ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 31 : โอสถ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 33 : ปุ่มเปิดปิด

ราชันย์เร้นลับ 32 : เนตรวิญญาณ


ราชันย์เร้นลับ 32 : เนตรวิญญาณ

 

ไคลน์จ้องมองเข้าไปในของเหลวกึ่งเยลลี่สีน้ำเงินเข้ม ยากจะอธิบายว่านี่คือของเหลวหนึ่งแก้วหรือหนึ่งถ้วยกันแน่

 

ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าขาวซีดพลางกลืนน้ำลาย

 

“ผมต้องดื่มทั้งอย่างนี้เลยหรือ?

 

“ต้องผ่านขั้นตอนอะไรก่อนไหมครับ? เช่นพิธีกรรม ร่ายคาถา หรือสวดภาวนา”

 

ลุงนีลล์พยักหน้า

 

“ขั้นตอน? มีสิ มีแน่นอน ก่อนอื่นเลย เจ้าต้องจิบไวน์เออร์เมียร์ของอินทิสพร้อมกับสูบซิการ์เดซี่ จากนั้นก็เต้นจังหวะราชสำนักหรือจะเต้นแท็ปก็ได้ถ้าชอบ ตบท้ายด้วยการเล่นไพ่เกว็นท์ต่ออีกยก…”

 

เมื่อเห็นไคลน์กำลังฉงน ลุงนีลล์หัวเราะคิกคักก่อนเฉลยสิ่งที่กล่าวไปเมื่อครู่

 

“หรืออะไรก็ได้ที่ตัวเจ้าหายประหม่า”

 

…คิดว่าตัวเองตลกมากนักหรือลุง?

 

มุมปากไคลน์กำลังกระตุก มันพยายามหักห้ามใจไม่ใช่ชักปืนในซองรักแก้ออกมายิง

 

ไคลน์วางไม้ค้ำลงพร้อมกับยื่นแขนขวาออกไปจับแก้วทึบแสง ขณะยกแก้วขึ้น กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโอสถโชยเตะจมูกอย่างเข้มข้น

 

“เจ้าหนุ่ม อย่าได้ลังเล ยิ่งลังเลมาก ความหวาดกลัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และนั่นจะส่งผลต่อการดูดซึมพลังจากโอสถ”

 

ลุงนีลล์กล่าวขณะหันหลังให้ไคลน์ น้ำเสียงของมันเรียบเฉยราวกับคุ้นชินสถานการณ์

 

โดยที่ไคลน์ไม่รู้ตัว ลุงนีลล์เดินไปถึงอ่างล้างมือและเปิดก็อกน้ำเพื่อทำความสะอาด

 

ชายหนุ่มพยักหน้ากับตัวเองพร้อมกับสูดลมหายใจสุดปอด กริยาท่าทางเหมือนกับเด็กถูกบังคับกินยา มันใช้มือข้างหนึ่งอุดจมูก อีกข้างจับแก้วกระดก ของเหลวสุดสะอิดสะเอียนถูกดื่มรวดในอึกเดียว

 

สัมผัสอันนุ่มละมุนและเย็นฉ่ำเคลื่อนที่ผ่านช่องปากไปยังหลอดอาหารอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ถึงกระเพาะ

 

ประหนึ่งของเหลวสีน้ำเงินเข้มชนิดนี้ปลดปล่อยหนวดแหลมยาวในท้องไคลน์เป็นระยะ เซลล์ทั้งหมดในร่างพลันเย็นวาบอย่างสะอิดสะเอียน

 

ร่างกายบิดงอเมื่อการมองเห็นเริ่มพร่ามัว สีสันในสายตาฟุ้งกระจายท่วมท้น แดงยิ่งแดงก่ำ น้ำเงินยิ่งน้ำเงินเข้ม ดำยิ่งดำสนิท

 

สีสันอันหลากหลายเข้มข้นถูกฉายในการมองเห็นคล้ายกับภาพวาดของศิลปินร่วมสมัย

 

ไคลน์เคยพานพบประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้ว… มันเหมือนกับเมื่อครั้งถูกผู้สื่อวิญญาณ·มาดามดาลี่ย์ประกอบพิธีกรรม!

 

ในตอนนั้น สายตาของไคลน์พร่ามัวหนักมาก แต่จิตใจยังคงเบาสบายและแจ่มชัด คล้ายกับดวงวิญญาณล่องลอยไปบนทะเลจิตอันกว้างใหญ่

 

เพียงไม่นาน ภาพการมองเห็นรอบตัวชายหนุ่มเริ่มกลับเป็นสีสันปรกติ สิ่งเดียวที่แปลกประหลาดคือหมอกสีเทาซึ่งกำลังฟุ้งกระจายบดบังการมองเห็น

 

รอบตัวไคลน์ปรากฏรูปร่างมายาของสิ่งมีชีวิตที่อธิบายไม่ได้เต็มไปหมด ไม่เหมือนกับสัตว์ตนใดที่มันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อเพ่งพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ร่างกายพวกมันค่อนข้างแวววาวและส่องแสงหลากสี สัญชาตญาณของไคลน์กำลังบ่งบอกว่า พวกมันคือร่างจิตของสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญา

 

ภาวะทั้งหมดที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตามาก… เมื่อก้มมองลงไป มันได้พบ ‘ตนเอง’ ยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม แต่ด้วยร่างกายที่สั่นเทา

 

ทันใดนั้น เมื่อจิตตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังมองเห็นไม่ได้เกิดจากร่างจริง สติพลันถูกดึงกลับร่างหลักอีกครั้ง

 

ซู่ว!

 

หมอกสีเทาจางหายไป การมองเห็นรอบตัวกลับเป็นปรกติ ไม่หลงเหลือภาพของสิ่งมีชีวิตเลือนลางที่ระบุสายพันธุ์ไม่ได้เมื่อครู่

 

ห้องแปรธาตุยังคงเป็นห้องแปรธาตุ

 

แต่สมองของไคลน์กำลังหมุนเคว้งราวกับถูกมือมนุษย์กวนขยำ สายตาที่เคยคิดว่ากลับเป็นปรกติแล้ว ได้เกิดภาพทับซ้อนจนเริ่มพร่ามัว โสตประสาทกึกก้องด้วยเสียงกระซิบที่แจ่มชัด

 

“โฮนาซิส… เฟรเกีย…

 

“โฮนาซิส… เฟรเกีย”

ขณะไคลน์กำลังเจ็บปวดดุจดังถูกกรีดแทงบริเวณหน้าผาก มันพยายามควานหาต้นตอเพื่อระบายความรู้สึกอึดอัดออกไป

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้วชนกันพลางออกแรงสะบัดศีรษะ

 

“การมองเห็นผิดเพี้ยนใช่ไหม? กำลังได้ยินในเสียงที่ไม่เคยได้ยินใช่ไหม?”

 

ลุงนีลล์กล่าวพร้อมกับเดินมายืนด้านข้างด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

 

“ใช่ครับมิสเตอร์นีลล์ ผมควรทำอย่างไร?”

 

ขณะฝืนเค้นเสียงถาม ไคลน์พยายามข่มความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้น

 

ลุงนีลล์หัวเราะ

“นี่คือผลจากการรั่วซึมของพลังโอสถ เจ้ายังไม่เข้มแข็งพอจะควบคุมมันได้ทั้งหมด… เอาล่ะ ทำตามที่ฉันบอก จินตนาการภาพวัตถุสักชนิดขึ้นในสมอง ไม่ต้องซับซ้อนเกินไปนัก”

 

ไคลน์รีบนึกภาพหมวกผ้าไหมสีดำทรงกึ่งสูงที่ตนเพิ่งซื้อ ชายหนุ่มพยายามจินตนาการถึงรูปทรงและสัมผัสของมัน

 

“เพ่งสมาธิทั้งหมดไว้ที่วัตถุดังกล่าว ทำซ้ำจนกว่าภาพของวัตถุจะชัดเจนที่สุด เสมือนจริงที่สุด… เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นรึยัง?”

 

เสียงของลุงนีลล์ส่งผ่านมาถึงแก่นจิตใจชายหนุ่มประหนึ่งบทเพลงสุนทรี

 

ไคลน์พยายามเพ่งจิตให้รูปทรงของหมวกผ้าไหมชัดเจนที่สุด หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ เสียงกระซิบโฮนาซิสเริ่มบางเบาจนไม่ได้ยิน ภาพการมองเห็นที่เคยซ้อนทับจนเบลอ เริ่มประกบกันอย่างสมบูรณ์คมชัด

 

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

 

ไคลน์ถอนหายใจยาวเมื่อความอลหม่านภายในห้วงความคิดเริ่มสงบนิ่ง มันทดสอบก้มมองลงไปด้านล่าง ภาพทุกอย่างกลับคืนสู่ความปรกติ

ชายหนุ่มขยับแขนขาด้วยความคาดหวังเจือปนสงสัย ก่อนจะเอ่ยปากถาม

 

“ผมทำสำเร็จรึเปล่า? กลายเป็นนักทำนายแล้วหรือยัง?”

ลุงนีลล์หยิบแผ่นปรอทที่มีลักษณะคล้ายกระจกเงามาจ่อหน้าไคลน์

 

“ลองมองเข้าไปในดวงตาสิ”

 

ภาพแรกที่เห็นคือไคลน์·โมเร็ตติคนเดิมกำลังสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง รูปลักษณ์ยังเหมือนเดิมทุกประการ สิ่งเดียวที่แตกต่างจากปรกติ คือเหงื่อไคลที่ชุ่มชะโลมใบหน้าราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

 

ชายหนุ่มเริ่มทำตามคำแนะนำลุงนีลล์ สมาธิทั้งหมดถูกเพ่งไปยังนัยน์ตาสีน้ำตาล จากนั้นก็พบว่าดวงตาของตนลุ่มลึกกว่าเดิมค่อนข้างมาก ประหนึ่งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สามารถดูดกลืนวิญญาณมนุษย์เข้าไปด้านใน

 

เดิมที นัยน์ตาสีดำตาลของมันมักคมเข้มคลายสีดำมากอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จึงแทบไม่เห็นถึงความแตกต่าง หากไม่เพ่งพิศอย่างถี่ถ้วน

 

“นี่คือผลกระทบทางกายภาพของพลังจากโอสถ แต่หลังจากเจ้าเรียนวิธีการเข้าฌานและทำความเคยชินกับพลัง สีของนัยน์ตาจะค่อยๆ กลับมาเป็นปรกติในภายหลัง”

 

ลุงนีลล์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นแขนขวาออกมาหา

 

“ยินดีด้วย เจ้ากลายเป็นผู้วิเศษเต็มตัวแล้ว… นักทำนายของพวกเรา”

 

“ขอบคุณมากครับ”

 

ไคลน์ยื่นแขนขวาออกไปจับตอบ

 

“มิสเตอร์นีลล์ แล้วผมจะเรียนการเข้าฌานได้ตอนไหน?”

 

“ตอนนี้เลย… หลักพื้นฐานของการเข้าฌานนั้นง่ายมาก และยิ่งง่ายขึ้นหลังจากกลายเป็นผู้วิเศษ”

 

ลุงนีลล์ยิ้ม

 

“เหมือนกับเมื่อครู่ จินตนาการภาพของวัตถุที่ง่ายและคุ้นเคย พยายามสร้างภาพชัดของวัตถุดังกล่าวในสมอง นั้นคือพื้นฐานของการเข้าฌาน ลองทำดูอีกครั้ง”

 

ไคลน์หลับตาลงอย่างว่าง่าย มันจินตนาการภาพหมวกทรงสูงใบเดิมซ้ำ

 

สมาธิของชายหนุ่มถูกรวบรวมเร็วกว่าครั้งก่อนหน้า เพียงไม่นาน ความคิดฟุ้งซ่านพลันถูกขจัด เหลือไว้เพียงตัวตนอันเด่นชัดของหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงสีดำ

 

“ถัดมา ลองปล่อยความคิดให้วางเปล่า เปลี่ยนวัตถุที่จินตนาการให้เป็นบางสิ่งที่ไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้มาก่อน… ต้องเสกขึ้นจากความว่างเปล่า พยายามออกแบบขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง”

 

“เจ้าต้องทำตามกฏอย่างเคร่งครัด… หลังจากเข้าสู่ฌานที่แท้จริง เมื่อเริ่มตระหนักว่า ‘ตนเอง’ ไร้ตัวตน เมื่อเจ้าก้าวข้ามการระลึกถึง ‘ตนเอง’ ได้ เจ้าก็จะมองเห็นโลกและจักรวาลที่กว้างขึ้น มีสติมากพอจะเข้าใจและพบแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง เจ้าจะได้รับปัญญาซึ่งมีเพียงตนเท่านั้นที่ตกผลึก…

 

“ในขอบเขตของศาสตร์เร้นลับ สิ่งนี้เรียกว่าประสบการณ์เร้นลับ”

 

ลุงนีลล์กล่าวด้วยเสียงสุขุม

 

“ส่วนรายละเอียดมากกว่านี้ ไว้ฉันจะอธิบายให้ฟังวันหลัง ปัจจุบัน สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทราบคือหนทางเข้าฌานที่ถูกต้อง”

 

ให้จินตนาการสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้ สร้างวัตถุขึ้นเองจากความว่างเปล่า…

 

ถ้าอย่างนั้น ใช้วัตถุจากโลกเก่าได้ไหม?

 

ไคลน์ลองจินตนาการภาพขีปนาวุธข้ามทวีปสีเขียวเข้มของกองทัพ ซึ่งเคยเห็นจากทีวีไม่บ่อยครั้งนัก ชายหนุ่มแทนที่หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงด้วยจรวดขีปนาวุธขนาดใหญ่และหนา

 

แต่ไม่ว่าจะพยายามจินตนการให้ชัดเจนเพียงใด มันก็มิอาจหลุดพ้นจากการระลึกถึงตัวเองได้

 

สงสัยจะไม่สำเร็จ…

 

คงต้องปล่อยให้จินตนาการลอยเตลิดไปตามธรรมชาติ ไคลน์เปลี่ยนไปนึกภาพบอลแสงสีขาวสว่างจำนวนมาก จากนั้นก็บรรจงนำมาซ้อนทับกันเป็นรูปทรงแปลกใหม่

หลังจากสร้างวัตถุแสงสีขาวรูปทรงประหลาดในหัวสมอง จิตของไคลน์เริ่มเข้มข้นและล่องลอย

ร่างกายและสมาธิเริ่มสงบนิ่ง ทั้นใดนั้น ภาพการมองเห็นปัจจุบันเริ่มเกิดหมอกสีเทารายล้อมอีกครา ตามด้วยสีสันอันหลากหลายและเข้มข้น ลอยเหนือวัตถุแสงที่ไคลน์จินตนาการเล็กน้อย

 

จิตของชายหนุ่มลอยสูงขึ้นและเพ่งพิจารณาถึงกลุ่มก้อนบอลแสงหลายชั้นจนหลงลืมตัวเองไปชั่วขณะ ไคลน์สัมผัสถึงพวกมันอย่างเด่นชัด และโอบล้อมพวกมันไว้อย่างแน่บแน่น

 

“ยอดเยี่ยมมาก สมกับเป็นนักทำนาย เจ้าเข้าฌานได้อย่างราบรื่นไร้จุดติดขัด แต่ก็ยังด้อยกว่าฉันตอนหนุ่มเล็กน้อย… แค่เล็กน้อยเท่านั้น ฮะฮะ!”

 

ลุงนีลล์ยิ้มอย่างมีความสุข

 

“ถัดมา ฉันจะสอนเกี่ยวกับพลังพื้นฐานที่ใช้งานง่ายและสำคัญที่สุดของผู้วิเศษ แถมยังเป็นพลังที่จำเป็นสำหรับศึกษาศาสตร์เร้นลับในอนาคต… เนตรวิญญาณ!”

 

ลุงนีลล์ดับโคมไฟทั้งหมดในห้องพร้อมกับเปิดประตูแง้มเล็กน้อยให้แสงลอดผ่าน บรรยากาศภายในห้องแปรธาตุพลันมืดสลัว แต่ก็พอจะมองเห็นเค้าลางของวัตถุภายใน

 

“เอาละ คงสภาพเข้าฌานไว้ก่อน ยกฝ่ามือทั้งสองขึ้น นำหลังมือวางไว้หน้าดวงตาแต่ละข้าง นิ้วชี้ต้องอยู่ใกล้กัน แต่ห้ามสัมผัสกันโดยเด็ดขาด

 

“ค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิด จนกว่าจะคุ้นชินกับความมืดของห้อง”

 

ไคลน์ทำตามขั้นตอนของลุงนีลล์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อสายตาเริ่มปรับแสง มันมองเห็นเค้าลางของนิ้วทั้งสิบและฝ่ามือเบื้องหน้า รวบถึงอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องแปรธาตุ

 

“อันที่จริง เจ้าต้องนอนราบลงกับพื้นเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย แต่เมื่อดูจากการเข้าฌานที่ลื่นไหล ฉันคิดว่าคงไม่จำเป็น”

 

นีลล์หัวเราะคิกคัก

 

“เอาล่ะ ดวงตาซ้ายเพ่งมองหลังมือซ้าย ดวงตาขวาเพ่งมองหลังมือขวา จากนั้นก็ขยับนิ้วชี้ทั้งสองขึ้นลงเล็กน้อย อย่าให้สัมผัสโดนกันเด็ดขาด และห้ามขยับออกจากกรอบการมองเห็นของสายตา”

 

ไคลน์ฟังจับใจความก่อนจะแบ่งสมาธิดวงตาเพื่อมองหลังมือแต่ละข้าง ถัดมาเป็นการขยับนิ้วชี้ให้ยังอยู่ในขอบเขตสายตาโดยไม่สัมผัสกัน

 

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…

 

ทันใดนั้น แสงสีแดงพลันส่องสว่างจากนิ้วมือทั้งสิบ

 

“เอ๋…”

 

ชายหนุ่มส่งเสียงประหลาดใจ

 

“เห็นสีแล้วใช่ไหม? ต้องอย่างนั้น! นี่คือขั้นแรกของเนตรวิญญาณ สีที่เจ้าเห็นเรียกว่าแสงออร่า”

 

ลุงนีลล์อธิบาย

 

“ไม่ต้องรีบร้อน ลองทำซ้ำอีกสักสองสามหน เมื่อเคยชินแล้ว ทดสอบกวาดสายตามองไปยังจุดอื่นรอบห้อง แล้วฉันจะอธิบายความหมายของออร่าแต่ละสีให้เอง”

 

“ครับ”

 

ไคลน์ทดสอบขยับนิ้วขึ้นลงเพื่อให้เคยชินกับแสงออร่าสีแดงจากนิ้วมือ

 

ลุงนีลล์สังเกตุท่าทีไคลน์สักพักก่อนจะอธิบายต่อ

 

“ศาสตร์เร้นลับจะแบ่งโครงสร้างของมนุษย์ออกเป็นสี่ระดับ… ชั้นในสุดซึ่งเป็นแกนกลางสำคัญคือ ‘กายจิต’  มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีวิญญาณล้วนมีกายจิตทั้งหมด”

 

“ฉันไม่มันใจว่าผู้วิเศษเส้นทางอื่นจะเหมือนกันไหม แต่สำหรับผู้ส่องความลับทุกคน จุดมุ่งหมายสูงสุดของการเข้าฌาณ รวมถึงวิธีการเพิ่มพลังวิญญาณ ล้วนเกี่ยวข้องกับกายจิตทั้งสิ้น

 

“ระดับถัดจากกายจิตคือ ‘วิญญาณดารา’  มีไว้สำหรับให้กายจิตติดต่อกับโลกวิญญาณผ่านห้วงมิติดวงดาว ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า วิญญาณดาราคือรูปแบบหนึ่งของกายจิต แต่สีของมันจะเปลี่ยนไปตามอารมณ์และความปรารถนาของมนุษย์ในช่วงนั้น

 

“ฉากที่เจ้าเห็นหลังจากดื่มโอสถ คือฉากที่จิตมองผ่านดวงตาวิญญาณดาราขณะท่องโลกวิญญาณ… โลกวิญญาณคือสถานที่ซึ่งใช้กฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์ตัดสินไม่ได้

 

“โลกวิญญาณจะเกี่ยวพันกับภาวะก้าวข้าม ‘ตนเอง’  ภาวะ ‘ตนเอง’ ไร้ขีดจำกัด และภาวะจักรวาลแห่ง ‘ตนเอง’

 

“ในโลกวิญญาณ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตจะซ้อนทับกันหลายชั้น สถานที่แห่งนี้คือส่วนสำคัญของศาสตร์การทำนายทั้งหมด

 

“ในโลกวิญญาณ ภาพที่เจ้าเห็นจะเป็นเพียง ‘สัญลักษณ์’  เป็นสิ่งที่ต้องนำมาตีความซ้ำเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง

 

“ศาสตร์ทำนายและเวทมนตร์บางชนิดต้องใช้งานผ่านวิญญาณดาราเพื่อเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณ”

 

“อย่าได้เข้าใจผิดระหว่างวิญญาณดารากับกายจิตเด็ดขาด เป็นคนละอย่างกัน”

 

อันหนึ่งเป็น ‘แก่น’ ส่วนอีกอันเป็น ‘ร่างเทียม’ สำหรับใช้พลังสินะ…

 

สายตาไคลน์ยังคงจ้องมองฝ่ามือตัวเอง แต่หัวสมองกำลังสรุปผลในสิ่งที่ลุงนีลล์อธิบาย

 

“ถัดมาเป็น ‘กายปัญญา’  นับตั้งแต่ระดับนี้ขึ้นไป จะเริ่มนับรวมถึงร่างเนื้อที่จับต้องได้… กายปัญญาจะรวมถึงสมอง ไหวพริบด้านการตีความ ไหวพริบด้านการจำแนก ไหวพริบด้านการวิเคราะห์ และไหวพริบด้านการพิจารณา… โอสถบางชนิดจะช่วยเพิ่มพูนพลังเหล่านี้เป็นพิเศษ กายปัญญาจำเป็นสำหรับร่ายเวทมนตร์บางชนิด”

 

ลุงนีลล์อธิบายอย่างละเอียดทุกซอกมุม

 

“ส่วนระดับนอกสุดคือ ‘กายอากาศ’  ในชั้นนี้จะนับรวมถึงอวัยวะภายในและร่างเนื้อ

 

“สีของออร่าที่เจ้าเห็นเกิดจากปรากฏการณ์ภายนอกของกายอากาศ หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เนตรวิญญาณจะทำให้เจ้ามองเห็นกายอากาศของมนุษย์ทั่วไป รวมถึงภูติผีและวิญญาณชั่วร้ายด้วย

 

“กายอากาศของมนุษย์จะแสดงออร่าออกมาเป็นสีต่างๆ  เจ้าสามารถอ่านภาวะอารมณ์และสุขภาพของบุคคลเหล่านั้นได้จากสี ความเข้ม และความสว่างของออร่า

 

“เมื่อเนตรวิญญาณพัฒนาขึ้น เจ้าจะเข้าถึงศาสตร์เร้นลับได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงอ่านรายละเอียดออร่าของมนุษย์คนอื่นได้อย่างชัดเจน อาจเห็นไปถึงอายุขัย

 

“และอย่างที่เคยบอกไป ภาวะอารมณ์จะขึ้นอยู่กับวิญญาณดาราของมนุษย์คนดังกล่าว จึงหมายความว่า หากพัฒนาเนตรวิญญาณไปถึงระดับสูง เจ้าจะมองเห็นวิญญาณดาราของผู้อื่นอย่างในชัดเจน และนั่นยิ่งทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสตร์เร้นลับมากขึ้น… นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ส่องความลับและนักทำนายสามารถครอบครอง

 

“มีใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า เนตรวิญญาณสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต แต่ฉันยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องนั้น”

 

ทรงพลังกว่าที่คิดอีกแฮะ…

 

ไคลน์อึ้งจะพูดไม่ออก

ลุงนีลล์กระแอมก่อนจะเล่าต่อ

 

“มาเข้าเรื่องรายละเอียดของสีออร่ากันดีกว่า อวัยวะที่ต้องเคลื่อนไหวจำพวกแขนขาและนิ้วจะมีออร่าสีแดง สมองและศีรษะจะมีสีม่วง จุดขับของเสียจะมีสีส้ม ระบบย่อยอาการจะมีสีเหลือง หัวใจและระบบร่างกายทั่วไปจะมีสีเขียว ลำคอและระบบประสาทจะมีสีฟ้า ร่างกายของมนุษย์ที่มีสุขภาพสมบูรณ์จะแสดงออร่าซ้อนทับกันจนเป็นสีขาวบริสุทธิ์… นั่นคือสัญญาณของสุขภาพดี

 

“เมื่อออร่าในส่วนใดมีสีเข้มขึ้นหมองลง หมายความว่าจุดดังกล่าวเริ่มทำงานผิดปรกติ เป็นได้ทั้งอาการป่วยหรืออ่อนล้า

 

“ยังไม่หมด… วิญญาณดาราก็มีสีของออร่าเช่นกัน ไว้สำหรับบ่งบอกถึงอารมณ์ สีแดงหมายถึงตื่นเต้นและหลงไหล สีส้มหมายอุ่นใจและพึงพอใจ สีเหลืองหมายถึงสุขและเอาใจใส่ สีเขียวหมายถึงสุขุมและสันติ สีฟ้าหมายถึงสงบนิ่งและร่มเย็น สีขาวหมายถึงร่าเริงและกระตือรือร้น สีดำหมายถึงกังวล เศร้า และเงียบขรึม สีม่วงหมายถึงเย็นชาและเหินห่าง…”

 

ไคลน์บันทึกทั้งหมดลงสมองพร้อมกับทำความเคยชินเนตรวิญญาณ

 

“เอาล่ะ ลองมองไปที่วัตถุอื่นบ้าง”

 

ลุงนีลล์ไม่กล่าวสิ่งใดอีก

 

ไคลน์หันหน้าไปทางลุงนีลล์ และสิ่งที่พบก็ไม่ผิดจากที่คาดมากนัก ออร่าหลากสีกำลังปรากฏตามร่างกาย แต่ละจุดมีความเข้มจางแตกต่างกัน

 

ส่วนที่เข้มและสว่างที่สุดหนีไม่พ้นบริเวณศีรษะซึ่งมีสีม่วง บริเวณแขนขามีออร่าสีแดงหม่น ออร่าตามร่างกายส่วนที่เหลือจะมีสีออกไปทางสีซีดจาง คงเป็นเพราะร่างกายที่ชรา

 

กาลเวลาช่างโหดร้ายนัก… ไคลน์รำพัน

 

ในวินาทีนี้ มันกำลังสัมผัสประสบการณ์พลังผู้วิเศษเป็นครั้งแรก พลังที่ไม่มีในมนุษย์ทั่วไป!

 

“ผู้วิเศษ…”

 

ขณะจ้องมองลุงนีลล์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ชายหนุ่มเหลือบเห็นดวงตาที่เย็นชาและดุร้ายคู่หนึ่ง กำลังลอยด้านหลังลุงนีลล์ท่ามกลางความมืดมิดอันว่างเปล่า ดวงตามายามีขนาดใหญ่ ลักษณะโปร่งแสงและปราศจากคิ้ว

 

ดวงตามายาจ้องมองนีลล์อย่างไม่ละสายตาไปไหน…

นี่มัน… ชายหนุ่มพลันอ้าปากค้าง มันส่งเสียงบอกกับลุงนีลล์

 

“มีดวงตาคู่หนึ่งอยู่หลังคุณ!”

 

นีลล์ชะงักเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มจืดชืด

 

“ไม่ต้องไปสนใจ”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด