ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 11 : รสมือที่แท้จริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 13 : เหยี่ยวราตรี

ราชันย์เร้นลับ 12 : พบกันอีกครั้ง


ราชันย์เร้นลับ 12 : พบกันอีกครั้ง

 

เมลิสซ่า ช่วยอย่าขุดเรื่องที่ทำร้ายจิตใจขึ้นมาพูดได้ไหม… ไคลน์พึมพำ ขมับของมันเริ่มปวดแปลบ

 

ความทรงจำยังขาดหายไปหลายส่วน ไม่มีอันไหนที่ไม่สำคัญ แล้วมันจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบสัมภาษณ์ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า?

 

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์พิลึกมากมายเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน จะให้มีอารมณ์อ่านหนังสือทบทวนได้อย่างไร?

 

ไคลน์ตอบแบบขอไปทีก่อนจะแสร้งเปิดหนังสืออ่าน เมลิสซ่าเห็นดังนั้นจึงร่วมวงนั่งทำการบ้านของตัวเองในจุดที่ไม่ห่างนัก ถือเป็นการประหยัดโคมไฟผนังไปในตัว

 

บรรยากาศผ่านไปอย่างเงียบสงบ จนกระทั่งห้าทุ่มตรง สองพี่น้องกล่าวฝันดีต่อกันและแยกย้ายไปนอน

 

 

ก็อก!

 

ก็อก! ก็อก!

 

เสียงเคาะประตูดังจนไคลน์ตื่นจากภวังค์

เมื่อเหลือบมองหน้าต่างนอกห้อง แสงแดดสีแสดยามรุ่งสาดสาดส่องทะลุม่าน ไคลน์งัวเงียพยุงตัวเองลุกนั่ง

 

“ใครกัน?”

 

หัดรู้เกรงใจคนอื่นบ้างสิฟะ!

 

แล้วทำไมเมลิสซ่าถึงไม่ยอมปลุกตน?

 

“ผมเอง ดันน์·สมิท”

 

ชายเสียงลุ่มลึกหลังประตูขานตอบ

 

ดันน์·สมิท? ใครกัน…

 

ไคลน์ลุกจากเตียงและเดินไปที่ประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิด เมื่อบานประตูเปิดออก นายตำรวจนัยน์ตาเทาคนเมื่อวานกำลังยืนหน้าห้อง

 

ไคลน์เอ่ยปากถามด้วยท่าทีตื่นตระหนก

 

“มีอะไรงั้นหรือครับ?”

 

นายตำรวจตอบเสียงขึงขัง

 

“พวกเราได้เบาะแสใหม่จากคนขับรถม้า เขาสาบานว่าเป็นคนขับรถพาคุณไปส่งที่บ้านมิสเตอร์เวิร์ชในวันที่ 27 มิถุนายน วันที่เวิร์ชและนาย่าเสียชีวิต แถมยังยืนยันหนักแน่นว่ามิสเตอร์เวิร์ชเป็นผู้ออกค่าโดยสารให้ทั้งหมด”

 

ไคลน์เริ่มสั่นระริก มันมิได้ตื่นตระหนกเพราะเคยโกหกสิ่งใดไปกับตำรวจ ด้วยความสัตย์จริง ไคลน์ยังไม่เคยให้การเท็จกับตำรวจเลยสักครั้ง

 

มันเพียงแต่อึ้งกับเบาะแสใหม่ที่ดันน์·สมิทเล่าให้ฟัง

 

อีกนัยหนึ่งก็คือ วันที่ 27 มิถุนายน ไคลน์คนก่อนได้เดินทางไปยังบ้านเวิร์ชจริง และกลับถึงห้องตัวเองก่อนเที่ยงคืน จากนั้นก็ลงมือฆ่าตัวตายเหมือนกับเวิร์ชและนาย่า…

 

ไคลน์ฝืนยิ้ม

 

“หลักฐานของคุณยังอ่อน มันไม่ได้พิสูจน์ว่าผมเกี่ยวข้องกับการตายของเวิร์ชและนาย่าเลยสักนิด ด้วยความสัตว์จริง พวกเขาเป็นเพื่อนสนิท และตัวผมก็ต้องการทราบความคืบหน้าคดียิ่งกว่าใคร แต่ว่า… ผมจำอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะวันที่ 27 มิถุนา ความทรงจำของผมว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ ผมพยายามอ่านไดอารีเผื่อว่าตัวเองจะเขียนอะไรไว้บ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินทางไปที่บ้านพักของเวิร์ชในวันที่ 27”

 

“คุณคงความจำเสื่อมรุนแรงมาก”

 

ดันน์·สมิทกล่าวพลางผงกศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าของมันราบเปรียบปราศจากอารมณ์ ไม่โกรธ ไม่เคลือบแคลง และไม่ยิ้มแย้ม

 

“คุณก็น่าจะสัมผัสถึงความบริสุทธิ์ใจของผมได้ใช่ไหม”

 

ไคลน์กล่าวขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเทาของดันน์

ฉันพูดความจริง!

ถึงมันจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ!

 

ดันน์·สมิทยังไม่มอบคำตอบ มันกวาดสายตารอบห้องก่อนจะกล่าว

 

“ปืนลูกโม่ของมิสเตอร์เวิร์ชหายไป ผมขอเดาว่า… สามารถพบมันได้ในห้องนี้ใช่ไหม? มิสเตอร์ไคลน์”

 

ก็เออสิฟะ…

ในที่สุดไคลน์ก็ทราบที่มาของปืนลูกโม่ทองเหลืองหรูหรา ข้อมูลปริศนาเริ่มปะติดปะต่อกันในหัวทีละชิ้นสองชิ้น

 

ไคลน์ผายมือเชิญดันน์·สมิทเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ใช้ปลายคางชี้ไปยังเตียงไม้สองชั้น

 

“บนแผ่นไม้ใต้เตียง”

 

มันไม่ได้ระบุว่าเป็นเตียงชั้นล่าง เพราะคงไม่มีใครเสียสติพอจะซ่อนปืนไว้ใต้เตียงชั้นบน จุดที่แค่แหงนหน้าขึ้นก็มองเห็น

 

ดันน์·สมิทยังไม่เดินเข้าไป มุมปากมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหันมาถาม

 

“มีอะไรอยากเล่าอีกไหม?”

 

ไคลน์ตอบโดยไม่ลังเล

 

“แน่นอน!

 

“เมื่อวาน ผมตื่นขึ้นกลางดึกและพบว่าตัวเองกำลังนอนฟุบโต๊ะ ข้างลำตัวมีปืนลูกโม่วางอยู่ บริเวณมุมห้องมีกระสุนตกหนึ่งนัด สถานที่เกิดเหตุเหมือนกับการฆ่าตัวตาย… แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อาจเพราะขาดประสบการณ์ด้านปืน หรืออาจเพราะกลัวตายในวินาทีสุดท้าย กระสุนจึงทำหน้าที่ของมันไม่สำเร็จ ส่งผลให้ผมยังมีชีวิตอยู่

 

“ผมจึงสูญเสียความทรงจำบางส่วนนับแต่นั้น โดยเฉพาะความทรงจำวันที่ 27 มิถุนายน ผมไม่ได้โกหกคุณ ผมจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด”

 

เพื่อให้ตนรอดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยโดยเร็ว และเพื่อขจัดเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างต่อเนื่อง ไคลน์อธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง ยกเว้นเรื่องเดินทางข้ามโลกและ ‘ชุมนุมไพ่ทาโร่ต์’

 

ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังเลี่ยงบาลีอย่างแยบยล มันได้ไม่พูดว่า ‘กระสุนทะลวงสมองจนเป็นเป็นรูโหว่’ เพียงแต่บอกว่า กระสุนปืนทำหน้าที่ของมันไม่สำเร็จ

 

สำหรับคนอื่น สองประโยคอาจฟังดูคล้ายคลึงกันมากจนเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

 

ดันน์·สมิทยืนฟังอย่างเงียบงัน

ก่อนจะกล่าว

 

“คำให้การของคุณสอดคล้องกับสิ่งที่ผมคาดเดา รวมถึงสอดคล้องกับพยานแวดล้อมที่พวกเรามี แต่ก็ยังไม่ทราบเหตุผลที่คุณรอดชีวิตมาได้”

 

“ขอบคุณที่เชื่อ ผมเองก็ไม่ทราบว่ารอดมาได้ยังไงเหมือนกัน”

 

ไคลน์โล่งอก มันแอบถอนหายใจ

“แต่ว่า…”

 

ดันน์ยังมีแต่

 

“ต่อให้ผมเชื่อคุณ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป คุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคนปัจจุบันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทางเดียวที่จะพ้นข้อครหาคือเข้ารับการตรวจและยืนยันจาก ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ว่าคุณเสียความทรงจำจริง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของมิสเตอร์เวิร์ชและมิสนาย่า”

 

ดันน์กระแอม สีหน้ามันขึงขันขึ้น

 

“มิสเตอร์ไคลน์ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ คุณต้องร่วมมือกับพวกเรา ตามผมไปยังสถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบความจริง คงใช้เวลาราวสองถึงสามวันจนกว่าจะสรุปผล”

 

“ผู้เชี่ยวชาญมาถึงแล้ว?”

ไคลน์ขมวดคิ้วถาม

ไม่ใช่ตำรวจเคยบอกเองหรือ ว่าต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันกว่าผู้เชี่ยวชาญจะมาถึงทิงเก็น

 

“เธอมาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้”

 

ดันน์ผายมือส่งสัญญาณบอกให้ไคลน์ลงไปพร้อมกับมัน

“ขอทิ้งข้อความไว้ได้ไหม”

 

ไคลน์ขอร้อง

เบ็นสันยังไม่กลับ ส่วนเมลิสซ่าก็ออกไปโรงเรียนแล้ว มันจำเป็นต้องทิ้งข้อความเพื่อชี้แจงว่าตนพัวพันกับคดีของเวิร์ช สองพี่น้องจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

 

ดันน์พยักหน้า

 

“ตามสบาย”

 

ไคลน์เดินกลับไปที่โต๊ะ หลังจากควานหาแผ่นกระดาษอยู่พักหนึ่ง มันฉุกคิดบางสิ่งได้

 

ด้วยความสัตย์จริง มันเริ่มเกิดความรู้สึกไม่อยากพบ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เพราะไม่อย่างนั้น ความลับใหญ่หลวงเกี่ยวกับการข้ามโลกอาจถูกเปิดเผย

 

ภายใต้โลกที่ถูกกุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยศาสนาหลักอย่างโบสถ์ทั้งเจ็ดแห่ง ไคลน์คาดเดาเอาว่า สาเหตุที่มหาจักรพรรดิโรซายล์ถูกลอบสังหาร อาจเป็นเพราะความลับเรื่องเดินทางข้ามโลกถูกเปิดเผย

 

หรืออีกนัยหนึ่งคือ บุคคลเดินทางข้ามโลกจะเป็นที่ต้องการตัวของโบสถ์ และทุกคนต้องเข้ารับการพิพากษาโทษ!

 

ทว่า ตัวมันที่ปราศจากอาวุธ ทักษะต่อสู้ หรือพลังพิเศษ จะเอาสิ่งใดไปสู้กับนายตำรวจระดับสูงได้? ไม่เพียงเท่านั้น นอกห้องคงมีลูกน้องดันน์ดักรออีกเพียบแน่

 

เมื่อใดที่พวกมันชักปืนยิง เมื่อนั้นจะเป็นจุดจบของไคลน์·โมเร็ตติโดยสมบูรณ์

 

“เอ่อ… แล้วฉันจะรีบกลับมา”

 

ไคลน์ทิ้งข้อความ จากนั้นก็คว้ากุญแจติดตัวและเดินออกจากห้องตามดันน์·สมิทไป

ท่ามกลางทางเดินอันมือมิด ตำรวจสี่นายในเครื่องแบบตารางหมากรุกขาวสลับดำ กำลังเดินล้อมไคลน์ไว้ทุกทิศ ท่าทีระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

กึก กึก กึก…

 

ไคลน์เดินตามดันน์อย่างว่าง่าย บันไดไม้เก่าโทรมของหอพักส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อถูกเหยียบ

 

ด้านล่างหอพักมีรถม้าสี่ล้อคันใหญ่จอดรออยู่ ข้างรถติดตรา ‘ดาบไขว้และมงกุฏ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรมตำรวจ รอบรถม้ามีพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยยามเช้าและผู้คนขวั่กไขว่เช่นเคย

“ขึ้นไปนั่ง”

 

ดันน์สั่งสัญญาณให้ไคลน์เข้าไปนั่งคนแรก

ขณะไคลน์กำลังก้าวขา พ่อค้าขายหอยนางรมได้แหกปากตะโกนลั่นเพื่อปรักปรำชายคนหนึ่งว่าเป็นหัวขโมย

 

ทั้งสองปลุกปล้ำนัวเนียไม่ห่างรถม้านัก ส่งผลให้ม้าตำรวจเริ่มแตกตื่นและเริ่มคุมไม่อยู่

 

โอกาสทอง!

 

ไคลน์ไม่คิดให้มากความ มันก้มหน้าลงและพุ่งตัวหายเข้าไปในกลุ่มฝูงชนที่แออัดทันที

 

อาศัยการแหวกว่ายและโยกตัว มันนำพาตัวเองมาถึงอีกฝั่งของถนนด้วยความเร็วสูง

 

ความสำคัญในปัจจุบันคือต้องเลี่ยงเผชิญหน้ากับ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ให้ได้

 

ทางเดียวที่จะรอดคือไปให้ถึงท่าเรือนอกเมือง จากนั้นก็นั่งเรือผ่านแม่น้ำทัสซอคไปยังกรุงเบ็คลันด์ที่มีผู้คนหนาแน่นและหลบซ่อนตัวได้ง่ายกว่า

 

หรืออีกวิธีหนึ่ง สามารถหนีไปทางทิศตะวันออกด้วยรถไฟไอน้ำ ลงสถานทีสักแห่งที่ใกล้กับท่าเรือเอ็นมาร์ท จากนั้นมุ่งหน้าไปยังท่าเรือพริสต์ทางทะเล แล้วค่อยมุ่งหน้าสู่เบ็คลันด์อีกทอด

 

หลังจากสับขาวิ่งไม่นาน ไคลน์ก็มาถึงทางเดินสุดถนน มันรีบวกตัดเข้าถนนกางเขนเหล็ก ซอยดังกล่าวมีรถม้าให้บริการเป็นจำนวนมาก

 

“ไปท่าเรือนอกเมือง”

ไคลน์ใช้มือเกาะข้างรถม้าและดึงตัวขึ้น

 

มันคำนวนทุกสิ่งไว้โดยละเอียด ก่อนอื่น ต้องทำให้ตำรวจไขว้เขวโดยการทำเป็นมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ แต่ความจริงแล้วจะแอบกระโดดลงกลางทาง

 

“ครับผม”

 

คนขับรถม้าเริ่มสะบัดบังเหียน

 

กร่อก! กร่อก! กร่อก…

 

รถม้าเคลื่อนตัวพ้นจากถนนกางเขนเหล็ก

 

หลังจากนั้นสักพัก ขณะไคลน์คิดจะกระโดดลงเพื่อหนี มันเริ่มผิดสังเกตุเมื่อกวาดสายตามองสองข้างทาง

 

รถม้าคันนี้ไม่ได้มุ่งไปยังท่าเรือนอกเมือง!

 

“จะขับไปไหน?”

 

ไคลน์โพล่งอย่างหัวเสีย

 

“ไปบ้านมิสเตอร์เวิร์ช…”

 

คนขับตอบเสียงเย็นยะเยียบ

 

อะไรนะ?

 

ไคลน์อึ้งจนพูดไม่ออก

ทันใดนั้น คนขับรถม้าหันกลับมามองด้วยนัยน์ตาสีเทาหม่น!

 

ดันน์·สมิท!

นายตำรวจนัยน์ตาเทา!

 

“นี่คุณ!”

 

ไคลน์ตื่นตระหนกสุดขีด ทันใดนั้น ภาพการมองพลันพร่ามัวพร้อมกับหมุนเคว้ง ก่อนจะสงบลงอีกครั้งเมื่อมันพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง

 

ลุกขึ้นนั่ง?

 

ไคลน์กวาดสายตามองไปรอบตัว แล้วก็พบว่า ผ้าม่านหน้าต่างกำลังถูกฉาบด้วยสีแดงเข้มของจันทร์เลือด

 

มันเลื่อนมือขึ้นมาจับหน้าผากที่เปียกแฉะไปด้วยเหงื่อไคลเย็นฉ่ำ บริเวณแผ่นหลังก็มีสภาพไม่ต่างกัน

 

“ฝันร้ายหรอกหรือ…”

 

ไคลน์ถอนหายใจยาว

 

“เรายังไม่เป็นอะไร… ยังปลอดภัยดี”

 

แต่มันเริ่มฉุกคิดถึงความไม่ชอบมาพากล เหตุใดตัวเองในฝันถึงมีสติครบถ้วนได้เช่นนั้น? แถมยังตัดสินใจได้อย่างสุขุมชัดเจนมาก

 

เมื่อไตร่ตรองอย่างใจเย็นอยู่พักใหญ่ ไคลน์หยิบนาฬิกาใบองุ่นขึ้นมาตรวจสอบเวลา

 

เพิ่งจะตีสองตรง มันรีบลุกขึ้นเพื่อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สะอาด และหวังปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ

 

ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ไคลน์เปิดประตูห้องและเดินตรงไปตามทางที่มีแสงจันทร์ให้ความสว่างเพียงเล็กน้อย

 

ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนยืนริมหน้าต่างสุดทางเดินยาว

 

จากแสงจันทร์อันเลือนลางที่ฉายกระทบ ไคลน์พอจะมองเห็นเสื้อกันลมสีดำที่บุคคลปริศนาสวมอยู่ ชายเสื้อยาวกว่าแจ็คเก็ต แต่สั้นกว่าโค้ต

บุคคลดังกล่าวกลมกลืนไปกับความมืดมิดได้แนบเนียนจนน่าทึ่ง คงมองมิอาจมองเห็นหากไม่มีแสงจันทร์ส่องกระทบ

 

ทันใดนั้น บุคคลปริศนาทำการหมุนตัวกลับมาอย่างเชื่องช้า นัยต์ตาสีเทาของมันทั้งลุ่มลึกและเย็นยะเยียบ

 

ดันน์·สมิท!

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด