ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 1 : แดงฉาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 3 : เมลิสซ่า

ราชันย์เร้นลับ 2 : สถานการณ์ปัจจุบัน


ราชันย์เร้นลับ 2 : สถานการณ์ปัจจุบัน

 

ตึก ตึก ตึก!

 

โจวหมิงรุ่ยหวาดกลัวในสิ่งที่เห็น ร่างกายเซถอยหลังตามสัญชาตญาณ ฉากในกระจกเมื่อครู่ไม่เหมือนการส่องสะท้อนเงาตนเอง ราวกับนำภาพซากศพใครบางคนมาฉาย

 

มนุษย์ที่มีแผลฉกรรจ์ปานนั้นจะมีลมหายใจได้อย่างไร

 

หมิงรุ่ยยากทำใจเชื่อลง กระนั้นก็ต้องทำให้แน่ชัด มันเอนศีรษะอีกด้านพลางชำเลืองมองกระจกจากระยะห่าง แสงอาจมัวสลัว แต่ไม่ผิดแน่ บาดแผลของตัวมันเหวอะหวะเป็นรูโหว่และเปี่ยมด้วยคราบเลือด

 

"จริงหรือเนี่ย…"

 

โจมหมิงรุ่ยสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อข่มสติ

 

มันเลื่อนมือสัมผัสหน้าอกซ้าย หัวใจยังคงเต้นปรกติ ไม่สิ แรงกว่าปรกติมาก เส้นขนบนผิวหนังตั้งชูชัน เหงื่อไคลแซมหลายจุด เป็นอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ปรกติ

 

หลังจากพิสูจน์ว่าเข่ายังงอได้ โจวหมิงรุ่ยยืนตัวตรงอีกครั้งพลางครุ่นคริด

 

"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"

 

มันขมวดคิ้ว ลังเลจะสำรวจปากแผลอีกหนดีหรือไม่

 

หลังจากก้าวขาไปสองหน มันชะงักอีกครา แสงสลัวจากจันทร์เลือดด้านนอกไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์รายละเอียด

 

ทันใดนั้น มันฉุกคิดบางสิ่งได้ โจวหมิงรุ่ยเหลือบมองท่อสีเทาข้างโต๊ะไม้ ปลายสุดท่อเชื่อมติดโคมผนัง

 

โคมผนังเป็นชนิดตะเกียงแก๊ส เปลวเพลิงจากตะเกียงชนิดดังกล่าวจะคงที่และให้ความสว่างน่าพึงพอใจ

 

เดิมที ครอบครัวของไคลน์·โมเร็ตติไม่มีปัญญาครองแม้กระทั่งตะเกียงน้ำมันก๊าด อย่าว่าแต่ตะเกียงแก๊สเลย เทียนไขคือแสงสว่างชนิดเดียวที่มันได้รับ แต่ราวสี่ปีก่อน ในช่วงที่มันต้องติวหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยโฮอี้ พี่ชายของไคลน์—เบ็นสัน มองว่าการสอบเข้าของไคลน์หมายถึงอนาคตครอบครัว ต่อให้ต้องหยิบยืมเงินก็ต้องทำ เพื่อให้ไคลน์มีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับตัวหนังสือ

 

แต่แน่นอน เบ็นสันไม่ใช่คนสมองทึบและใจร้อน มันนำข้ออ้าง 'หอพักต้องติดตั้งโคมตะเกียงแก๊สทุกห้องเพื่อยกระดับมาตรฐานและเรียกลูกค้า' ไปกล่าวกับเจ้าของหอพัก โน้มน้าวให้เจ้าพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไม่เพียงเท่านั้น เบ็นสันยังใช้เส้นสายที่มีต่อบริษัทน้ำเข้าส่งออกเพื่อจัดหาตะเกียงแก๊สในราคาใกล้กับต้นทุน ความพยายามทั้งหมดส่งผลให้เบ็นสันไม่ต้องหยิบยืมเงินจากผู้ใด เพียงควักเงินส่วนตัวเก็บจำนวนไม่มาก

 

เศษเสี้ยวความทรงจำจบลง โจวหมิงรุ่ยเดินกลับมายังโต๊ะไม้ มันใช้มือบิดวาล์วท่อแก๊สพลางเปิดสวิตช์ใช้งานตะเกียง

 

เสียงแกร่กดังขึ้นแห้งๆ คล้ายคลึงกับการเปิดเตาแก๊ส แต่โคมตะเกียงกลับไม่ส่องสว่าง

 

แกร่ก! แกร่ก!

 

หมิงรุ่ยพยายามบิดหมุนอีกสองครา แต่ไฟตะเกียงยังคงดำมืดเช่นเดิม

 

"หืม…"

 

มือขวาถอนกลับจากสวิตช์ ฝ่ามือซ้ายยังคงแนบขมับ โจมหมิงรุ่ยนึกเค้นสมองหาสาเหตุของความล้มเหลว

ไม่กี่วินาทีถัดมา มันหมุนตัวเดินมาทางประตู หมิงรุ่ยหยุดยืนหน้าอุปกรณ์กลไกลที่ติดไว้บนผนังข้างลูกบิดประตู อุปกรณ์ดังกล่าวมีท่อสีเทาขาวเชื่อมติดอยู่

 

มิเตอร์แก๊ส

 

หลังจากเห็นลูกปืนและเฟืองอยู่ในสภาพหลวมโครก โจวหมิงรุ่ยรีบควักเหรียญจากกระเป๋าเสื้อ

 

เป็นเหรียญโลหะสีเหลืองหม่น ส่องแสงทองแดงเล็กน้อยยามกระสบความสว่าง บนเหรียญมีใบหน้าของบุรุษสวมมงกุฏ ขอบเหรียญสลักถักทอลวดลายต้นข้าวสลี ใจกลางเหรียญทองแดงมี 'เลขหนึ่ง' นูนเด่นสง่า

 

โจวหมิงรุ่ยทราบทันทีว่าเป็นสกุลเงินพื้นฐานของอาณาจักรลูเอ็น ผู้คนเรียกมันว่า 'เพนนีทองแดง' ค่าเงินหนึ่งเพนนีในลูเอ็นจะมีมูลค่าราวสามถึงสี่ดอลล่าส์ในโลกเก่าที่โจวหมิงรุ่ยเคยอาศัย ยังมีเหรียญประเภทอื่นอยู่อีก เช่นห้าเพนนี ครึ่งเพนนี และหนึ่งส่วนสี่เพนนี ในชีวิตประจำวัน การจ่ายตลาดแต่ละหนต้องพกพาเหรียญให้มากชนิดที่สุด

 

บนโลกเก่า เหรียญเพนนีถูกนำมาใช้ครั้งแรกหลังจากพระเจ้าจอร์จที่สามขึ้นครองราชย์ โจมหมิงรุ่ยดีดมันเล่นบนปลายนิ้วครู่หนึ่ง จากนั้นนำไปแทรกกลางระหว่างรูช่องว่างมิเตอร์แก๊ส

 

กริ๊ก!

 

ทันทีที่เหรียญหล่นถึงก้นเครื่อง เฟืองกลไกลเริ่มขยับ เกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเพราะ

 

โจวหมิงรุ่ยยืนมองมิเตอร์เพื่อให้แน่ใจ หลังจากผ่านไปสองสามสินาที มันเดินกลับมายังโต๊ะสีไม้พร้อมกับบิดหมุนสวิตช์ตะเกียงแก๊ส

 

แกร่ก! พรึ่บ!

 

เปลวเพลิงในตะเกียงถูกจุดติดอย่างรวดเร็ว มันขยายขนาดจนถึงระดับพอเหมาะ แสงสว่างแผ่จากด้านในตะเกียงไปยังโดยรอบทีละนิด เพียงไม่นาน ห้องของไคลน์เปี่ยมด้วยแสงนวลสว่างไสว

 

ความมืดมิดสลายไป สีแดงระเรื่อจากจันทร์เลือดเริ่มเลือนลง โจวหมิงรุ่ยแสดงสีหน้าโล่งใจ มันเดินกลับไปยังหน้ากระจกแต่งตัวทันที

 

ในครานี้ มันบรรจงเพ่งมองรอบขมับพลางสังเกตุรายละเอียด

 

หลังจากสำรวจถี่ถ้วน มันพบว่า นอกจากคราบเลือดที่เริ่มแห้งกรัง ไม่มีเลือดใหม่ไหลออกจากบาดแผลแม้แต่น้อย ประหนึ่งได้รับยาห้ามเลือดและผ้าพันแผลชั้นเลิศ บาดแผลบนเนื้อสมองสีเทาที่ยุบพองเริ่มสมาน เฉกเช่นบาดแผลตรงขมับ หากปล่อยไว้ บาดแผลคงสมานสนิทภายในครึ่งชั่วโมง เหลือทิ้งไว้เพียงแผลเป็นไม่ลึกมาก

 

"เป็นพลังรักษาจากการข้ามโลกรึไง?"

 

โจวหมิงรุ่ยพึมพำพลางอมยิ้มมุมปาก

 

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก มันถอนหายใจยาวสุดปอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยมันก็ยังมีลมหายใจ

 

เมื่อตั้งสติให้นิ่ง โจวหมิงรุ่ยรีบดึงลิ้นชักและรำสบู่ออกมา จากนั้นก็คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กในตู้เสื้อ มันเปิดประตูและรีบเดินตรงไปยังห้องน้ำรวมบนชั้นสอง

 

'ต้องขจัดคราบเลือดให้เร็วที่สุด ต่อให้เราไม่กลัว แต่น้องสาวเราต้องตกใจแน่ เมลิสซ่าจะตื่นในตอนเช้า ถ้าไม่รีบทำความสะอาดคงได้เกิดปัญหาใหญ่'

ทางเดินด้านนอกค่อนข้างมืด มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างสุดปลายทางเดิน แสงจันทร์สลัวกระทบกับวัตถุบนผนังสองข้างทาง ประหนึ่งดวงตาปีศาจที่คอยเฝ้ามองมนุษย์ยามค่ำคืน

 

โจวหมิงรุ่ยเกิดอาการหวาดกลัว มันรีบจ้ำเท้าเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยไว

 

ภายในห้องน้ำ หน้าต่างรับแสงจันทร์อย่างเต็มเปี่ยม ภาพการมองเห็นกระจ่างและชัดเจน โจวหมิงรุ่ยหยุดลงหน้าก๊อกน้ำพลางหมุนเปิดวาล์ว

 

เมื่อได้ยินเสียงน้ำไหล ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของหอพลันแล่นเข้ามาในหัว

 

ด้วยความที่ค่าน้ำถูกคิดเหมารวมในค่าเช่า มิสเตอร์แฟรงค์ ชายร่างเล็กผู้มากับหมวกทรงสูง เสื้อกั๊กสีดำด้านใน แจ็คเก็ตสีดำคลุมทับด้านนอก มิสเตอร์แฟรงค์บัดซบมักแอบเงี่ยหูฟังการใช้น้ำของลูกบ้านเสมอ

 

หากเสียงน้ำดังมาก มิสเตอร์แฟรงค์จะสลัดมาดผู้ดีทันที มันมักใช้ไม้ค้ำกระแทกประตูอย่างเกรี้ยวกราดพลางตะโกน "ไอ้หัวขโมย!" "ละอายแก่ใจบ้าง!" "ฉันจำแกได้!" "ถ้าฉันจับได้อีกครั้ง แกเตรียมเก็บข้าวของออกไปได้เลย!" "เชื่อฉันเถอะ หอพักของฉันคุ้มราคาที่สุดในเมืองทิงเก็นแล้ว! แกไม่มีวันได้พบกับเจ้าของหอที่ใจกว้างไปกว่าฉัน!"

 

ขณะความทรงจำแล่นผ่าน โจวหมิงรุ่ยใช้ผ้าหมาดซับเลือดออกจากใบหน้า ทำซ้ำหนแล้วหนเล่า

 

หลังจากสำรวจในกระจกและพบว่าบาดแผลเหวอะหวะถูกสมานเหลือเพียงรอยแผลเล็ก โจวหมิงรุ่ยแสดงท่าทีโล่งใจหลายส่วน มันรีบถอดเสื้อลินนินออกและใช้สบู่ขัดถูคราบเลือด

 

ทันใดนั้น ปัญหาใหม่ผุดขึ้นในห้วงความคิด

 

แผลที่ขยับมีใหญ่มากในตอนแรก ย่อมหมายถึงเลือดที่เปรอะเปื้อนหลายจุด ไม่เพียงบนร่ายกาย แต่ยังรวมถึงเฟอร์นิเจอร์และพื้นภายในห้อง

 

หลังจากครุ่นคิดพลางทำความสะอาดหลายนาที โจวหมิงรุ่ยจัดการกับเสื้อลินินเสร็จ มันรีบใส่เสื้อกลับคืนและนำพาเช็ดตัวเปียกพาดบ่า รีบเดินกลับห้องด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงห้อง หมิงรุ่ยใช้ผ้าหมาดเช็ดคราบเลือดบนโต๊ะไม้ จากนั้นก็อาศัยแสงไฟตะเกียงค้นหารอยเลือดในจุดที่เหลือ

 

การตัดสินใจดังกล่าวช่วยให้มันพบคราบเลือดที่กระเซ็นลงบนพื้นและบริเวณใต้ลิ้นชัก ไม่เพียงเท่านั้น มันยังพบปลอกกระสุนสีเหลืองหม่นตกอยู่ริมกำแพงซ้ายมือ

 

"…เอาปืนลูกโม่จ่อขมับแล้วลั่นไกสินะ"

 

หลังจากปะติดปะต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน โจวหมิงรุ่ยก็ได้ข้อสรุปความตายของไคล์น·โมเร็ตติ

 

หมิงรุ่ยไม่รีบร้อนสืบหาความจริง มันรีบขจัดคราบเลือดให้หมดเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เก็บปลอกกระสุนและเดินกลับไปยังโต๊ะไม้ โจวหมิงรุ่ยหยิบปืนขึ้นและดันโม่ออกไปทางฝั่งซ้าย มันเทกระสุนในโม่ออกจนหมด

 

'กระสุนห้านัด… รวมถึงปลอก ทั้งหมดทำจากทองเหลือง'

 

"ชัดเจนแล้ว…"

 

โจมหมิงรุ่ยยืนมองโม่ที่ว่างเปล่าครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใส่กระสุนกลับเข้าไป

สายตาของมันเหลือบมองไปยังสมุดจดที่เปิดค้าง อักษรบนหน้ากระดาษเขียนไว้ว่า "ทุกคนต้องตาย รวมถึงตัวฉัน" เมื่ออ่านจบ ความฉงนเริ่มผุดขึ้นในห้วงความคิด

 

'ปืนมาจากไหน?'

 

'ฆ่าตัวตาย หรือฆาตกรรมอำพราง?'

 

'นักศึกษาจบใหม่จากสาขาประวัติศาสตร์ไปพัวพันกับอะไรเข้า?'

 

'ทำไมการลั่นไกฆ่าตัวตายถึงหลงเหลือเพียงคราบเลือด? หรือการเดินทางข้ามโลกของเรามีผลช่วยฟื้นฟูร่างกาย'

 

ขณะครุ่นคิด โจวหมิงรุ่ยเปลี่ยนไปใส่เสื้อลินินตัวอื่น มันนั่งลงบนเก้าอี้พลางทบทวนถึงสิ่งที่สำคัญด้านอื่น

 

มันไม่สนอดีตของไคลน์มากนัก ที่มันกำลังอยากทราบคือ เหตุใดตนถึงถูกส่งข้ามโลก และจะกลับได้ด้วยวิธีใด

 

พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท โลกที่เปี่ยมด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและอาหารรสเลิศ โจวหมิงรุ่ยต้องการกลับโลกเก่าด้วยเหตุผลดังกล่าว

 

มือขวาของมันกำลังดันโม่ปืนเข้าออกเล่นโดยไม่รู้ตัว

 

'ไม่มีเรื่องไหนปรกติสักอย่าง… เราทำอะไรลงไปบ้าง ถึงได้ถูกส่งข้ามโลกมาที่นี่… โชคร้ายชะมัด'

 

'โชคร้าย… เดี๋ยวนะ เราทำพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาก่อนอาหารค่ำใช่ไหม?'

 

ความคิดในหัวหมิงรุ่ยพลันขาวโพลน ฉากความทรงจำอันเลือนลางถูกบดบังด้วยหมอกเทา

 

ในฐานะนักการเมืองคีย์บอร์ด นักประวัติศาสตร์คีย์บอร์ด นักเศษรฐศาสตร์คีย์บอร์ด นักชีววิทยาคีย์บอร์ด นักคติชนคีย์บอร์ด โจวหมิงรุ่ยมักอวดโอ่กับเพื่อนฝูงว่าตน 'รอบรู้ทุกเรื่องอย่างละนิด' และแน่นอน เพื่อนของมันจะตอกย้ำด้วยคำว่า 'อย่างละนิดจริงๆ' เสมอ

 

พิธีกรรมโบราณคือหนึ่งสิ่งที่โจวหมิงรุ่ยศึกษาผิวเผิน

 

'ราวปีก่อน เรากลับบ้านเกิดและได้พบกับฉบับคัดลอกของ "พิธีกรรมโบราณในราชวงศ์ฉินและฮั่น" ในร้านหนังสือเก่า หากมองผิวเผิน มันคือหนังสือที่น่าสนใจมาก เราเกิดความคิดที่จะซื้อเพื่ออวดทุกคนบนอินเทอร์เน็ต แต่น่าเสียดายที่เนื้อหาด้านในน่าเบื่อเกินไป หลังจากเปิดอ่านไม่กี่หน้า เราก็นำมันกลับไปวางบนชั้นทันที'

 

จนกระทั่งเดือนก่อน โจวหมิงรุ่ยพานพบความฉิบหายในชีวิตอย่างต่อเนื่อง โทรสับสูญหาย เสียลูกค้า ก่อความผิดพลาดในที่ทำงาน เมื่อความอับโชคถาโถม มันจึงหวนนึกถึงพิธีกรรมชนิดหนึ่งที่ถูกระบุในช่วงต้นของหนังสือ พิธีกรรมเปลี่ยนแปลงโชคชะตา การเตรียมการแสนง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องใช้พลังภายในเข้าช่วย

 

'เพียงนำอาหารท้องถิ่นมาแบ่งเป็นสี่ส่วน แต่ละส่วนวางไว้มุมห้องสี่ทิศ จะบนตู้หรือโต๊ะก็ได้ จากนั้นก็ยืนกึ่งกลางห้องเพื่อเตรียมตัว พิธีกรรมแสนง่ายดาย เพียงก้าวเท้าทวนเข็มนาฬิกาสี่ครั้งให้เป็นรูปทรงจัตุรัส ก้าวแรกท่องในใจว่า "เซียนราชันย์ฟ้าดินประทานโชค" (ฝูเฉิงเสวียนหวังเซียนซุน) ก้าวที่สองท่องว่า "เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค" (ฝูเฉิงเสวียนหวังเทียนจุน) ก้าวที่สามท่องว่า "จักรพรรดิสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค" (ฝูเฉิงเสวียนหวังซ่างตี้) และก้าวที่สี่ท่องว่า "ราชันย์สวรรค์ฟ้าดินประทานโชค" (ฝูเฉิงเสวียนหวังเทียนซุน) หลังจากเดินครบ หลับตาลงและสงบนิ่งเป็นเวลาห้านาที พิธีเป็นอันเสร็จสิ้น'

 

ในเมื่อเป็นของฟรี ทดสอบสักนิดคงไม่เสียหาย มันปฏิบัติตามข้อความในหนังสือทุกประการก่อนทานข้าวเย็น แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในทันที

 

ใครจะไปคิดว่า ตัวมันจะถูกส่งข้ามโลกในเวลาเที่ยงคืนตรง

 

ข้ามโลกเชียวนะ

 

"ต้องเป็นเพราะพิธีกรรมเปลี่ยนโชคแน่… ดีล่ะ เราจะลงมือทดสอบพรุ่งนี้ หากเป็นสาเหตุของการข้ามโลกจริง เรายังมีหวังที่จะกลับไป"

 

โจวหมิงรุ่ยหยุดเล่นโม่ในมือขวา มันยืนขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวัง

 

'แม้โอกาสจะน้อยนิด แต่คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง'

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด