ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 9 : สมุดบันทึก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 11 : รสมือที่แท้จริง

ราชันย์เร้นลับ 10 : ตามปรกติแล้ว


ราชันย์เร้นลับ 10 : ตามปรกติแล้ว

 

“นั่นใคร?”

 

ในขณะไคลน์กำลังไตร่ตรองหาสาเหตุการตายของไคลน์คนก่อน รวมถึงภัยอันตรายที่อาจเผชิญหากตนเดินทางไปบ้านเวิร์ช เสียงเคาะประตูอันหนักแน่นพลันดังขึ้น

 

จิตใต้สำนึกสั่งให้หยิบปืนลูกโม่ออกมาจากลิ้นชักไม้เพื่อต้องกันตัว จากนั้นจึงหันไปตะโกนถาม

 

อีกฝั่งของประตูเงียบงันนานสองถึงสามวินาที ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงดุดันในสำเนียงอาโฮว่า

 

“ฉันเอง เมาท์บัตเท่น… บิช·เมาท์บัตเท่น”

 

เสียงปลายทางชะงักไปครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ

 

“ตำรวจ”

 

บิช·เมาท์บัตเท่น… หลังจากได้ยินชื่อเต็ม ไคลน์นึกออกทันทีว่าหมอนี่เป็นใคร

 

ตำรวจที่คอยดูแลทุกคดีบนถนนเส้นที่หอพักแห่งนี้ตั้งอยู่ นิสัยเข้าขั้นแย่ ทั้งป่าเถื่อน หยาบคาย และโผงผาง ทว่า ต้องเป็นตำรวจกระด้างเช่นนี้จึงจะรับมือกับเหล่าอาชญากรสุดต่ำทรามไหว พวกมันส่วนใหญ่มีพื้นเพมาจากพวกขี้เหล้า หัวขโมย นักเลง หรือกระทั่งวายร้าย

 

นำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์คือเครื่องหมายการค้าของเมาท์บัตเท่น

 

“กำลังจะไปเดี๋ยวนี้!”

 

ไคลน์ขานตอบ

 

ในตอนแรก มันคิดจะซ่อนปืนไว้ในลิ้นชักตามเดิม แต่หลังจากไตร่ตรองจนถ้วนถี่ ไคลน์ยังไม่ทราบเจตนาของตำรวจ อาจมีการค้นบ้านเกิดขึ้น จึงขอไม่เสี่ยง ปืนถูกโยนเข้าไปในเตาถ่านที่ฟืนดับมอดนานแล้ว

 

จากนั้น ไคลน์หยิบถุงถ่านเทลงไปในช่องใส่ฟืนเพื่อปกปิดการมีตัวตน ก่อนจะวางกาน้ำไว้บนเตาอีกชั้นให้มิดชิด

 

หลังจากจัดการเสร็จสรรพ เสื้อผ้าถูกจัดระเบียบขณะเดินตรงไปยังประตู จากนั้นก็ส่งเสียงพึมพำก่อนจะหมุนลูกบิด

 

“ขอโทษครับ พอดีงีบอยู่”

 

เมื่อเปิดออกไป ด้านนอกมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนเรียงรายสี่คน ทุกคนสวมเครื่องแบบลายตารางหมากฮอสสีขาวสลับดำ เหนือศีรษะสวมหมวกตำรวจ

 

เมาท์บัตเท่นเคราน้ำตาลกระแอมหนึ่งทีพร้อมกับกล่าว

 

“นายตำรวจสามคนนี้มีบางสิ่งต้องการถามนาย”

 

นายตำรวจ? หางตาไคลน์ชำเลืองมองหัวไหล่ทั้งสาม สองคนติดดาวเงินหกแฉก 3 ดวง ส่วนอีกหนึ่งติดดาวเงิน 2 ดวง ทุกคนยศใหญ่กว่าบิชที่ติดบั้งรูปตัว ‘V’ สีเงิน 3 ขีด

 

ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ ไคลน์ไม่ค่อยมีความรู้ด้านยศตำรวจมากนัก ทราบแต่เพียง บิชมักอวดโอ่บ่อยครั้งว่ามันมียศสิบตำรวจเอก

 

เช่นนั้นแล้ว นายตำรวจสามคนนี้ล่ะ?

 

ในความทรงจำของไคลน์คนเก่อน หากวิเคราะห์จากบทสนทนาที่เคยมีกับคนใกล้ตัว ทั้งเบ็นสัน เวิร์ช รวมถึงเพื่อนสนิท ตามหลักมารยาทแล้ว ตนควรเชิญตำรวจให้เข้าไปนั่งคุยด้านใน

 

“สวัสดีครับ เชิญด้านในก่อน ให้ผมช่วยอะไรได้บ้าง?”

 

หัวหน้าของกลุ่มตำรวจทั้งสาม—ตำรวจวัยกลางคนที่มีดวงตาเรียวคม นัยน์ตาลุ่มลึกราวกับจะมองทะลวงไปถึงความคิดอีกฝ่าย

ใต้ตามีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อย ไรผมสีน้ำตาลเข้มเผยให้เห็นบริเวณขอบหมวก มันกวาดมองรอบห้องก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“คุณรู้จักเวิร์ช·แม็กโกเวินรึเปล่า?”

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

 

ไคลน์สั่นระริกเล็กน้อย

ร่ายกายเผลอผงะถอยหลัง

 

“ผมเป็นฝ่ายถาม”

 

นายตำรวจวัยกลางคนกล่าวเสียงเข้ม ส่วนนายตำรวจสามดาวอีกคนที่ยืนข้างกัน มันอมยิ้มเล็กน้อยขณะจ้องมองไคลน์

 

“ไม่ต้องประหม่า พวกเราแค่ถามตามธรรมเนียมสืบสวน”

 

นายตำรวจคนนี้อยู่ในวัยสามสิบกว่า จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีเทาหม่นประหนึ่งน้ำในทะเลสาปเก่าแก่โบราณ มอบความลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด

 

ไคลน์สูดลมหายใจขณะจัดเรียงชุดคำพูด

 

“ถ้าคุณหมายถึงเวิร์ช·แม็กโกเวินแห่งคอนสแตน นักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยโฮอี้ แน่นอน พวกเรารู้จักกัน ในฐานะเพื่อนร่วมห้องที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกัน—ผู้ช่วยศาสตราจารย์อาวุโสเควนติน·โคเฮน”

 

ในอาณาจักรโลเอ็น ‘ศาสตราจารย์’ ไม่เพียงเป็นคำนำหน้าทางวิชาการ แต่ยังรวมถึงตำแหน่งหน้าที่การงานด้วย คล้ายคลึงกับคณะบดีของโลกเก่า

 

หรืออีกนัยหนึ่งคือ ศาสตราจารย์ของแต่ละคณะในมหาวิทยาลัยจะมีเพียงคนเดียว หากรองศาสตราจารย์ต้องการขึ้นเป็นแทน ต้องรอให้ศาสตราจารย์ลาออกหรือถูกปลดเท่านั้น

 

มาถึงจุดนี้ ไคลน์จ้องมองเข้าไปในแววตาของนายตำรวจวัยกลางคนครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายต่อ

 

“ด้วยความสัตย์จริง ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างดี ในช่วงหลัง เวิร์ชชวนผมกับเพื่อนอีกคนที่ชื่อนาย่า ไปที่บ้านของเขาเพื่อหารือเกี่ยวกับสมุดบันทึกจากยุคสมัยที่สี่ซึ่งเป็นของเวิร์ช คุณตำรวจครับ มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ?”

 

นายตำรวจวัยกลางคนไม่ตอบเอง มันหันไปมองพวกพ้องที่มีนัยน์ตาสีเทา—ใบหน้าค่อนข้างธรรมดา ไม่หล่อเหล่า ไม่ขี้เหร่

 

มันตอบไคลน์อย่างนุ่มนวล

 

“ขอแสดงความเสียใจด้วย มิสเตอร์เวิร์ชเสียชีวิตแล้ว”

 

“อะไรนะ!?”

แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ไคลน์ก็ยังตะโกนออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

 

เวิร์ชตายแล้วงั้นหรือ?

เหมือนกับไคลน์เจ้าของร่าง… บ้าน่า!

 

“แล้วนาย่า?”

 

ไคลน์รีบถามอย่างกระวนกระวาย

 

“มิสนาย่าก็เช่นกัน”

 

ตำรวจนัยน์ตาเทาหันมาตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสุขุม

 

“ทั้งคู่เสียชีวิตในบ้านมิสเตอร์เวิร์ช”

 

“ฆาตกรรม?”

 

ไคลน์ถามเดาสุ่ม

บางทีคงเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่า…

 

ตำรวจนัยน์ตาเทาส่ายศีรษะ

 

“ไม่ใช่ สภาพแวดล้อมบ่งบอกว่าเป็นการฆ่าตัวตาย มิสเตอร์เวิร์ชใช้ศีรษะโขกกำแพงหลายครั้งจนเสียชีวิต กำแพงชุ่มชะโลมด้วยเลือดสีแดงฉาน ส่วนมิสนาย่าขาดอากาศหายใจตายในอ่างล้างหน้า”

 

“เป็นไปไม่ได้…”

 

ขนทุกเส้นบนตัวไคลน์พลังตั้งชันขณะจินตนาการที่เกิดเหตุสุดสยอดสยอง

 

สาวสวยคุกเข่าลงบนเก้าอี้และใช้ใบหน้าจุ่มลงไปในอ่างที่มีน้ำเต็ม เส้นผมยาวประหลังกำลังปลิวไสวไปตามแรงลม แต่ร่างกายสงบนิ่งและเย็นชืด

 

เวิร์ชนอนแผ่หราบนพื้นด้วยดวงตาที่เหลือกถลนจ้องเพดานห้องเขม็ง ศีรษะโชกเลือดและมีแผลเหวะหวะบริเวณหน้าผาก บนกำแพงในจุดที่ถูกโขกเกิดรอยร้าว เลือดที่เคยสาดกระเซ็นเริ่มแห้งกรังติดผนัง…

 

ตำรวจนัยน์ตาเทากล่าวต่อ

 

“พวกเราก็คิดแบบเดียวกัน แต่ผลการชันสูตรศพออกมาแล้วว่า ไม่มีร่องรอยการใช้สารเสพติดหรือถูกกำลังบังคับจากภายนอก… แถมมิสเตอร์เวิร์ชและมิสนาย่าก็ไม่แสดงอาการดิ้นรนขัดขืนก่อนตาย”

 

ไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์พูด นายตำรวจนัยน์ตาเทาเดินเข้าไปในห้อง กวาดสายตาหนึ่งรอบพร้อมกับหันมาถาม

 

“คุณเห็นมิสเตอร์เวิร์ชและมิสนาย่าครั้งสุดท้ายเมื่อไร?”

 

ขณะกล่าว มันใช้สายตาส่งสัญญาบอกใบ้บางสิ่งกับพวกพ้องตำรวจสองดาวเงิน

 

ตำรวจหนุ่มคนนี้มีอายุไล่เลี่ยกับไคลน์

จอนข้างใบหูสีดำเข้ม นัยน์ตาสีเขียวมรกต ใบหน้าหล่อเหลา บรรยากาศรอบตัวคล้ายคลึงนักกวีโรแมนติก

 

หลังจากได้ยินคำถาม ไคลน์ครุ่นเล็กเล็กน้อยก่อนจะพึมพำตอบทั้งที่ยังขมวดคิ้ว

 

“น่าจะเป็นวันที่ 26 มิถุนายน… พวกเราไปที่บ้านเวิร์ชเพื่อถอดรหัสเนื้อความบทใหม่ ผมกลับบ้านหลังจากนั้นเพื่อเตรียมสอบสัมภาษณ์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน… สัมภาษณ์เข้าทำงานในมหาวิทยาลัยทิงเก็น”

 

ทิงเก็นมีฉายาว่าเมืองแห่งการศึกษา เป็นที่ตั้งของสถานศึกษามากมาย ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยทิงเก็น มหาวิทยาลัยโฮอี้ โรงเรียนเทคนิค โรงเรียนกฏหมาย และโรงเรียนธรุกิจ จำนวนสถานศึกษาเป็นรองเพียงเมืองหลวงเบ็คลันด์เท่านั้น

 

เมื่อกล่าวจบ ไคลน์เหลือบเห็นตำรวจหนุ่มเดินเข้าไปที่โต๊ะอ่านหนังสือพร้อมกับหยิบสมุดไดอารีขึ้นมาอ่าน

 

บ้าจริง! เราลืมซ่อน!

 

“เฮ้!”

ไคลน์ตะโกน

 

ตำรวจหนุ่มทำเพียงอมยิ้ม มือของมันไม่หยุดพลิกหน้ากระดาษ ปากเปล่งเสียงกล่าวขณะยังคงก้มหน้าอ่าน

 

“นี่เป็นการตรวจค้นตามขั้นตอน”

 

บิช·เมาท์บัตเท่นและนายตำรวจวัยกลางคนทำเพียงยืนมองโดยไม่เข้าไปช่วยหรือห้ามปรามตำรวจหนุ่ม

 

ไหนหมายค้นฟะ?

 

ขณะคิดจะเอ่ยปากถาม ไคลน์พลันฉุกคิดได้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลกเก่า ตามกฏหมายแล้ว ตำรวจโลเอ็นสามารถค้นบ้านผู้ต้องสงสัยได้ทันทีโดยไม่ต้องมีหมาย ระบุให้ชัดคือ กฏหมายยังเป็นแบบเก่าที่เขียนไม่ครอบคลุมพลเรือนขนาดนั้น เหนือสิ่งอื่นใด กรมตำรวจเพิ่งถูกตั้งขึ้นได้เพียง 15 หรือ 16 ปี

 

ขณะไคลน์คนเก่ายังเด็ก กรมตำรวจในอดีตยังมีชื่อว่า—เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสาธารณะ

 

ไคลน์ไม่สามารถห้ามได้ มันทำได้เพียงยืนมองตำรวจหนุ่มพลิกสมุดหน้าแล้วหน้าเล่า

 

ขณะเดียวกัน ตำรวจที่เหลือมิได้ไต่ถามสิ่งใดเพิ่มเติม

 

“เรื่องประหลาดที่เขียนในนี้หมายถึงอะไร?”

 

หลังจากตำรวจหนุ่มเปิดสมุดไล่ไปถึงหน้าสุดท้ายที่ถูกจดบันทึก มันหันมาถาม

 

“แล้วประโยคนี้คือ?

 

“ทุกคนต้องตาย รวมถึงฉัน…”

 

แปลกตรงไหน? ถ้าไม่ได้อมตะ ทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?

 

ไคลน์เตรียมคำแถ แต่พลันชะงักหลังจากนึกขึ้นได้ว่า ตัวมันเคยคิดจะไปแจ้งกับตำรวจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เผื่ออาจมีอันตรายยังคอยตามรังควาน

 

ลงเอยด้วย ไคลน์มิได้แถออกไปอย่างหน้าด้าน

 

หลังจากฉุกคิดด้วยเวลาหนึ่งวินาที ไคลน์เลื่อนมือขึ้นไปจับหน้าผากพร้อมกับโอดโอยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

 

“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่รู้จริงๆ… เมื่อเช้านี้ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวรุนแรง รู้สึกเหมือนกับความทรงจำบางส่วนหายไป โดยเฉพาะความทรงจำสองสามวันก่อน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเขียนประโยคแบบนั้นลงไป”

 

ในบางครั้ง การพูดความจริงก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่แน่นอนว่าต้องมาพร้อมวาทะศิลป์ เรื่องไหนที่เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงไม่พูด กุญแจสำคัญคือต้องจัดลำดับเรื่องราวให้ถูกต้อง

นี่คือความเชี่ยวชาญในฐานะนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์เป็นยอดนัก ‘ตอบเลี่ยง’

 

“เหลวไหล! แกคิดว่าพวกเราโง่รึไง!”

 

บิช·เมาต์บัตเท่นโพล่งขึ้นอย่างเดือดดาล

 

“เป็นการโกหกอย่างหน้าด้านและดูถูกสติปัญญาตำรวจมาก!

 

“แสร้งทำเป็นคนโรคจิตยังดีกว่าแสร้งทำเป็นความจำเสื่อม!”

 

“ผมพูดความจริง”

 

ไคลน์ตอบด้วยสีหน้าแน่วแน่ สายตาจ้องมองไปยังเมาท์บัตเท่นและตำรวจวัยกลางคน

 

สิ่งที่ไคลน์เล่า เป็นเรื่องจริงซะยิ่งกว่าจริง

 

“แบบนี้เองหรือ”

ตำรวจนัยน์ตาเทากล่าวเสียงค่อย

 

อะไรนะ? หมอนี่เชื่อคำพูดเรา?

ไคลน์อึ้งเล็กน้อย

 

ตำรวจคนเดิมอมยิ้มและกล่าวต่อ

 

“ผู้เชี่ยวชาญจะมาถึงทิงเก็นในอีกสองวัน สบายใจได้เลย ความทรงจำคุณจะกลับเป็นปรกติได้แน่”

 

ผู้เชี่ยวชาญ?

ช่วยให้ความทรงจำกลับเป็นปรกติ?

นักจิตวิทยางั้นหรือ?

 

ไคลน์ขมวดคิ้ว

 

เดี๋ยวนะ… แล้วถ้าความทรงจำโลกเก่าถูกเปิดเผยด้วยล่ะ?

 

มันเริ่มตึงเครียด

 

ตำรวจหนุ่มวางสมุดลงและเริ่มสำรวจรอบห้อง โชคดีที่ความสนใจพุ่งไปยังตู้เก็บไอดารีมากกว่ากาต้มน้ำบาเตา

 

“เสร็จแล้วครับ มิสเตอร์ไคลน์ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอเตือนว่าคุณไม่มีสิทธิ์เดินทางออกจากทิงเก็นโดยพละการ หรือหากมีเหตุจำเป็น กรุณาแจ้งกับเจ้าหน้าที่เมาท์บัตเท่นก่อน ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นผู้ร้ายหนีคดี”

 

แค่นี้เองหรือ? จบแล้ว? ไม่มีคำถามเพิ่มสำหรับสอบสวนเชิงลึกเลยรึไง?

 

ไม่นำตัวเราเข้าเครื่องจับเท็จหรือทรมานที่สถานีตำรวจด้วย?

ไคลน์ขมวดคิ้ว มันเองก็ต้องการทราบเบื้องหลังการตายปริศนาของเวิร์ชและนาย่าเช่นกัน

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

เจ้าหน้าที่เริ่มทยอยเดินออกจากห้อง คนสุดท้ายคือนายตำรวจหนุ่มนัยต์มรกต ก่อนจากไป มันใช้มือตบบ่าไคลน์อย่างนุ่มนวล

 

“ดีจังที่คุณปลอดภัย… โชคดีมากเลยนะ”

 

“หมายความว่ายังไง?”

 

ไคลน์ขมวดคิ้ว

 

ตำรวจนัยน์ตามรกตที่มีบรรยากาศนักกวีโรแมนติกอมยิ้มก่อนมอบคำตอบ

 

“ผมกำลังจะบอกว่า ตามปรกติแล้ว ผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ประหลาดมักตายพร้อมกันในที่เกิดเหตุ จึงถือเป็นโชคดีมากที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ผมยินดีด้วย”

 

หลังจากนั้น มันปิดประตูห้องและเดินกลับด้วยมาดภูมิฐาน

 

ตามปรกติแล้ว ทุกคนต้องตายพร้อมกันในที่เกิดเหตุ? ดีใจที่เรายังรอด?

 

การรอดของเราคือเรื่องที่โชคดีมาก?

 

แม้จะเป็นยามเที่ยง แต่ไคลน์กำลังยืนสั่นระริกด้วยร่ายกายที่เย็นยะเยียบภายในห้องของตัวเอง

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด