดผ่านช่องรั้วเหล็กที่ถูกล็อคแน่นหน้าเข้าไป

 

“เราไม่ต้องสำรวจในบ้านใช่ไหม? หัวหน้ากับมาดามดาลี่ย์คงจัดการเรียบร้อยแล้ว…

 

“และเราก็ไม่มีกุญแจ หัวหน้าคงไม่ได้ต้องการให้เราปีนบ้านเข้าไปแน่

 

“ไว้ค่อยลองเส้นทางอื่นพรุ่งนี้…

 

“วันนี้เดินเยอะเป็นพิเศษ น่าเสียดายที่ยุคปัจจุบันไม่มีอุปกรณ์ช่วยนับก้าวเพื่อนำไปอวดเพื่อนร่วมงาน…”

 

ขณะรำพันติดตลก ไคลน์เดินไปยังสถานีรถม้าเพื่อเตรียมต่อรถไปถนนซุตแลน ถนนที่ตั้งสำนักบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ

 

มันต้องการเบิกกระสุนซ้อมยิงรายวันจำนวนสามสิบนัด หากหสังเป็นนักแม่นปืนฝีมือฉกาจ การฝึกซ้อมสม่ำเสมอทุกวันคือสิ่งที่มิอาจเลี่ยง

 

ในฐานะนักทำนายที่อ่อนแอด้านพลังต่อสู้ อุปกรณ์ช่วยปกป้องชีวิตจึงเหลือเพียงไม้ค้ำและลูกโม่

 

ถนนรอบเขตบ้านเวิร์ชนั้นสะอาดสะอ้านเหนือคำบรรยาย ปราศจากขยะหรือน้ำขังบนถนนโดยสิ้นเชิง แถมกระจกร้านค้าสองข้างทางล้วนใสสะอาด

 

เมื่อมาถึงสถานีรถม้า ขณะไคลน์กำลังยืนรอเตรียมโดยสารไปลงถนนซุตแลน สายตาพลันชำเลืองมองป้ายโฆษณาบนถนนฝั่งตรงข้าม

 

“ห้ามสรรพสินค้าแฮรอดส์”

 

“สโมสรทหารผ่านศึก”

 

“สโมสรพยากรณ์”

 

 

สโมสรพยากรณ์… ไคลน์พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเหม่อลอย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตัวมันกำลังหาทาง ‘สวมบทบาท’ เป็นนักทำนายอยู่

 

นั่นสินะ… เข้าไปลองสักหน่อยคงไม่เสียหาย เผื่อได้ไอเดียแปลกใหม่มาปรับใช้กับตัวเอง

 

หลังจากได้ข้อสรุปในใจ ไคลน์เดินข้ามถนนไปยังตึกฝั่งตรงข้ามและขึ้นบันไดไปยังชั้นสองทันที

 

หลังจากเดินผ่านโถงใหญ่ ชายหนุ่มได้พบกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับสาวสวยผู้หนึ่ง

 

เส้นผมสีน้ำตาลดัดเป็นลอนงดงาม เธอชำเลืองสำรวจไคลน์หัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม

 

“มิสเตอร์ คุณมาดูดวงหรือสนใจจะเข้าสโมสรคะ?”

 

“ต้องมีคุณสมบัติเข้าร่วมอย่างไรบ้าง?”

 

ไคลน์ถามระมัดระวัง

 

สาวสวยตอบอย่างคล่องแคล่วเคยชิน

 

“เพียงแค่กรอกรายละเอียดและจ่ายค่าสมาชิกเท่านั้นค่ะ ในปีแรก ค่าสมาชิกจะอยู่ที่ปีละห้าปอนด์ แต่ปีถัดไปราคาจะเหลือเพียงหนึ่งปอนด์ ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกเราไม่เหมือนสโมสรนักการเมืองหรือนักธรุกิจที่ต้องถูกแนะนำจากภายใน บุคคลทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้อิสระ

 

“สมาชิกสามารถใช้ห้องประชุมสโมสรได้ตามใจชอบ รวมถึงห้องพยากรณ์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เตรียมไว้ให้

 

“สมาชิกจะได้รับเครื่องดื่มฟรีไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ แถมยังมีสิทธิ์อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ทางสโมสรเป็นสมาชิก มีสิทธิ์ใช้งานอุปกรณ์ทำนายฝึกพื้นฐานเพื่อเรียนรู้ศาสตร์พยากรณ์

 

“ภายในสโมสรยังมีอาหาร เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และอุปกรณ์ทำนาย สำหรับจัดจำหน่ายในราคาต้นทุน

 

“ไม่เพียงเท่านั้น พวกเรายังเรียนเชิญนักพยากรณ์ชื่อดังมาให้ความรู้และคอยตอบคำถามสมาชิกในทุกเดือน

 

“เหนือสิ่งอื่นใด คุณจะได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่หลงไหลในศาสตร์ชนิดเดียวกัน ถือเป็นการสร้างสายสัมพันธ์และต่อยอดมิตรภาพในอนาคต”

 

ฟังดูเข้าท่าชะมัด… แต่เราไม่มีเงินมากถึงห้าปอนด์ ไคลน์ทำได้เพียงตัดพ้อ

 

“แล้วค่าดูดวงเท่าไรครับ?”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด