ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 34 : ค่าตอบแทนล่วงหน้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 36 : คำถามง่ายๆ หนึ่งข้อ

ราชันย์เร้นลับ 35 : แลกเปลี่ยนข้อมูล


ราชันย์เร้นลับ 35 : แลกเปลี่ยนข้อมูล

 

ไดอารีลับของโรซาย·กุสตาฟ?

จักรพรรดิโรซายคนนั้นน่ะหรือ?

 

สมกับเป็นมิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ความสนใจย่อมต้องยิ่งใหญ่ตามไปด้วย… ออเดรย์ผงะเล็กน้อย ก่อนระลึกได้ว่านี่เป็นเรื่องปรกติ

 

มีข่าวลือว่า จักรพรรดิโรซายเคยเห็นแผ่นศิลาเย้ยเทพด้วยตาตัวเองมาแล้ว และว่ากันว่า ไพ่ลับจำนวน 22 ใบที่โรซายสร้างขึ้น มีความเกี่ยวพันธ์ลึกซึ้งกับ 22 เส้นทางสู่ความเป็นเทพ ไม่แปลกที่ผู้วิเศษลำดับสูงจะแสวงหาข้อมูลเหล่านี้

 

“ไดอารี? นั่นคือไดอารีหรอกหรือครับ?”

 

อัลเจอร์ขมวดคิ้ว มันเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น

 

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ… มิสเตอร์ฟูลกลับกล้าระบุชัดเจนว่าสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวเป็นไดอารี!

 

ชายคนนี้ทราบได้อย่างไร?

หรือว่า สามารถอ่านเนื้อความที่เขียนในสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวออก?

เมื่อถูกแฮงแมนตั้งคำถามด้วยสีหน้าตื่นตะลึง หมายความไคลน์ประสบความสำเร็จในการสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย

 

ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางนำมือประสานไว้ด้านหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

 

“จงเรียกมันว่าไดอารีไปก่อน”

 

ไคลน์แบ่งรับแบ่งสู้

 

ออเดรย์เคยได้ยินทายาทของขุนนางชั้นสูงคนอื่นกล่าวถึงสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวอยู่บ้าง แต่เธอไม่มีรายละเอียดเชิงลึกของมัน เด็กสาวจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงใคร่รู้

 

“ได้ยินมาว่า เอ่อ… ไดอารีของจักรพรรดิโรซายเล่มนั้นถูกเขียนไว้ด้วยภาษาที่เข้ารหัสซับซ้อน หรือไม่ก็สัญลักษณ์ที่เขาคิดค้นขึ้นเอง”

 

“ถูกต้อง”

 

อัลเจอร์ตอบห้วน

 

“บางคนระบุว่า สัญลักษณ์ดังกล่าวคืออักขระเวทมนตร์โบราณ บ้างก็ชื่อว่าเป็นอักษรบรรพกาล จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสข้อความดังกล่าวได้สมบูรณ์ อย่างน้อยนี่คือสิ่งที่ผมทราบ”

 

เมื่อกล่าวจบ อัลเจอร์รีบหันมองไคลน์เพื่อให้อีกฝ่ายบอกเล่าข้อมูลเพิ่มเติม

 

อักษรถูกคัดลอกจากต้นฉบับมาแล้วหลายทอด ไม่แปลกที่มันจะบิดเบี้ยวและอ่านได้ยากกว่าต้นฉบับ จากสติปัญญาของมนุษย์ คงยากที่จะให้ถอดรหัสภาษาจีนผิดเพี้ยนซึ่งถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา

 

ไคลน์ยังคงรักษามาดเข้ม มันอมยิ้มภายในหมอกสีเทาหนาทึบ

 

สำหรับฝ่ายที่มองว่าเป็นอักขระเวทมนตร์โบราณ ไคลน์พลันนึกถึงมุกตลกหนึ่งได้

 

จอมเวมชั่วร้ายแต่งกายในชุดดำ ถลกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นจนเผยให้เห็นสัญลักษณ์พิเศษของจักรพรรดิโรซายบริเวณหัวไหล่ เป็นอักษรจีนกลางสีฟ้าตัวใหญ่เขียนไว้ว่า :

 

“逗比” (โต้วปี่ — ตัวตลกในหมู่เพื่อน)

 

มุมปากไคลน์ยกโค้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อจินตนาการถึงมุกตลกสุดฝืดของโลกเก่า อารมณ์ของมันเริ่มแจ่มใสขึ้นกว่าเดิม

 

หลังจากได้ยินคำอธิบายของแฮงแมน เด็กสาวผมทองแสดงสีหน้าครุ่นคิด

 

“ถ้าพวกเราอ่านไม่ออก… แล้วจะถ่ายทอดข้อมูลให้คุณได้อย่างไรคะ? มิสเตอร์ฟูล หรือพวกเราต้องส่งจดหมายไปที่ใดสักแห่ง?”

 

เป็นคำถามที่น่าสนใจ… ไคลน์ไม่คิดเสี่ยงให้ที่อยู่ของตัวเอง การเชื่อมต่อออนไลน์ก็ต้องทำในรูปแบบออนไลน์เท่านั้น…

 

มันไม่รีบให้คำตอบ มือที่กำลังประสานกันด้านหน้า นิ้วโป้งถูกกางออกจากกันเล็กน้อย ก่อนจะหุบกลับมาชนกันอีกครั้ง ทำสลับเช่นนี้ซ้ำไปมา เป็นสัญญาณการใช้สมองครุ่นคิด

 

จนกระทั่งได้ข้อสรุป

 

ในเมื่อตนสามารถสร้างห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์สุดหรูหราได้ตามใจนึก เช่นนั้นแล้ว อาจพอมีหนทางที่จะแสดงภาพในจินตนาการของผู้อื่นออกมา

 

คงต้องทดสอบดูสักหน่อย…

 

ทันใดนั้น ทั้งแฮงแมนและจัสติสเห็นเดอะฟูลลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายหมอกสีเทา

 

“มิสจัสติส ช่วยร่วมมือทดสอบสักหน่อย จงนึกถึงข้อความขึ้นมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็เพ่งสมาธิและจิตนาการภาพตัวเองเขียนมันลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงมือเขียนจริงด้วยปากกาที่เตรียมไว้ให้”

 

ยังไม่ทันที่ไคลน์จะกล่าวจบ กระดาษหนังแพะสีเหลืองน้ำอมตาลและปากกาหมึกซึมสีดำแดงได้วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าออเดรย์

 

เด็กสาวจ้องมองปากกาด้วยท่าทีสับสนและไม่มั่นใจ แต่ก็พยายามทำตามขั้นตอนที่อีกฝ่ายชี้แนะ เธอจินตนาการถึงกวีบทหนึ่งซึ่งจักรพรรดิโรซายเคยแต่งไว้

 

“เมื่อย่างเข้าเหมันต์ ใบไม้ผลิก็ใกล้แค่เอื้อมมิใช่หรือ?*”

 

( เป็นคำถามเชิงปรัญชาจากหนังสือ Ode to the West Wind อันโด่งดัง - ประพันธ์โดย Percy B. Shelley )

 

หลังจากจินตนาการตัวเองทำการเขียนข้อความลงบนกระดาษเสร็จ ออเดรย์หยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาและเริ่มลงมือเขียนจริง

 

ไคลน์สัมผัสความคิดของหล่อนโดยมีปากกาหมึกซึมเป็นสื่อกลาง มันถ่ายทอดในสิ่งที่ออเดรย์คิดลงบนกระดาษ

 

ในวินาทีที่ปลายปากกาจรดลงบนกระดาษหนังแพะ เธอพลันเห็นข้อความประโยคหนึ่งถูกเขียนไว้เสร็จสรรพ

 

“เมื่อย่างเข้าเหมันต์ ใบไม้ผลิก็ใกล้แค่เอื้อมมิใช่หรือ?”

 

“สุดยอด! มหัศจรรย์มาก!”

 

ออเดรย์โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงสุดตกตะลึง ขณะเดียวกันก็ออกอาการเศร้าซึม

 

เด็กสาวผมทองชำเลืองมองไคลน์ด้วยสีหน้าหวาดระแวงและตึงเครียด

 

“มิสเตอร์ฟูล… คุณอ่านความคิดของฉันได้หรือคะ?”

 

“ไม่เลย เราเพียงชี้นำเท่านั้น อาศัยแรงปรารถนาที่เจ้าต้องการเขียน ช่วยถ่ายทอดภาพที่อยู่ในหัวออกมา หากเจ้าไม่ต้องการเปิดเผย ข้อความก็จะไม่ปรากฏ”

 

ไคลน์พยายามสงบสติหล่อนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“แบบนี้นี่เอง… ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็แค่จดจำสัญลักษณ์ของจักรพรรดิโรซายให้ได้ จากนั้นค่อยถ่ายทอดให้คุณภายหลังใช่ไหม?”

 

ออเดรย์ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง

 

“ถูกต้อง”

 

ไคลน์ตอบเรียบง่าย

 

“เป็นวิธีที่ดีมาก มิสจัสติส คุณไม่ต้องกังวลเรื่องความสามารถในการจดจำ หลังจากกลายเป็น ‘ผู้ชม’ แล้ว พลังความจำของคุณจะพัฒนาจนอยู่ในระดับน่าทึ่ง”

 

อัลเจอร์เฝ้ามองการทดลองอย่างใกล้ชิด มันพบว่าเดอะฟูลผู้นี้ทรงพลังและทรงปัญญากว่าที่ตนจินตนาการไว้มาก…

สำหรับอัลเจอร์ ด้านความจำไม่ใช่ปัญหา หากการเลื่อนระดับครั้งถัดไปสำเร็จ พลังความจำของมันจะเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า

เมื่อได้ยินแฮงแมนกล่าวเช่นนั้น ออเดรย์ผงกศีรษะด้วยความเบาใจ

“ขอบคุณที่ช่วยเตือนค่ะ มิสเตอร์แฮงแมน คุณยังมีเคล็ดลับเกี่ยวกับเส้นทางผู้ชมเพิ่มเติมอีกไหม?”

ขณะกล่าว เธอแอบชำเลืองไปยังหัวโต๊ะ

“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันจะพยายามเต็มที่เพื่อให้ภารกิจของคุณลุล่วง จะใช้เส้นสายทั้งหมดสำหรับรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายจำนวนมาก”

 

“เราเคยกล่าวไปแล้วว่า เราชื่นชอบที่จะแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ส่วนค่าตอบแทนล่วงหน้าที่บอกใบ้ไปเมื่อครู่ มูลค่าของมันเทียบเท่าไดอารีจำนวนสองหน้า หากรวบรวมได้มากกว่านั้น เราก็จะชดเชยให้พวกเจ้าเพิ่ม”

 

ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมลุ่มลึก คล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ที่ไม่คิดเอาเปรียบเด็ก

 

แต่ความจริงแล้ว มันกำลังเอาเปรียบ…!

 

เพราะในส่วนของค่าตอบแทนเพิ่มเติม ชายหนุ่มคิดจะนำข้อมูลจากไดอารีหน้าใหม่เหล่านั้นมาบอกเล่ากับคนทั้งสองเหมือนที่เคยทำ หากินเป็นวัฏจักรเวียนวนเช่นนี้ไม่รู้จบสิ้น

“สมกับเป็นสุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่”

 

อัลเจอร์ที่เงียบงันมานาน มันก้มศีรษะคำนับพลางแนบกำปั้นไว้บนหน้าอก

 

หลังจากเงยหน้าขึ้น อัลเจอร์หันไปกล่าวกับจัสติส

 

“ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งก็แล้วกัน… ผู้ชมจะเป็นได้เพียงผู้ชมวันยังค่ำ

 

“ผมเคยเห็น ‘ผู้ชม’ หลายคนที่อินกับบทบาทของนักแสดงจนเกินพอดี จึงถูกความอารมณ์ของนักแสดงครอบงำโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้อารมณ์อันหลากหลายพรั่งพรูเข้าใส่อย่างรุนแรง ทั้งหัวเราะ โมโห และร้องไห้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมพึงกระทำ

 

“เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลในสังคมที่สวมหน้ากากเข้าหากัน คนเหล่านั้นคือนักแสดงซึ่งกำลังปกติดตัวตนที่แท้จริง คุณห้ามมีอารมณ์ร่วมไปกับคนเหล่านี้โดยเด็ดขาด หน้าที่ของคุณคือเฝ้าสังเกตุรายละเอียดเล็กน้อยด้วยความสุขุม เพ่งสมาธิหาสิ่งผิดปรกติ เช่นอิริยาบถเมื่ออีกฝ่ายโกหก หรือกลิ่นอายเจือจางของอารมณ์ประหม่า หากทำได้โดยสมบูรณ์แบบ คุณจะจับโกหกมนุษย์ทุกคนบนโลกได้

 

“มนุษย์จะมีอารมณ์และกลิ่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ส่วนมากมักเก็บซ่อนไว้ด้านในอย่างมิดชิดโดยไม่เปิดเผยให้ใครเห็น แต่สำหรับ ‘ผู้ชม’ ที่เก่งฉกาจ พวกเขาสามารถขุดคุ้ยกลิ่นดังกล่าวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

“เมื่อไรก็ตามที่คุณใช้อารมณ์มากเกินไป พลังสังเกตุก็จะเริ่มเอนเอียง การสัมผัสถึงอารมณ์ที่แท้จริงของผู้อื่นก็ยิ่งทำได้ยาก เพราะจิตใจกำลังถูกรบกวนด้วยอารมณ์เข้มข้นของตัวเอง”

 

ออเดรย์ฟังอย่างตั้งใจ แววตาของเธอกำลังเปล่งประกายสุดขีด

 

“น่าสนใจมาก… สุดยอดไปเลย!”

 

ไคลน์ที่ได้ฟังเช่นนั้นเริ่มเข้าใจบางสิ่ง

 

หากมันตีความไม่ผิด โอสถผู้ชมจะมีหลักการสำคัญก็คือ ‘ต้องวางตัวเป็นกลางและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว’

 

เหมือนกับการสวมบทบาทเป็นผู้ชมตัวจริงเลยแฮะ…

 

เดี๋ยวก่อน… สวมบทบาท?

ความหมายเดียวกับ ‘สวมบทบาท’ ที่จักรพรรดิโรซายเอ่ยถึงรึเปล่า?

 

ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องสวมบทบาทเป็นนักทำนาย เพื่อให้ย่อยพลังโอสถได้เร็วขึ้น?

 

ขณะไคลน์กำลังด่ำดิ่งในห้วงความคิด อัลเจอร์กล่าวกับออเดรย์ว่า ตัวมันไม่มีคำแนะนำใดเพิ่มเกี่ยวกับโอสถผู้ชมอีกแล้ว

 

ไคลน์กวาดสายตามองหนึ่งรอบ

 

“หมดธุระหรือยัง?”

 

“ผมคิดว่า พวกเราควรแลกเปลี่ยนข้อมูลรอบตัวสักเล็กน้อย เพื่อให้ทราบความเป็นไปของโลกในมุมที่แตกต่างกัน สำหรับคุณอาจเป็นเรื่องด้อยค่า แต่สำหรับพวกเรา ข้อมูลเหล่านี้อาจมีประโยชน์มหาศาล”

 

“ไม่มีปัญหา”

 

ไคลน์พยักหน้าพลางเอนหลังพิงเก้าอี้

ภายในหัวชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดหาวิธี ‘สวมบทบาท’ เป็นนักทำนาย ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่มีค่า ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

 

ความเห็นของอัลเจอร์จึงนับว่าน่าสนใจมากทีเดียว และการแลกเปลี่ยนข้อมูลคงไม่ทำให้ตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

“ถ้าอย่างนั้น เริ่มที่คุณก่อนดีไหมคะ? มิสเตอร์แฮงแมน”

 

ออเดรย์กำลังตื่นเต้น

 

อัลเจอร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเล่า

 

“โจรสลัดต่ำทรามที่เรียกตัวเองว่า นายพลโจรสลัด·ลูเธอร์ไวล์ เริ่มล่องเรือสำรวจสุดขอบตะวันออกของทะเลโซเนียอีกครั้ง”

 

“หือ? เจ้าของ ‘ทิวลิปดำ’ น่ะหรือ?”

ออเดรย์ถามพลางครุ่นคิด

 

“ถูกต้อง”

 

อัลเจอร์พยักหน้า

 

ไม่รู้จักเลยแฮะ… ไคลน์นั่งฟังอย่างเงียบงัน ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดถึงข้อมูลที่ตนจะนำไปแลกเปลี่ยนกับทั้งสอง

 

ต้องเป็นข้อมูลซึ่งไม่เปิดเผยตัวตน แต่ก็ต้องมีน้ำหนักมากพอจะสร้างความน่าเชื่อถือ

 

พลังจากไตร่ตรองสักพัก มันก็ได้ข้อสรุป ไคลน์ยังคงรักษามาดเคร่งขรึมของเดอะฟูลไว้ ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองเหลืองอย่างนุ่มนวล

 

“เท่าที่เราทราบ ลิทธิเร้นลับได้ทำสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสสูญหาย”

 

นี่มิใช่ข้อมูลเฉพาะของเหยี่ยวราตรีสาขาทิงเก็นเท่านั้น แต่ผู้วิเศษที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงสมาชิกลัทธิเร้นลับก็ย่อมทราบ ไม่มีทางถูกสืบสาวถึงตัวตนด้วยข้อมูลนี้แน่

 

“สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส?”

 

อัลเจอร์ส่ายศีรษะพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

 

“ถ้าโบสถ์เทพธิดารัตติกาลรู้เรื่องนี้เข้า พวกมันจะมีท่าทีเช่นไรกัน…”

 

เดี๋ยวก่อน… ทำไมนายถึงเอ่ยชื่อโบสถ์เทพธิดารัตติกาลออกมาตั้งแต่คำแรก? ไคลน์สัมผัสถึงลางร้าย แต่มันไม่กล้าเอ่ยปากถาม การกระทำน่าอับอายรังแต่จะทำให้สูญเสียภาพลักษณ์เดอะฟูลโดยเปล่าประโยชน์

 

ทันใดนั้น ออเดรย์โพล่งด้วยน้ำเสียงฉงน

 

“ทำไมต้องมีท่าทีด้วย? โบสถ์เทพธิดาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ?”

 

อัลเจอร์ยังคงยิ้ม

 

“ตระกูลอันทีโกนัสถูกทำลายด้วยน้ำมือโบสถ์เทพธิดารัตติกาล

 

“ไม่แน่ใจว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนปลายยุสสมัยที่สี่ หรือว่าต้นยุคสมัยที่ห้า”

 

นั่นมัน… นัยน์ตาไคลน์พลันหดลีบ ร่างกายเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง

 

กะแล้วเชียว

 

มิน่า… เหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็นถึงได้ให้ความสำคัญกับสมุดบันทึกอันทีโกสมากขนาดนั้น

 

และสาเหตุที่เหยี่ยวราตรี ‘ตอบแทน’ ตนด้วยการเลื่อนระดับให้เป็นผู้วิเศษ  แม้จะอ้างว่าตอบแทนในเรื่องที่ช่วยเหลือจับกุมตัวสมาชิกลิทธิเร้นลับ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เหยี่ยวราตรีเพียงต้องการให้มันเพิ่มสัมผัสวิญญาณ เพื่อที่จะได้พบเบาะแสสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวได้ง่ายขึ้น!

 

หัวหน้าไม่ได้ปกปิด ดันน์·สมิทเคยพูดเกริ่นไว้แล้วหลายครั้ง เพียงแต่ตัวมันไม่เอะใจ…

 

หลังจากได้ยินคำอธิบายจากแฮงแมน เด็กสาวผมทองแสดงสีหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่า

 

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วย…

 

“เอาล่ะ ถึงตาฉันแล้ว ขอนึกก่อนนะคะว่าจะเล่าเรื่องไหนดี”

 

ทายาทขุนนางสาวสวยเอียงคอครุ่นคิดโดยใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะไว้

 

“เมื่อวาน… ครูสอนมารยาทได้สอนวิธีการเป็นลมอย่างสง่างามโดยไม่เสียจริตของสตรีและไม่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อที่จะได้ใช้หลีกหนีจากสถานการณ์อึดอัดหรือขณะถูกผู้ชายตามจีบ… ฮิฮิ ขออภัยค่ะ ที่เล่าไปเมื่อครู่เพราะกำลังเรียบเรียงความทรงจำ…

 

“ของจริงที่จะเล่าก็คือ หลังจากอาณาจักรโลเอ็นพ่ายแพ้ในสนามรบชายฝั่งตะวันออกของไปลัน ทั้งกษัตริย์ รัฐมนตรี และเหล่าขุนนางต่างพากันตึงเครียดอย่างหนัก พวกเขาต้องการความเปลี่ยนแปลง”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด