ตอนที่แล้วบทที่ 79 ซอมบี้กลายพันธุ์ในพุ่มไม้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 81 ความบ้าคลั่งสุดท้าย

บทที่ 80 นักขายเพื่อนมืออาชีพ


บทที่ 80 นักขายเพื่อนมืออาชีพ

 

ผ่านลานแห่งนั้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เข้าไปในห้องโถงโรงยิมด้วยประตูด้านข้าง ในหัวหลิงม่อเหลือเพียงความคิดที่ว่า ‘รีบหาที่นั่งพัก’ อยู่เต็มหัว

 

แต่ความโหดร้ายในช่วงวันโลกาวินาศทำให้เขาต้องทำใจให้ฮึกเหิม พาคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน

 

หากอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าก็จะดึงดูดซอมบี้มาได้ง่าย

 

ซอมบี้พวกนี้ไม่ใช่แค่ตาไม่บอด แต่สายตายังดีกว่าคนทั่วๆ ไปมากด้วย แม้ปกติจะหมุนตัวอยู่ที่เดิมเหมือนผี แต่พอพบเป้าหมายก็จะคลั่งขึ้นมาในพริบตา

 

ดังนั้นแม้จะเหนื่อยแทบตาย แต่พวกหลิงม่อก็ยังรีบขึ้นตึกโดยมีหลินล่วนชิวนำทาง

 

จากการแนะนำของหลินล่วนชิว ชั้นสองของโรงยิมแห่งนี้นอกจากจะมีอุปกรณ์กีฬาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ยังมีสนามวอลเล่ย์บอลในร่มและสนามเทควันโดด้วย

 

สิ่งที่ทำให้หลิงม่อโล่งอกคือ ระหว่างทางที่ขึ้นตึกไม่เจอซอมบี้เลย ตอนที่เกิดหายนะคงถูกผู้รอดชีวิตที่อยู่นอกโรงยิมดึงดูดไปหมดล่ะมั้ง

 

“ก่อนหน้านี้สนามเทควันโดปิดซ่อมแซมอยู่พอดี มองสำรวจข้างนอกผ่านบานประตูกระจกได้” หลินล่วนชิวเสนอ “ข้างในอาจจะสกปรกหน่อย แต่ฉันรู้สึกว่าข้างในเหมาะที่จะพักผ่อนที่สุด”

 

หลิงม่อพยักหน้า จากนั้นก็มองหลินล่วนชิวอย่างประหลาดใจนิดๆ “ทำไมเธอถึงรู้เยอะขนาดนี้? ถึงยังไงมหาวิทยาลัยก็มีพื้นที่กว้างขวางมาก เธอเป็นแค่นักเรียนปีหนึ่ง ทำไมจึงได้รู้สภาพสถานที่เล็กๆ นี้ด้วยล่ะ?”

 

“ตอนที่อยู่กับทีมช่วยเหลือ ฉันเคยคุยกับทุกคน ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจำนวนคนและสภาพภายในของตึกอาคาร ไม่ว่าจะสภาพก่อนหรือหลังเกิดหายนะ ฉันก็จะซักถามอย่างละเอียด” หลินล่วนชิวคลี่ยิ้มนิดๆ “เด็กสาวคนหนึ่งหากอยากอยู่ต่อให้ดีกว่าเดิม ก็จะต้องทุ่มเทยิ่งกว่าคนทั่วไป แม้ฉันจะมีความสามารถพิเศษแต่ก็เท่านั้น อีกทั้งตอนแรกเริ่มฉันก็ไม่ได้อยากติดแหง็กอยู่ที่เดิม ฉันเคยคิดหาวิธีมากมาย แต่แผนการพวกนั้นมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติต่ำมาก ดังนั้นท้ายที่สุดฉันก็เลือกหนีออกมาข้างนอก”

 

“ฉันหวังว่าเธอจะหายดี” หลิงม่อพึมพำ บอกอย่างจริงใจ

 

แม้จะรู้จักกันในเวลาสั้นๆ แต่หลินม่อชื่นชมเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดและยืนด้วยตัวเองอย่างหลินล่วนชิวนัก

 

เธอเหมือนกับซย่าน่า เป็นคนที่ภายในเข้มแข็ง มีความฝันของตัวเอง คนแบบนี้ ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนควรแค่แก่การนับถือ

 

พอได้ยินคำพูดของหลิงม่อแล้ว หลินล่วนชิวก็หน้าตายิ้มแย้ม “ขอบใจนะ”

 

คนกลุ่มหนึ่งข้ามระเบียงไปอย่างรวดเร็วมาถึงหน้าห้องที่เขียนไว้ว่า ‘อยู่ระหว่างซ่อมแซม’ ซึ่งที่นี่น่าจะเป็นสนามเทควันโด

 

แต่หลิงม่อเพิ่งจะจับลูกบิดประตู ก็ผงะถอยหลังหนึ่งก้าว มองที่ประตูอย่างระมัดระวัง

 

พอเห็นปฏิกิริยาแบบนี้ของหลิงม่อ ซย่าน่าก็เข้าไปยืนข้างๆ อย่างเงียบเชียบ เงื้อดาบยาวในมือขึ้นสูง

 

ท่านี้ทำให้หลินล่วนชิวเข้าใจทันที เธอพลันหน้าถอดสี ขณะเดียวกันก็กระซิบบอก “ฉันไม่รู้ว่าข้างในมีผู้รอดชีวิต...”

 

หลิงม่อไม่พูดไม่จาและจ้องประตูเขม็ง พริบตาที่เขาจับลูกบิดไว้ รู้สึกได้ชัดเจนว่าประตูสั่นเบาๆ บ่งบอกว่าหลังประตูนั้นมีคน

 

จริงดังคาด หลิงม่อเพิ่งจะปล่อยมือ ประตูก็เปิดออกทันที ปรากฎใบหน้าซีดเซียวของคนวัยกลางคน “พวกนายคณะอะไร?”

 

หลิงม่อขมวดคิ้วปรายตามองข้ามคนๆ นี้เข้าไปในห้อง พบว่ายังมีคนนั่นกระจัดกระจายกันอยู่สิบกว่าคน แต่ทุกคนต่างดูไม่มีชีวิตชีวา

 

และสิ่งที่อยู่ตรงกับประตูห้องก็คือบานประตูกระจกใหญ่ๆ เห็นชัดว่าพวกเขาเห็นพวกหลิงม่อผ่านทางบานกระจกนี้แต่แรกแล้ว แต่ดูท่าคนที่มาเปิดประตูนี้ยังเหมือนจะมีทีท่าระแวดระวังอยู่ หลิงม่อเองก็พอเข้าใจความคิดของคนพวกนี้

 

คงเพราะพวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกหลิงม่อ ถ้าพวกหลิงม่อก็เข้ามาหลบภัยเหมือนกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้พวกเขา...

 

แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือ พวกหลิงม่อตัดตรงเข้ามาในสนามเทควันโดเลย ทำให้ตอนนี้จะไม่เจอหน้าก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ความบังเอิญอะไร เพราะในโรงยิมนี้ สนามเทควันโดนี้ถือว่าเป็นทำเลที่ดีที่สุด ทั้งสามารถป้องกันตัวล่วงหน้าได้ ทั้งอยู่ในตำแหน่งที่ซ่อนได้มิดชิดพอ ด้านหนึ่งยังติดกับระเบียง อีกด้านติดกับบันไดฉุกเฉิน

 

แต่ในตอนนี้อยู่ๆ เจ้าสื่อปินก็กลับร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจขึ้นมา “สวี่ไฉ! นายคือสวี่ไฉใช่ไหม!”

 

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของสื่อปิน นักเรียนชายที่นั่งหันตรงกับนอกหน้าต่างก็รีบหันขวับมา พออีกฝ่ายหรี่ตามองสำรวจสื่อปินแล้ว สีหน้าอึมครึมก็กลายเป็นรอยยิ้มทันที แทบจะลุกขึ้นมาอย่างอดใจรอไม่ไหว ดูท่าทางเหมือนจะประหลาดใจมาก

 

ตอนที่คนๆ นั้นมาถึงประตู หลิงม่อก็พบว่าเขาเป็นนักเรียนชายกล้ามแน่น ร่างสูงมาก ดูท่าน่าจะอยู่คณะพลศึกษา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเป็นคนที่คลั่งไคล้กีฬา...

 

“สื่อปิน? นายยังไม่ตายเหรอ?” สวี่ไฉเบิกตาโตมองสำรวจสื่อปิน จากนั้นก็หัวเราะดังผิดปกติ หันกลับไปบอกกับคนที่เปิดประตู “อาจารย์หลัวฮะ นี่คือสื่อปินที่เรียนคณะเดียวกับผม!”

 

อาจารย์หลัวเลื่อนสายตามามองสื่อปินครู่หนึ่งแล้ว ก็เอ่ยอย่างไม่มีกะจิตกะใจ “พวกเราจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว...” เขาพึมพำเสียงเบา ท่าทางเหมือนจะกลัวมนุษย์กล้ามสวี่ไฉ

 

“ดีเหลือเกิน! พวกนายมาจากไหนน่ะ?” สวี่ไฉไม่ได้ยินที่อาจารย์หลัวบ่น ยังคงคุยกับสื่อปินอย่างกระตือรือร้น

 

“คือว่า...เราเพิ่งกลับมาจากถนนโคมแดง” สายตาของสื่อปินฉายแววลำพองใจ

 

สวี่ไฉที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ แต่ก่อนเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนที่โดดเด่นของคณะพลศึกษา ไม่แค่ร่วมแข่งการต่อสู้แบบผสมผสานระดับเมืองหลายครั้งหลายหน แต่ยังได้คะแนนที่น่าประทับใจด้วย ปกติก็เป็นที่ชื่นชอบของเด็กผู้หญิง แม้จะเป็นคนตรงๆ มีเพื่อนฝูงมากมาย แต่คนอย่างสื่อปิน เป็นมิตรกับเขาเพียงผิวเผิน ทว่าความจริงแล้วในใจนั้นอิจฉาสวี่ไฉสุดๆ มาตลอด ตอนนี้เห็นสวี่ไฉและคนเหล่านี้หมกตัวอยู่ที่นี่ ขณะที่ตัวเองออกไปข้างนอกแล้วกลับมาแบบมีชีวิต ในใจก็ย่อมรู้สึกลำพองพอตัว

 

ตอนนี้ไม่แค่สวี่ไฉที่มีสีหน้าตกตะลึง คนในห้องก็ยังพากันลุกขึ้นเข้ามาใกล้ด้วยความประหลาดใจด้วย

 

ตอนนี้ถึงได้มีใครบางคนสังเกตเห็นพวกหลิงม่อที่ยืนอยู่ด้านหลัง และยังมีคนจำเย่เลี่ยนได้ในแวบแรกด้วย “นั่นเย่เลี่ยนไม่ใช่เหรอ!”

 

“นั่นดาวมหาวิทยาลัยที่ใครๆ ก็รู้จักนี่...เธออยู่กับสื่อปินได้ยังไง?”

 

“ผู้ชายคนข้างๆ ก็เป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยเราใช่ไหม...”

 

สื่อปินเดิมนั้นค่อนข้างภาคภูมิใจกับตัวเอง แต่อยู่ๆ กลับรู้สึกว่าชายเสื้อตัวเองถูกดึง เขารีบหันกลับไป เจอกับสายตาตักเตือนของหลินล่วนชิวเข้าพอดี

 

ความหนาวเยือกแผ่ขึ้นมาจากส้นเท้า สื่อปินรู้สึกหนังศีรษะชา ตอนที่หันกลับไปมองหลิงม่อ ก็พบว่าหลิงม่อฉีกยิ้มอย่างหมดความอดทน สายตาก็ค่อนข้างเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัด

 

“คือว่า ทุกคนอย่าเอะอะ!” สื่อปินรีบตะโกนหยุดทุกคน จากนั้นก็มองหลิงม่ออย่างกลัวๆ ถอยไปอยู่ข้างๆ ด้วยความกระดาก

 

สวี่ไฉคนนี้สายตายังใช้ได้อยู่ พอเห็นสื่อปินมีปฏิกิริยาแปลกไป ก็พอเข้าใจอะไรๆ ได้ เขารีบเลื่อนสายตาสนใจใคร่รู้ไปทางหลิงม่อ “ขอโทษนะ ไม่ทราบว่านายอยู่คณะไหนเหรอ?”

 

หลิงม่อส่ายหน้า “ฉันไม่ใช่นักเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับพวกนาย แค่มาทำธุระนิดหน่อย”

 

ดูเหมือนสีหน้าจะเรียบเฉย แต่ความจริงในใจหลิงม่อนั้นด่าสื่อปินสาดเสียเทเสีย ก่อนหน้านี้ไอ้หมอนี่เพิ่งจะเจอเขา ก็เปิดเผยพื้นหลังของหลินล่วนชิวจนหมด ตอนนี้ยังจะเอาที่มาที่ไปของพวกเขาไปบอกผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้อีก คนๆ นี้เป็นนักขายเพื่อนมืออาชีพเลยสินะ! เพิ่งจะกลับมาจากถนนโคมแดงเหรอ? นี่เท่ากับว่ากำลังบอกคนอื่นๆ ว่าพวกเรามีความสามารถข้ามครึ่งมหาวิทยาลัยมาได้ พวกนายรีบมากอดแข้งกอดขา ขอร้องพวกเราให้พาพวกนายออกไปอยู่ใช่ไหม?

 

การคุยโว้โอ้อวดไม่ใช่เรื่องผิด แต่ผิดที่ตัวเองไม่ได้มีความสามารถสักเลยสักนิด หลักๆ แล้วถือเป็นเป็นตัวถ่วง แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นว่าแข้งขานั้นเป็นของตัวเอง!

 

ดีที่คนทั่วไปคงไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้เป็นความจริง...

 

ภาพที่หลินล่วนชิวเตือนสื่อปินเมื่อครู่ หลิงม่อเห็นทั้งหมด แต่นี่ไม่ได้ทำให้กู้ความประทับใจแย่ๆ ที่เขามีต่อสื่อปินคืนมาได้

 

ฉวยโอกาสนี้ ทิ้งสื่อปินไว้ที่นี่ซะเลย แต่เรื่องนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ต้องบอกหลินล่วนชิวล่วงหน้าก่อน เพราะถึงอย่างไรทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เรื่องแบบนี้ควรบอกก่อนแล้วค่อยทำจะดีกว่า

 

จริงดังคาด คำพูดของสื่อปินเมื่อครู่นี้ดึงดูดการตอบสนองจากคนพวกนั้นไม่น้อย แม้พวกเขาจะไม่ได้ถกเถียงกันเสียงดัง แต่สายตาที่มองมาทางสื่อปินก็แปรเปลี่ยนเป็นประกายร้อนแรง กระทั่งยังมีคนเริ่มเตรียมจะขยับเดินมาข้างหน้าแล้ว

 

น่าเสียดายที่เรือนร่างของสวี่ไฉแทบจะบังประตูบานกระจกไว้ทั้งหมด “โอ๊ะโอ...ไม่เป็นไร ตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในฐานะเดียว พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์ ถูกไหม? ในเมื่อมาแล้วก็แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน รีบเข้าไปนั่งเถอะ” สวี่ไฉดูเหมือนมีแต่กล้ามเนื้อทว่าไร้สมอง แต่ความจริงนั้นเขาไม่เพียงมีสายตาที่เฉลียวฉลาด สมองก็ยังประมวลผลรวดเร็วด้วย เขาเดาว่าหลิงม่อน่าจะแข็งแกร่งกว่าสื่อปิน แต่จะแข่งแกร่งแค่ไหนก็พูดยาก ประเด็นคือ เขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่นจริงๆ ตรงข้ามกันคือซย่าน่าที่ถือดาบยาว สายตาดุดัน ให้ความรู้สึกว่าเธอเก่งกาจสุดๆ

 

ดังนั้นเขาคิดว่า คนที่ฝีมือร้ายกาจท่ามกลางคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นเด็กสาวคนนี้ แต่ตอนที่เขามองไปทางซย่าน่า ซย่าน่าก็มองเขาด้วยแววตาประหลาด ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่สบสายตากับซย่าน่า สวี่ไฉรู้สึกเหมือนถูกมองเป็นเหยื่อ เขารีบถอนสายตา สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่เย่เลี่ยน

 

นี่คือดาวมหาวิทยาลัยที่ทุกคนรู้จักดี ดูเหมือนจะสวยกว่ารูปที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สิบเท่า! อีกทั้งเย่เลี่ยนก็ดูเหมือนจะเก่งกาจมากด้วย แต่ก่อนหน้าไม่เคยได้ยินเลยว่าดาวมหาวิทยาลัยคนนี้ใช้ดาบเป็นด้วย...

 

พอเห็นสวี่ไฉ่มองเย่เลี่ยนโดยไม่ละสายตา หลิงม่อก็ขมวดคิ้วทันที “นายมองอะไร?”

 

สวี่ไฉผงะ เขามองหลิงม่อแล้วก็ส่งสายตาไปถามสื่อปิน สื่อปินรู้ว่าตัวเองคงล่วงเกินหลิงม่อเข้าแล้ว เวลาพูดจึงบีบเสียงเบามาก ฟังดูไม่ค่อยมีพลัง “เขาเป็นแฟนของเย่เลี่ยน”

 

“แฟน?” สวี่ไฉเผยสีหน้าตะลึงงัน แต่เขาก็กลับมามีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถาม “ฮ่าๆ ขอโทษนะ ดูไม่ออกเลย พวกนายไม่เข้ามาเหรอ? แม้ห้องจะไม่ใหญ่ แต่พวกนายเบียดๆ กันหน่อยก็ได้แล้วล่ะ”

 

หลิงม่อไม่มีความรู้สึกดีกับคนๆ นี้สักนิดเดียว พอได้ยินเขาถามแบบนี้ก็แค่นเสียงหึเย็นชาบอก “ไม่ต้องหรอก พวกเราแค่พักเท้าชั่วคราว”

 

“ถ้างั้นเข้ามาพักเท้าก็ได้...” สวี่ไฉยังตั้งใจจะชักชวนต่อไป แต่หลิงม่อกลับหันไปมองหลินล่วนชิว “ที่นี่ยังมีที่อื่นอีกไหม?”

 

หลินล่วนชิวพยักหน้า พอเงยหน้ามองสวี่ไฉแล้ว ก็บอกหลิงม่อ “มากับฉันสิ”

 

เธอพูดพลางนำทางไปยังอีกฝั่งของระเบียง หลิงม่อมองสวี่ไฉด้วยสายตาเย็นชาแล้วก็พาเย่เลี่ยนและซย่าน่าหันหลังจากไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด