ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 13 : เหยี่ยวราตรี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 15 : เชื้อเชิญ

ราชันย์เร้นลับ 14 : ผู้สื่อวิญญาณ


ราชันย์เร้นลับ 14 : ผู้สื่อวิญญาณ

 

ผู้สื่อวิญญาณตัวจริงเสียงจริง… ไคลน์พำพึมถ้อยคำของดันน์ภายในใจ มันไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงก้มหน้าลงจากรถม้าและเดินตามไปอย่างว่าง่าย

 

บ้านเช่าของเวิร์ชในทิงเก็นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีสวนด้านหน้า ถนนติดกับประตูรั้วกว้างพอสำหรับให้รถม้าเรียงหน้ากระดานวิ่งได้สี่คันพร้อมกัน

 

โคมไฟสาธารณะถูกติดห่างกันทุกห้าเมตร รูปทรงและรูปแบบแต่งต่างจากโลกเก่าของไคลน์พอสมควร ความสูงโคมไฟอยู่ในระดับสายตาผู้ใหญ่ สะดวกต่อการเดินเรียงจุดหรือดับไฟ

โครงสร้างภายนอกโคมไฟทำจากเหล็กเส้นที่ถูกดัดให้มีลักษณะเป็นตะแกรงเหล็ก ด้านในตะแกรงเป็นกระจกใส

 

มองผิวเผินจะคล้ายคลึงกับ ‘งานศิลป์’ โคมไฟกระดาษของประเทศแถบตะวันออกในโลกเก่า

 

แสงสว่างสีเหลืองทองด้านในตัดกับโลหะสีดำด้านนอกอย่างลงตัว อากาศเย็นยะเยียบบนถนนจะอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าไปใกล้

 

หลังจากเดินบนถนนได้ไม่นาน ไคลน์และดันน์ก็มาถึงประตูทางเข้าบ้านพักเวิร์ชหลังที่เช่าอาศัย

 

ประตูรั้วด้านนอกมีลักษณะเป็นโครงเหล็ก มันถูกเปิดแง้มรอไว้เล็กน้อย

 

ไคลน์ยืนคงยังอยู่หน้าบ้าน สายตาจ้องมองทางเดินหินอ่อนซึ่งทอดยาวจากรั้วไปจนถึงบ้านสองชั้นด้านใน ทางเดินดังกล่าวกว้างประมานรถม้าสองคันวิ่งได้พร้อมกัน

 

ฝั่งซ้ายเป็นสวนดอกไม้ ฝั่งขวาเป็นลานหญ้าโล่งเตียนเปลือยเปล่า กลิ่นดอกไม้โชยเจือจางเตะจมูกจากระยะไกล ผสมกลมกลืนกับกลิ่นหญ้าเขียวขจีอย่างลงตัว

 

ไคลน์รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

 

ในวินาทีที่ย่างเท้าเข้าไป มันพลันชะงักและรีบเหลียวซ้ายแลขวาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

 

ไคลน์สัมผัสได้เช่นจัด… สักแห่งบนลานหญ้า สักแห่งบนหลังคา สักแห่งที่มุมมืด สายตาของใครหลายคนกำลังจ้องมองมา!

 

แต่เมื่อกวาดสายตาสำรวจ กลับไม่พบใครแม้แต่คนเดียว กระนั้น ความรู้สึกแบบเดิมยังไม่หายไป ราวกับตนกำลังยืนเปลีือยเปล่าท่ามกลางถนนที่ผู้คนเดินสวนขวักไขว่

 

ด้วยบรรยากาศขัดแย้งกับตาเห็น ด้วยบรรยากาศสุดพิสดารที่ไม่เคยประสบพบเจอ ไคลน์พลันเย็นสันหลังวาบไปทั่วตัว

“มีบางสิ่งผิดปรกติ!”

 

มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟ้องดันน์

สีหน้าดันน์·สมิทยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม  มันหันมากล่าวกับไคลน์ด้วยน้ำเสียงสุขุม

 

“ไม่ต้องไปสนใจ”

 

เมื่อ ‘เหยี่ยวราตรี’ เป็นผู้กล่าวเช่นนี้ ความกังวลของไคลน์จึงลดลงหลายระดับ ถึงภายในใจจะยังสับสนกับความรู้สึกปัจจุบันก็ตาม—ความรู้สึกของการถูกดวงตาหลายร้อยคู่จ้องมองโดยที่หาตัวอีกฝ่ายไม่พบ

กึก กึก…

 

ดันน์พาไคลน์เดินมาถึงหน้าประตูบ้าน

ถ้าความรู้สึกสุดบัดซบเมื่อครู่อยู่นานกว่านี้อีกสักนิด เกรงว่ามันคงได้คลั่งตายก่อนได้พบผู้สื่อวิญญาณแน่

 

ขณะดันน์ยืนเคาะประตู ไคลน์รีบกวาดสายตามองเข้าไปสวนบุปผาที่ดอกไม้กำลังโยกตัวไปตามแรงลม

 

แน่นอน มันไม่พบใครแม้แต่คนเดียว

 

“เชิญเข้ามาได้ สุภาพบุรุษทั้งหลาย”

 

เสียงบางเบาและนุ่มนวลของสตรีผู้หนึ่งดังจากภายในบ้าน

 

ดันน์บิดกลอนพร้อมกับผลักเข้าไป จากนั้นก็กล่าวทักทายหญิงสาวที่นั่งบนโซฟา

“เจออะไรบ้าง? ดาลี่ย์”

 

โคมไฟระย้าบนเพดานห้องไม่ได้ถูกเปิด ด้านล่างมีโซฟาหนังสองชุดใหญ่ล้อมรอบโต๊ะกาแฟหินอ่อนไว้

 

บนโต๊ะมีเทียนไขถูกจุด แสงไฟจากเทียนส่องสว่างสีน้ำเงินเข้ม ปกคลุมห้องนั่งเล่นที่ถูกเชือกขึงกั้นเนื่องจากเป็นสถานที่เกิดเหตุ

 

แสงเทียนยังสว่างไปถึงห้องครัวและห้องทานอาหาร เกิดเป็นบรรยากาศแปลกประหลาดในสายตาไคลน์

 

สุภาพสตรีสาวสวยกำลังนั่งเอนหลังพิงเบาะโซฟายาวตัวหนึ่ง เธอสวมชุดคลุมสีดำแบบมีฮู้ดครอบหัว เปลือกตาและโหนกแก้มถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีฟ้าครามงดงาม ข้อมือข้างหนึ่งสวมกำไลเงินที่มีจี้คริสตัลสีขาวห้อย

ในแวบแรกที่เห็น ไคลน์ยากจะอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด การแต่งกายของดาลี่ย์รวมถึงบรรยากาศรอบตัวช่างคล้ายคลึงกับ… ผู้สื่อวิญญาณ!

 

กำลังสวมบทบาทให้สมจริงอย่างนั้นหรือ?

 

ผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์นับว่าเป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง เธอชำเลืองไคลน์ด้วยนัยน์ตาเขียวมรกตครู่ใหญ่ ก่อนจะหันไปคุยกับดันน์

 

“ในตอนที่ฉันมาถึง วิญญาณในที่เกิดเหตุได้สลายไปหมดแล้ว รวมถึงเวิร์ชและนาย่า ส่วนวิญญาณเร่ร่อนรอบบ้านก็ไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย”

 

วิญญาณ? ผู้สื่อวิญญาณ…

 

สายตาที่จ้องมองตนหน้าบ้านคือวิญญาณเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ? มากมายขนาดนั้นเชียว?

 

ไคลน์ถอดหมวกและเลื่อนลงมายังบริเวณหน้าอก ก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อย

 

“สวัสดียามเช้าครับ มาดามดาลี่ย์”

 

ดันน์·สมิทถอนหายใจยาว

 

“เป็นคดีที่ยากจังเลยนะ…

 

“ดาลี่ย์ นี่คือไคลน์·โมเร็ตติ คุณลองตรวจสอบหาเบาะแสจากเขาดูหน่อย”

 

ผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์ เธอหันกลับมามองไคลน์ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลายชี้นิ้วไปยังเก้าอี้

 

“เชิญนั่ง”

 

“ขอบคุณครับ”

 

ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย มันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ดาลี่ย์ชี้นิ้ว หัวใจกำลังเต้นโครมครามอย่างหยุดไม่อยู่

 

มันจะรอดคดีหรือไม่ จะผ่านเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างราบรื่นไหม และชะตากรรมต่อไปจะเป็นเช่นไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้น!

 

ในสถานการณ์แสนสิ้นหวังและไม่มีสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยว ความหวังเดียวของไคลน์คือ ‘ความพิเศษ’ ของร่ายกายและจิตที่ติดตัวมาจากการข้ามโลก…

 

คิดว่าอย่างนั้นละนะ

 

ไคลน์ตัดพ้อขื่นขม

 

ถัดมา ดันน์นั่งลงบนโซฟาขนาดสองที่นั่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไคลน์ ขณะเดียวกัน ดาลี่ย์ล้วงมือเข้าไปหยิบขวดแก้วสองใบจากกระเป๋าเล็กข้างเอว ขนาดของขวดกระทัดรัดเพียงนิ้วหัวแม่มือ

 

นัยน์ตาเขียวมรกตหันมาจ้องไคลน์ก่อนจะกล่าว

 

“ฉันต้องการความร่วมมือจากทางคุณด้วย ในเมื่อคุณไม่ใช่ศัตรูหรืออาชญากร ฉันจึงไม่สามารถใช้วิธีรุนแรงได้ วิธีรุนแรงที่ว่าจะทำให้คุณอึดอัดและเจ็บปวด หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเกิดผลข้างเคียงในภายหลัง… ส่วนวิธีที่ฉันจะใช้กับคุณนั้น มันค่อนข้างอ่อนโยนและนุ่มนวล คุณจะผ่อนคลายราวกับขึ้นสวรรค์ ความสุขสุดยอดจะแล่นไปทั่วร่างอย่างมิอาจหยุดยั้ง”

 

ทำไม… ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด…

นัยน์ตาไคลน์เริ่มสั่นระริก

 

ดันน์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามพลันหัวเราะแห้ง

 

“ไม่ต้องตกใจไป พวกเราไม่เหมือนกับสาวกของเทพแห่งวายุสลาตัน สตรีที่นับถือโบสถ์เทพธิดารัตติกาลสามารถใช้วาจาล่วงละเมิดทางเพศผู้ชายได้โดยไม่มีความผิด… คุณเองก็คงทราบดีอยู่แล้ว เพราะมารดาเป็นถึงสาวกตัวยงของโบสถ์เทพธิดารัตติกาล คุณกับพี่ชายย่อมต้องเคยเข้าโบสถ์เพื่อเรียนคำสอนทุกวันอาทิตย์”

 

“เรื่องนั้นผมทราบ เพียงแต่ไม่คิดว่าเธอจะ… เอ่อ… จะ…”

ไคลน์ทำไม้ทำมือ มันมิอาจหาคำพูดมาบรรยายสิ่งที่ตนต้องการจะสื่อ ถึงขั้นเกือบหลุดแสลงภาษาจีน ‘นักขับรุ่นเก๋า*’ ออกไป

 

(* นักขับรุ่นเก๋า — หมายถึงผู้ที่ช่ำชองทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ นิยมใช้บ่อยบนเวบบอร์ดสำหรับโพสสื่อลามกอนาจาร )

 

ดันน์·สมิทอมยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าวต่อ

 

“ไม่ต้องห่วง ดาลี่ย์ทำแบบนี้ไม่บ่อยครั้งนัก เธอแค่หวังให้คุณผ่อนคลายและใจเย็นลง ด้วยความสัตย์จริง ดาลี่ย์หลงไหลซากศพมากกว่ามนุษย์เพศชายซะอีก”

 

“คุณพูดเหมือนฉันเป็นพวกโรคจิต”

 

ดาลี่ย์อมยิ้ม จากนั้น เธอเปิดจุกขวดเล็กและหยดของเหลวด้านในลงบนเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มของเทียนไข

 

“วนิลาราตรี ดอกหลับไหล และคาโมไมล์ ทั้งหมดถูกกลั่นและสกัดจนเข้มข้นเพื่อให้ได้กลิ่นบุปผาสุดพิเศษชนิดนี้ ฉันเรียกมันว่า ‘อมานด้า’ ภาษาเฮอร์มิสโบราณหมายถึงความสงบสุข กลิ่นหอมของมันสุดยอดมาก”

 

ขณะบทสนทนาดำเนินไป เปลวเพลิงจากเทียนไขเริ่มวูบวาบ กลิ่นหอมหวลของดอกไม้ที่ระเหยจากการเผาไม้เริ่มโชยคลุ้งทั่วห้อง

เพียงไม่นาน กลิ่นดังกล่าวหาทางเล็ดลอดเข้ารูจมูกของไคลน์พบ ร่างกายผ่อนคลายลง มันไม่รู้สึกประหม่าหรือหวาดกลัวอีกแล้ว

 

จิตใจสงบนิ่งประหนึ่งนั่งจ้องผืนฟ้าอันงดงามยามค่ำคืน

 

“ส่วนของเหลวในขวดนี้มีชื่อว่า ‘เนตรแห่งวิญญาณ’ สกัดจากเปลือกและใบของต้นมังกรกับต้นวิลโลว์ นำไปตากแดดเจ็ดวันเจ็ดคืน และกลั่นเข้มข้นอีกสามรอบ จากนั้นก็นำไปผสมกับไวน์กลั่นบริสุทธิ์ แน่นอน ระหว่างกระบวนการต้องท่องคาถาพิเศษ…”

 

ขณะดาลี่ย์อธิบาย หยดของเหลวสีเหลืองอำพันได้ระเหยจากความร้อนเปลวเพลิงเทียนไข

 

เมื่อสูดกลิ่นหอมชนิดใหม่ซึ่งคล้ายคลึงกับไวน์เข้าไป ไคลน์เริ่มเห็นเปลวเพลิงเทียนไขวูบวาบอย่างผิดแผก บรรยากาศรอบพลันพร่ามัวและแยกออกเป็นสอง

 

“มันคือตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้สื่อวิญญาณ แถมกลิ่นหอมดอกไม้ก็ยังถูกนำไปเสริม…”

 

การอธิบายของดาลี่ย์ยังคงดำเนินต่อไปราวกับสวดคาถา ขณะเดียวกัน ไคลน์เริ่มได้ยินเสียงเธอดังแว่วจากทุกทิศทางรอบตัว

 

จากนั้นไม่นาน การของเห็นของไคลน์พลันหมุนเคว้งและเลือนลาง ร่างกายเบาหวิวราวกับถูกหมอกหนาทึบห่อหุ้มหลายชั้น

 

กระทั่งจิตก็เริ่มไม่ปรกติ ไคลน์ไม่รู้สึกถึงร่างกายตัวเองอีกต่อไป ทุกสิ่งลอยละล่องและจับต้องไม่ได้

 

หลากสีสันผสมกลมกลืนคล้ายกับภาพวาดงานศิลป์ยุคใหม่ที่เข้าถึงได้ยาก

 

สีแดงยิ่งแดงสด

สีน้ำเงินยิ่งน้ำเงินเข้ม

สีดำยิ่งดำสนิท

 

เกิดภาพหลอนคล้ายคลึงกับผลจากสารเสพติดบางชนิด

ทุกสิ่งเริ่มพร่ามัว เสียงโหยหวนรอบตัวทวีความดังขึ้นทุกขณะ ราวกับมีผู้คนหลายร้อยกำลังประชุมโต้เถียงที่ข้างหู

 

‘ทำไมถึงได้เหมือนกับตอนทำพิธีเปลี่ยนดวงชะตา? ขาดแค่อาการปวดหัวสุดบัดซบ…’

 

ไคลน์เริ่มได้สติกลับมา มันเพ่งพิจารณาทุกสิ่งตรงหน้าพร้อมกับใช้ความคิด

 

ปัจจุบัน การมองเห็นไคลน์จดจ่ออยู่กับนัยน์ตาสีเขียวมรกตของดาลี่ย์

 

บนโซฟาที่พร่ามัวฝั่งตรงข้าม สตรีสวมผ้าคลุมดำกำลังมองกลับมายังกึ่งกลางศีรษะของไคลน์ เธออมยิ้มก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ฉันคือผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์”

ทำไมเรายัง… มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน…

 

เหตุการณ์และความรู้สึกคล้ายคลึงเมื่อครั้งทำพิธีเปลี่ยนแปลงดวงชะตามาก

 

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ไคลน์แสร้งทำตัวเหมือนกับคนถูกสะกดจิต

 

“ยินดีที่ได้รู้จัก…”

 

“ห้วงมิติจิตของมนุษย์นั้นแสนกว้างใหญ่ มีความลับมากมายหลับไหลซุกซ่อน… เฉกเช่นมหาสมุทร มนุษย์เรามีภูมิความรู้ด้านท้องทะเลเพียงน้อยนิด สิ่งที่ตามนุษย์เห็นมีแค่เกาะเหนือผิวน้ำรวมถึงคลื่นทะเลบนพื้นผิว แต่อีกหลายส่วนที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ลึกลงไปในใต้ทะเลไร้ก้นบึ้ง…

 

“ท้องทะเลเปรียบได้กับห้วงมิติจิตของมนุษย์ เพราะนอกจากเกาะแล้ว ยังมีส่วนใต้ทะเลรวมถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ให้ความลับเข้าไปซุกซ่อน

 

“คุณคือเจ้าของห้วงมิติจิตแห่งนี้ นอกจากเกาะซึ่งเป็นพื้นผิว คุณยังทราบถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในท้องทะเลลึกของตัวเอง…

 

“ทุกสิ่งที่เคยมีตัวตนอยู่ หากถูกลบเลือนหายไปอย่างกระทันหัน มันจะทิ้งร่อยรอยไว้เสมอ… หมู่เกาะบนผิวทะเลอาจถูกลบเลือนหายไปก็จริง แต่หลักฐานการมีอยู่ของมันจะต้องหลงเหลือใต้ทะเลลึกแน่…”

 

ดาลี่ย์พยายามสะกดจิตไคลน์อย่างต่อเนื่อง

ภายในห้วงมิติจิตของไคลน์ สายลมและเงาดำเริ่มก่อตัวเป็นดวงจิตเหนือมหาสมุทรอันว่างเปล่า—จิตของดาลี่ย์ เธอรอให้ไคลน์เปิดเผยความลับใต้มหาสมุทรออกมา

 

แน่นอน ไคลน์ย่อมมองเห็นภาพรวมท้องทะเลจิต รวมถึงจิตของดาลี่ย์ที่แอบจับจากมองจากท้องฟ้า

 

หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ได้แสร้ง ‘กวน’ คลื่นทะเลเป็นระยะเพื่อทำทีกำลังค้นหาคำตอบให้หล่อน

 

เวลาผ่านอีกไปพักใหญ่ ไคลน์ในโลกจริงเริ่มเปล่งเสียงแหบพร่าและเบาบาง

 

“ผม… จำอะไรไม่ได้เลย… ลืม… หมดแล้ว…”

 

สีหน้าไคลน์·โมเร็ตติกำลังเจ็บแปลบพอประมาณ

 

ดาลี่ย์ยังคงพยายามสะกดจิตนำพาไคลน์ให้เข้าถึงความลับอีกหลายครั้ง

 

แต่แน่นอน ไคลน์ที่สติครบถ้วนไม่มีทางเผยความลับสำคัญของตัวเอง

 

 

“พวกเราพอแค่นี้ก่อน คุณออกไปได้”

 

“ออกไปได้”

 

“ออกไปได้…”

 

เสียงดาลี่ย์ดังกังวาลในห้วงจิตไคลน์หลายครั้งก่อนสลายไป สายลมและเงาดำที่หมุนวนเหนือทะเลเริ่มสงบนิ่ง…

 

กลิ่นหอมดอกไม้และไวน์โชยเตะจมูกไคลน์อย่างเด่นชัดอีกครั้ง

สีสันในการมองเห็นกลับเป็นปรกติ ภาพที่เคยเพร่ามัวกลับมาคมชัด ร่างไคลน์สั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะได้สมดุลตัวเองกลับมา

 

มันลืมตาที่ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน

 

สิ่งแรกที่ปรากฏในการมองเห็น เปลวเพลิงเทียนไขสีน้ำเงินเข้มสว่างวูบวาบ ดันน์·สมิทยังคงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีผ่อนคลาย เฉกเช่นผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์ในชุดคลุมสีดำ

 

“ทำไมคุณถึงเลือกใช้วิธีสุดพิสดารของ ‘สมาคมแปรจิต’ ?”

 

ดันน์ขมวดคิ้วขณะถามดาลี่ย์

 

เธอตอบกลับขณะเก็บขวดเล็กสองใบเข้ากระเป๋าบริเวณเอว

 

“วิธีนี้ดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคำนึงจากหลักฐานและพยานแวดล้อมที่เรามี…”

 

ไม่รอคำตอบจากดันน์ ดาลีย์กล่าวต่อ

 

“เจ้าพวกบ้านี่ฉลาดเป็นกรด ไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้เลย”

 

เมื่อได้ยินบทสนทนา ไคลน์โล่งใจไปหลายส่วน ราวได้กับยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะเปล่งเสียงถามด้วยสีหน้าสุดเสแสร้ง

 

“จบแล้วหรือครับ? เกิดอะไรขึ้น? ผมรู้สึกเหมือนกับหลับไปงีบใหญ่…”

 

จะเนียนรึเปล่า?

ต้องใช่แน่

 

ขอขอบคุณ ‘พิธีเปลี่ยนดวงชะตา’ ที่มอบภูมิคุ้นกันให้ล่วงหน้า!

 

“คิดว่าเป็นแบบนั้นก็แล้วกัน”

 

ดันน์เบรกบทสนทนาของไคลน์ ก่อนจะหันไปถามดาลี่ย์

 

“ผลการตรวจสอบศพเวิร์ชกับนาย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ศพจะบอกสาเหตุการตายได้ละเอียดแม่นยำมาก น่าเสียดายที่ต้องระบุว่า เวิร์ชและนาย่าเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายไม่ผิดแน่ ดังนั้น อำนาจภายนอกเดียวที่คุกคามจิตใจพวกเขาได้ คือความหวาดกลัวในระดับเหนือจินตนาการ… แต่ร่องรอยดังกล่าวก็ถูกลบออกไปโดยสมบูรณ์เช่นกัน”

 

ดาลี่ย์ลุกยืนพลางชี้ปลายนิ้วไปยังเทียนไข

เธอกล่าวต่อ

 

“ฉันขอพักผ่อนก่อน”

 

เปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มพลันดับมอด บ้านทั้งหลังถูกบรรยากาศอึมครึมสีแดงฉานปกคลุมแทนที่

 

 

“ขอแสดงความยินดี คุณมีสิทธิ์กลับไปใช้ชีวิตแบบปรกติแล้ว แต่ผมต้องขอร้องหนึ่งเรื่อง ห้ามเล่ารายละเอียดของคดีให้ใครฟังเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทขนาดไหนก็ตาม คุณต้องสัญญากับผมก่อน”

 

ดันน์กล่าวขณะพาไคลน์เดินมาหน้าประตู

 

ไคลน์ถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

“ไม่ตรวจสอบคำสาปหรือวิญญาณร้ายที่อาจสิงร่างผมหรือ?”

 

“ถ้าดาลี่ย์ไม่พูดถึงมัน ก็แปลว่าไม่จำเป็น”

 

ดันน์ตอบเรียบง่าย

 

ไคลน์สงบใจลงเล็กน้อย แต่ก็เกิดความกังวลใหม่แทน

 

“แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าตัวเองปลอดภัยโดยสมบูรณ์แล้ว?”

 

“ไม่ต้องคิดมาก”

 

มุมปากดันน์กระตุกเล็กน้อย

 

“จากสถิติที่ผ่านมา เหยื่อกว่า 80% จะกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปรกติ ปราศจากผลข้างเคียงด้านลบหรือพลังลึกลับ แต่นั่นเป็นเพียงสถิติจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม อาจมากกว่าหรือน้อยกว่านี้เล็กน้อย”

 

“หมายความว่า… เหยื่อเคราะร้ายมีถึงหนึ่งในห้าเลยสินะ”

 

ไคลน์ไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงกับอัตราความซวยที่สูงขนาดนั้น

 

“ถ้าคุณไม่สบายใจ สามารถเข้าทำงานกับหน่วยเหยี่ยวราตรีได้ในฐานะเจ้าหน้าที่พลเรือน หากมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล พวกเราสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที”

 

ดันน์กล่าวขณะเดินไปยังรถม้า

 

“หรือไม่ คุณก็กลายเป็นผู้วิเศษและคอยดูแลตัวเอง… เหยี่ยวราตรีของเราไม่ใช้สำนักงานพี่เลี้ยงเด็ก จะให้จับตามองพฤติกรรมคุณทุกฝีก้าวไม่ได้หรอกนะ โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดเร้าร้อนระหว่างคุณกับสุภาพสตรี”

 

“ผมเป็นผู้วิเศษได้หรือ?”

 

ไคลน์ถามด้วยสีหน้าตกตะลึง

 

แน่นอนมันไม่คาดหวังสักเท่าไร เพราะหน่วยลับอย่างเหยี่ยวราตรี รวมถึงการเป็นผู้วิเศษ คงไม่เข้าถึงได้ง่ายขนาดนั้นแน่

 

ผู้วิเศษเชียวนะ!

 

ดันน์หยุดเดินพร้อมกับหันหน้ามองไคลน์

 

“ใช่ว่าเป็นไม่ได้… ขึ้นอยู่กับสถานการณ์”

 

…อะไรนะ?

 

ถ้อยคำจากปากดันน์ทำให้ไคลน์ต้องทึ่ง มันยืนเหม่อลอยข้างรถม้าครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปถามย้ำ

 

“จริงหรือ? ผมเนี่ยนะ?”

 

ล้อกันเล่นรึเปล่า?

การเป็นผู้วิเศษง่ายดายขนาดนี้เชียว?

 

ดันน์อมยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาสีเทาหม่นยังคงสุขุมภายใต้เงาความมืดข้างรถม้า

 

“ไม่เชื่องั้นหรือ? แต่ขอเตือนไว้ก่อน การเป็นเหยี่ยวราตรีต้องเสียสละมากกว่าที่คุณคิด อันดับแรกเลยคืออิสระภาพ

 

“ถึงคุณจะยังไม่ตกลง แต่ผมจะเล่าให้ฟังอย่างคร่าวก่อน ประการแรก คุณไม่ได้เข้าร่วมโบสถ์ในฐานะนักบวชหรือสาวก หรืออีกนัยหนึ่ง พลังที่คุณต้องการจะมาถึงได้ยากกว่าสมาชิกปรกติ”

 

“และประการที่สอง…”

 

ดันน์เอื้อมแขนเกาะที่จับรถม้า ก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปด้านในห้องโดยสาร

 

มันกล่าวต่อ

 

“จากบรรดาคดีมากมายที่พวกเราเหยี่ยวราตรี หน่วยทูตพิพากษา และหน่วยจิตแห่งจักรกลต้องสะสาง เกินกว่าหนึ่งในสี่เกี่ยวข้องกับอาการ ‘คลุ้มคลั่ง’ ของผู้วิเศษ”

 

หนึ่งในสิี่… ผู้วิเศษคลุ้มคลั่ง?

 

ไคลน์ขมวดคิ้วตั้งใจฟัง

 

ทันใดนั้น ดันน์หันกลับมาจ้องไคลน์ด้วยแววตาแสนเศร้าหมอง รอยยิ้มเลือนหายจากใบหน้าโดยสมบูรณ์

 

“จากจำนวนดังกล่าว… มีไม่น้อยที่เกิดกับพวกพ้องคนสำคัญ”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด