ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 17 : หน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 19: วัตถุต้องห้าม

ราชันย์เร้นลับ 18: ต้นกำเนิดและสาเหตุ


ราชันย์เร้นลับ 18: ต้นกำเนิดและสาเหตุ

 

หลังจากได้ยินคำถามไคลน์ ดันน์เหลือบมองนอกหน้าต่างบานที่ตรงกับประตูยานิส มันหยิบกล้องยาสูบขึ้นมา ยัดยาสูบและใบมินท์ลงไป จากนั้นก็ยกขึ้นสูดดมบริเวณจมูก

 

ดันน์กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวาลและลื่นไหล

 

“มีเพียงบ้านเท่านั้นที่ฉันสามารถดื่มด่ำกลิ่นของยาสูบและใบมินท์ได้เต็มปอด… ไคลน์ นายรู้จักเทวตำนานต้นกำเนิดไหม?”

 

“ทราบครับ เมื่อก่อน ผมต้องเข้าโบถส์ทุกวันอาทิตย์ เรียนคำสอนจากมหาคัมภีร์แห่งรัตติกาลโดยตรง ตำราเล่มหลักที่ใช้คือ หนังสือแห่งปัญญา และจดหมายเหตุจากนักบุญ ตำราทั้งสองชนิดมีการกล่าวถึงเทวตำนานต้นกำเนิดไว้”

 

ไคลน์พยายามรีดความทรงจำจากไคลน์คนก่อน จังหวะการพูดเริ่มช้าลง

 

“พระผู้สร้างตื่นจากการหลับไหลในห้วงจักรวาลต้นกำเนิด จากนั้นได้ทำลายความมืดมิดที่ปกคลุมจนเกิดเป็นแสงสว่างแรกของโลก ถัดมาไม่นาน พระผู้สร้างตัดสินใจหลอมรวมตัวเองเข้ากับจักรวาลโดยสมบูรณ์ ร่างกายกลายเป็นผืนปฐพีและท้องฟ้า ดวงตาหนึ่งข้างกลายเป็นดวงตะวัน อีกหนึ่งข้างกลายเป็นจันทราแดง โลหิตทุกอนูไหลเวียนแทนสายน้ำและทะเล หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งบนโลก…”

 

ไคลน์ชะงักอย่างไม่มีทางเลือก ความทรงจำไคลน์คนก่อนไม่ปะติดปะต่อและเลือนทาง มันจำได้เพียงว่า ต้นกำเนิดของโลกใบนี้คล้ายคลึงกับตำนานพระเจ้าผานกู่ของจีนมาก

 

น่าฉงนไม่น้อยที่ผู้คนจากโลกคนละใบกลับมีจินตนาการคลายคลึงกันหลายส่วน โดยเฉพาะด้านเทวตำนานและตำนานทั่วไป

 

เมื่อเห็นไคลน์ ‘ติดขัด’ ดันน์·สมิทช่วยกล่าวเสริม

 

“ปอดกลายเป็นเอลฟ์ หัวใจกลายเป็นคนยักษ์ ตับกลายเป็นเผ่าพฤกษา สมองกลายเป็นมังกร ไตกลายเป็นอสรพิษนภา เส้นผมกลายเป็นวิหคอมตะ หูกลายเป็นหมาป่าอสูร ปากและฟันกลายเป็นสัตว์กลายพันธุ์ ของเหลวในร่างกายที่เหลือกลายเป็นสัตว์ทะเล โดยเฉพาะนากา กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่กลายเป็นปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายหลายชนิด ดวงจิตแบ่งออกเป็นสามส่วน ประกอบด้วยเทพสุริยันเจิดจรัส เทพแห่งวายุสลาตัน และเทพแห่งความรู้และปัญญา…”

 

“สติปัญญาของพระผู้สร้างกลายเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นยุคสมัยที่หนึ่ง ยุคสมัยบรรพกาลต้นกำเนิด”

 

ไคลน์ตบท้ายประโยคของดันน์ ภายในใจรู้สึกทึ่งไม่น้อย

 

ในฐานะนักเลงคีย์บอร์ดที่ศึกษาพื้นฐานของหลายตำนานอย่างผิวเผิน ไคลน์พบว่าตำนานของโลกใบนี้ค่อนข้างแปลกกว่าที่อื่น รายละเอียดของแต่ละอวัยวะถูก ‘แจกแจง’ ให้เป็นสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอย่างชัดเจนและเห็นภาพ เป็นการใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพระผู้สร้างให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด

 

ไม่เพียงเท่านั้น เทวตำนานข้างต้นยังระบุไว้คล้ายคลึงกันทั้งในโบถส์เทพธิดารัตติกาล โบถส์เทพแห่งวายุสลาตัน และโบสถ์เทพแห่งจักรกลไอน้ำ ไม่มีโบสถ์ใดเชิดชูเทพของตนอย่างออกนอกหน้า หรือลดทอนความยิ่งใหญ่ของเทพองค์อื่น…

 

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากเทวตำนานเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องจริง โบสถ์หลักทั้งเจ็ดก็ต้องประชุมร่วมกันเพื่อปรับเนื้อหาของคัมภีร์ให้ตรง ก่อนเริ่มต้นเข้าสู่ยุคสมัยที่ห้า…

 

เมื่อเกิดความฉงน ไคลน์เอ่ยปากถามในหัวข้อถัดไป

 

“ผมสงสัย… ทำไมเทพสุริยันเจิดจรัส เทพแห่งวายุสลาตัน และเทพแห่งความรู้และปัญญาถึงเกิดจากดวงจิตพระผู้สร้างโดยตรง แต่เทพธิดารัตติกาลกลับไม่ใช่?”

 

จากบันทึกมหาคัมภีร์แห่งรัตติกาล เทพธิดารัตติกาลลืมตาตื่นเป็นหนแรกในยุคสมัยที่สอง ผลงานสำคัญของเธอคือการร่วมมือกับเทพสุริยันเจิดจรัส เทพแห่งวายุสลาตัน และเทพแห่งความรู้และปัญญา คอยอวรพรช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้รอดพ้นจากมหาภัยภิบัติครั้งใหญ่ เหตุการณ์ครานั้นอยู่ในยุคสมัยที่สาม ยุคแห่งมหาภัยพิบัติ

 

เป็นช่วงเดียวกับที่พระแม่ธรณี และเทพแห่งการต่อสู้เริ่มปรากฏตัว

 

กลับกัน เทพแห่งจักรกลไอน้ำเพิ่งปรากฏขึ้นในยุคสมัยที่สี่ ชื่อเดิมคือเทพแห่งช่างฝีมือ

 

ด้วยเหตุนี้ จุดยืนและบารมีของเทพแต่ละองค์จึงไม่เท่าเทียมอย่างเห็นได้ชัด

 

ยิ่งมีประวัติยาวนานกว่า เก่าแก่กว่า ย่อมหมายถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่มากกว่า!

 

แน่นอน ความตะขิดตะขวงใจในเรื่องนี้ ต้องเป็นปมด้อยของเหล่าสาวกเทพธิดารัตติกาลทุกคนแน่

ดันน์·สมิทยังคงถือกล้องยาสูบไว้ในมือ แต่แทนที่จะมอบคำตอบ มันกลับย้อนคำถามด้วยคำถาม

 

“เทพธิดารัตติกาลมีพระนามเต็มว่าอย่างไร…”

 

ไคลน์พลันเจ็บแปลบที่ขมับดุจดังถูกมีดกรีดแทง นี่คือผลข้างเคียงจากการฝืนเค้นสมองอย่างผิดธรรมชาติ

“เทพธิดารัตติกาลสูงส่งกว่าดวงดารา และจะคงอยู่ไปชั่วรันดร์ พระองค์ท่านยังเป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความเร้นลับ จักรพรรดินีแห่งหายนะ และนายหญิงแห่งความสงบสุขุม”

 

โชคดีที่มารดาของไคลน์เป็นผู้อุทิศกายใจให้เทพธิดารัตติกาล เมื่อครั้งยังมีชีวิต เธอมักเอ่ยพระนามเต็มก่อนเมื้ออาหารและก่อนเข้านอนเสมอ แม้ความทรงจำของไคลน์อาจไม่ครบถ้วน แต่กับเรื่องนี้ย่อมไม่มีทางตกหล่น

 

“แล้วสตรีสีชาดสื่อถึงอะไร?”

 

ดันน์ถามชี้นำ

 

“พระจันทร์แดง”

 

เมื่อสิ้นเสียงตอบ ไคลน์พลันฉุกคิดได้

 

“ถ้าอย่างนั้น… จันทราแดงเกิดจากส่วนในของพระผู้สร้าง?”

 

ดันน์ถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ดวงตาหนึ่งข้าง!”

 

ไคลน์และดันน์อมยิ้มพร้อมกัน

 

ถ้าเช่นนั้น เทพธิดารัตติกาลจะไม่ด้อยไปกว่าเทพแห่งวายุสลาตัน ที่เกิดจากหนึ่งในสามเศษเสี้ยวดวงจิตพระผู้สร้างเลยสักนิด!

 

สำหรับโบสถ์พระแม่ธรณีและเทพแห่งการต่อสู้ คำอธิบายก็คงไม่ต่างจากเทพธิดารัตติกาลมากนัก ทว่า ด้านโบสถ์เทพแห่งจักรกลไอน้ำนั้นก่อตั้งในยุคสมัยล้าหลังเกินไป จึงมิอาจอ้างตนว่ามาจากส่วนหนึ่งของพระผู้สร้างได้

 

แต่ใช่ว่าพวกมันจะไม่มีข้อได้เปรียบ ในยุคสมัยที่เครื่องจักรและไอน้ำกำลังรุ่งเรือง โบสถ์เทพแห่งจักรกลไอน้ำย่อมใกล้ชิดกับมนุษย์ได้มากกว่า ส่งผลให้บารมีด้อยกว่าเทพองค์อื่นไม่มากนัก

 

ดันน์ใช้ปากเป่ากล้องยาสูบอย่างอ่อนโยน

 

“มนุษย์ถือกำเนิดจากปัญญาของพระผู้สร้าง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเรามีสติปัญญาสูงกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง แต่จะอ่อนแอด้านพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ…

 

“ทว่า จากคำอธิบายของเทวตำนานต้นกำเนิด เราจะมองเห็นหนึ่งประเด็นที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน นั่นก็คือ… ทุกสิ่งมีรากฐานจากต้นกำเนิดเดียวกัน”

 

“รากฐานจากต้นกำเนิดเดียวกัน…”

 

ไคลน์ทวนซ้ำประโยคสุดท้าย

 

“เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ เราจึงพบคำตอบว่าทำไม มนุษย์ที่ถูกเทพอวยพรถึงทำสงครามชนะเผ่าคนยักษ์ เผ่าปีศาจ และเผ่าสัตว์กลายพันธุ์ได้ในอดีต… หลังจากชนะสงครามได้ไม่นาน ปัญญาของมนุษย์ได้นำพาไปสู่ต้นกำเนิดของผู้วิเศษ มนุษย์รู้จักรวบรวมชิ้นส่วนที่มีพลังเวทมนตร์ของวิญญาณร้าย มังกร สัตว์ประหลาด ต้นไม้เวท ดอกไม้ หรือคริสตัลเวทมนตร์ ผสมรวมกันจนเกิดเป็นโอสถขึ้นมา โอสถแต่ละชนิดจะมอบพลังพิเศษที่แตกต่างกันไป… สิ่งเหล่านี้คือความรู้พื้นฐานของวิชาเหนือธรรมชาติ”

 

ดันน์ไม่ลงลึก มันอธิบายอย่างคร่าวและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“ระหว่างศึกษาโอสถ บรรพบุรุษของพวกเราต้องพานพบชะตากรรมอันเจ็บปวด ในยุคสมัยที่ ‘เส้นทาง’ โอสถยังไม่ชัดเจน การลองผิดลองถูกคือสิ่งจำเป็น คนเหล่านั้นต้องทดสอบดื่มโอสถแบบสุ่มเพื่อค้นหาผลลัพธ์และคำตอบ โดยจุดจบผู้ทดลองจะทั้งหมดมีสามรูปแบบ…”

 

“อะไรบ้าง?”

 

ไคลน์ถามใคร่รู้

 

“แบบแรก จิตใจถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ร่างเนื้อแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด

“แบบที่สอง อุปนิสัยจะเปลี่ยนไปตามโอสถที่ดื่ม สามารถเป็นได้ทั้งคนเย็นชา อ่อนไหว ฉุนเฉียว ป่าเถื่อน หรือเลือดเย็น

 

“ส่วนแบบที่สาม…”

 

ดันน์วางกล้องยาสูบลง ก่อนจะยกถ้วยชาแบบจีนขึ้นจิบ

 

“กาแฟเฟอมอร์จากแม่น้ำเพิร์ธ ถึงจะขมไปสักหน่อย แต่กลิ่นหอมมาก แถมยังเหลือรสสัมผัสติดลิ้นที่ยอดเยี่ยม รับสักถ้วยไหม?”

 

“ผมชอบกาแฟจากเฟเนพ็อตมากกว่า แน่นอน เคยดื่มแค่ไม่กี่ครั้งที่บ้านเวิร์ช”

 

ไคลน์ปฏิเสธนุ่มนวล

 

“แล้วแบบที่สามล่ะครับ”

 

“กลายเป็นคนโรคจิต เสียสติทันทีที่กลืนโอสถลงคอ อุปนิสัยชั่วร้ายยิ่งกว่าปีศาจ นี่คือนิยามของผู้วิเศษคลุ้มคลั่ง”

 

ในที่สุด ดันน์ก็อธิบายถึงความหมายของการ ‘คลุ้มคลั่ง’

 

โดยไม่รอให้ไคลน์กล่าวสิ่งใด มันวางถ้วยกาแฟลงและอธิบายต่อ

 

“หลังจากลองผิดลองถูกอย่างยาวนาน รวมถึงการปรากฏตัวของศิลาเย้ยเทพ ในที่สุดมนุษย์ก็รวบรวมข้อมูลระบบโอสถได้สมบูรณ์แบบ โอสถทุกชนิดถูกแบ่งหมวดหมู่ออกเป็นหลายระดับ… โอสถหลายชนิดที่สามารถดื่มเรียงต่อกันได้โดยไม่เกิดการคลุ้มคลั่ง เราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เส้นทาง’ ยิ่งโอสถมีลำดับตัวเลขต่ำ ความแข็งแกร่งและพลังก็ยิ่งมาก… โบสถ์หลักทั้งเจ็ดจะครอบครอง ‘เส้นทาง’ โอสถที่สมบูรณ์ไว้อย่างน้อยหนึ่งสาย แต่ขณะเดียวกันก็มีโอสถเส้นทางอื่นที่ไม่สมบูรณ์อยู่ด้วย เกิดจากการสืบค้นข้อมูลที่สั่งสมมาตลอดหลายพันปี”

 

“ศิลาเย้ยเทพ?”

 

ไคลน์ยังจำได้ดี ในการชุมนุมไพ่ทาโร่ต์ครั้งที่ผ่านมา แฮงแมนเคยพูดถึงศิลาเย้ยเทพมาก่อน

 

จากคำกล่าวของแฮงแมน ศิลาเย้ยเทพคือส่วนสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์เติมเต็มระบบโอสถได้สมบูรณ์

แตกต่างจากที่ดันน์เล่าเล็กน้อย

 

“ศิลาเย้ยเทพคือสิ่งที่ถูกสร้างโดยเทพมารบางกลุ่ม ส่วนปรากฏในยุคสมัยใดนั้น ตัวผมเองก็ยังไม่ทราบ หากคุณมีเบาะแสในเรื่องนี้ ให้รีบรายงานมาที่ผมโดยด่วน ขอรับประกันว่ารับรางวัลตอบแทนคุ้มค่าแน่นอน”

 

ดันน์กล่าวอย่างคลุมเคลือ จากนั้นก็กลับเข้าสู่หัวข้อหลัก

 

“ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในประเภทการคลุ้มคลั่ง ยังเหลืออีกสี่ประเภท ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้”

 

“ได้ครับ”

 

ไคลน์กลืนคำถามเกี่ยวกับศิลาเย้ยเทพลงคอไปก่อน มันหันมาสนใจฟังคำอธิบายเกี่ยวกับการคลุ้มคลั่งต่อ

“คำกล่าวที่ว่า มนุษย์เกิดมาโดยมีสติปัญญาสูง แต่จะอ่อนแอด้านพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ สิ่งนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคน มีมนุษย์โชคดีบางกลุ่มที่เกิดมาพร้อมสัมผัสวิญญาณอันเฉียบแหลม แม้ไม่ต้องเป็นผู้วิเศษ แต่ก็มองเห็นและได้ยินเสียงของเหล่าวิญญาณ ทว่า ผมขอเรียกคนเหล่านี้ว่าเป็นกลุ่มที่โชคร้าย…”

 

ขณะดันน์กล่าว มันชำเลืองนัยน์ตามองความว่างเปล่าด้านหลังไคลน์เป็นระยะ ส่งผลให้ไคลน์หวาดผวาจนฉี่แทบเล็ด

 

“อีกความหมายหนึ่งก็คือ กลุ่มคนเหล่านี้จะมีพลังเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับ 9.5… อ๊ะ! ลืมบอกไป ผู้วิเศษทั่วไปจะเริ่มต้นที่ลำดับ 9 ส่วนบุคคลที่เกิดมาพร้อมญาณพิเศษ จะถือว่าเป็นมนุษย์ที่ดื่มโอสถไปครึ่งขวดแล้ว หมายความว่า พวกเขาต้องดื่มโอสถชนิดที่เกี่ยวข้องกับพลังมองเห็นหรือได้ยินวิญญาณเท่านั้น หากข้ามสาย จะเกิดอาการทางจิตรุนแรงจนคลุ้มคลั่งในที่สุด อาจถึงแก่ความตายในกรณีเลวร้าย”

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย

 

“ประเภทที่สามของการคลุ้มคลั่ง จะคล้ายกับประเภทที่สอง เมื่อมนุษย์เลือก ‘เส้นทาง’ และดื่มโอสถลงไป คนผู้นั้นจะเปลี่ยนสายโอสถไม่ได้แล้ว หากดื่มโอสถข้ามสายจะส่งผลให้พลังแปรปรวน ตกอยู่ในอาการกึ่งจิตหลอน กลายเป็นคนอารมณ์สุดโต่ง เช่นอ่อนไหวและฉุนเฉียวง่าย ป่าเถื่อนและกระหายเลือด หรือไม่ก็เงียบงันและซึมเศร้า อย่างใดอย่างหนึ่ง

 

“บทสรุปของประเภทที่สามมีเพียงสิ่งเดียว หลังจากดื่มโอสถข้ามสาย หรือไม่ก็โอสถชนิดที่เคยดื่มไปแล้ว ปลายทางคือการคลุ้มคลั่ง… จิตใจถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด หรือแม้กระทั่งกลายเป็นวิญญาณร้ายหลังความตาย”

เมื่อกล่าวจบ ดันน์ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ

 

หลังจากได้ยินเช่นนี้ สีหน้าไคลน์เริ่มขาวซีด มันเงียบงันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม

 

“แล้วแบบที่สี่ล่ะครับ?”

 

“แบบที่สี่งั้นหรือ… ฮะฮะ เป็นแบบที่พบได้ค่อนข้างบ่อย หลังจากดื่มโอสถเข้าไปและครอบครองพลังพิเศษ ในช่วงแรก มนุษย์จะยังได้ยินเสียงของสัตว์ร้ายหรือวิญญาณชั่ว นี่คือผลพวงของการหยิบยืมพลังสัตว์วิเศษมาไว้ในร่างกายมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จิตใจของผู้วิเศษจึงอ่อนไหวง่าย เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าภูติผีและวิญญาณร้าย

 

“อาการอาจไม่แสดงให้เห็นภายนอก และคนนอกก็ตรวจสอบได้ยาก มันจะซ่อนลึกลงไปในจิตใจผู้วิเศษคนดังกล่าว… หากไม่รีบขจัดให้หมดก่อนดื่มโอสถลำดับถัดไป เสียงหลอกหลอนจะสั่งสมไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ร่างกายรับไม่ไหว ผู้วิเศษคนดังกล่าวจะเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งในที่สุด…”

 

ดันน์เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อพลางถอนหายใจยาว

 

“ทางเหยี่ยวราตรีจึงมีกฏปากเปล่าอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีคือ หลังจากดื่มโอสถไปแล้ว ผู้วิเศษจะไม่สามารถดื่มโอสถลำดับถัดไปได้ภายในสามปี ไม่ว่าจะมีผลงานดีเด่นและยอดเยี่ยมมากเพียงใด แถมยังต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างเข้มงวดก่อนดื่มโอสถลำดับถัดไปทุกครั้ง… แต่ถึงจะมีกฏเช่นนี้ กรณีผู้วิเศษคลุ้มคลั่งก็ยังเกิดขึ้นทุกปี”

 

ชักน่ากลัวแล้วสิ…

ไคลน์อ้าปากค้างเล็กน้อย แต่ก็ยังถามต่อด้วยสีหน้าใครครู่

 

“แล้วแบบสุดท้ายล่ะครับ?”

 

ดันน์ไม่หลงเหลือรอยยิ้มบนใบหน้าอีกแล้ว

 

“แบบที่ห้าเกิดขึ้นได้ง่ายและบ่อยครั้งที่สุด หลังจากดื่มโอสถเข้าไป ผู้วิเศษจะมีสัมผัสวิญญาณที่กล้าแกร่งขึ้น ยิ่งโอสถลำดับต่ำก็ยิ่งเพิ่มสัมผัสวิญญาณมาก ด้วยเหตุนี้ ผู้วิเศษลำดับสูงจึงได้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เห็น ได้ยินในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ได้ยิน ได้เผชิญในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เผชิญ… ผู้วิเศษที่มีสัมผัสวิญญาณรุนแรงมักถูกวิญญาณร้ายล่อลวงและกระตุ้นแรงกระหายได้ง่าย หากหลงมัวเมาโดยไม่ควบคุมจิตใจ จุดจบเดียวที่เหลืออยู่คือการคลุ้มคลั่ง”

 

ขณะกล่าว ดันน์จ้องมองไคลน์อย่างไม่กระพริบตา เงาสะท้อนของไคลน์·โมเร็ตติกำลังฉายบนนัยน์ตาสีเทาหม่น

 

ดันน์กล่าวต่อด้วยเสียงเย็นยะเยียบ

 

“ผู้ก่อตั้งเหยี่ยวราตรี อาร์คบิชอปยานิสเคยกล่าวไว้ว่า ‘พวกเราคือผู้พิทักษ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหยื่อผู้น่าสมเพช ต้องรับมือภัยคุกคามและความบ้าคลั่งนานับชนิดบนโลก’”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด