ตอนที่แล้วบทที่ 38 สัญญา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 40 ความสามารถเป็นสิ่งดี แต่ก็อย่าทำความลับแตกเสียละ

บทที่ 39 ทิ้งเครื่องหมายเล็กๆ ไว้บนตัว


บทที่ 39 ทิ้งเครื่องหมายเล็กๆ ไว้บนตัว

 

ขณะที่มองพวกหลิงม่อเดินจากไปอยู่บนตึก จู่ๆ มุมปากของหวังหลิ่นก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา “ดูสิว่าคราวนี้นายจะไปที่ไหน...”

 

แต่ซ่งเทียนที่อยู่ข้างหลังเธอรู้สึกปวดหัวพลางทุบศีรษะเบาๆ “เธอทำอะไรบางอย่างกับร่างกายเขาล่ะสิใช่ไหม”

 

“อย่ามายุ่ง!” หวังหลิ่นถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ไว้หน้า จากนั้นก็กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “นายไม่ช่วยฉัน ฉันก็มีวิธีของฉันเอง”

 

หลิงม่อที่เวลานี้กำลังเดินออกจากย่านอิ๋นซิ่งหาได้รู้ไม่ว่า หวังหลิ่นได้แอบทิ้งเครื่องหมายเล็กๆ ไว้บนตัวเขา...

 

เมื่อเดินทิ้งห่างจากแคมป์ผู้รอดชีวิตนี้มาไกลพอสมควร ในที่สุดหลิงม่อก็ถอนหายใจโล่งอก เขายกมือขึ้นปาดเช็ดหน้าผาก แล้วก็เห็นว่าฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ

 

ส่วนซย่าน่าที่อยู่ข้างๆ สองตาของเธอเปล่งประกายสีแดงรำไรๆ...การจะควบคุมยับยั้งซย่าน่าให้อยู่หมัด มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกินจริงๆ

 

“ซย่าน่า ตอนนี้เธออยู่ในสภาวะไหนกันแน่นะ...” หลิงม่อมองลึกเข้าไปในตาของซย่าน่า

 

พอเจอหน้าหวังหลิ่น อารมณ์ของซย่าน่าก็เกิดการแปรปรวนขึ้นมาทันที หากไม่ใช่เพราะหลิงม่อใช้กำลังเข้าควบคุมเธอไว้ล่ะก็ ตอนนั้นก็คงจะเผยพิรุธออกมาให้เห็นเสียแล้ว

 

ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว การตัดสินใจของเขาเกิดขึ้นฉุกละหุกเหลือเกิน แต่เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว ก็เป็นที่น่าพอใจทีเดียว

 

หลังจากที่จัดแจงหาที่ทางให้กับหลิวอวี่หาว อีกทั้งสลัดตัวภาระอย่างหวังเฉิงไปได้แล้ว ตอนนี้ข้างกายของหลิงม่อก็เหลือแค่ซอมบี้สาวสองตัว...เย่เลี่ยนกับซย่าน่า ตัวหนึ่งเป็นซอมบี้กลายพันธุ์ที่กำลังวิวัฒนาการและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกตัวยังคงหลงเหลือสติอยู่เล็กน้อย อยู่ในสภาพที่คาบเกี่ยวระหว่างซอมบี้และคนปกติ

 

เรื่องนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเลยจริงๆ...

 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย จิตใจของหลิงม่อก็ผ่อนคลายขึ้น พอมีคนอื่นอยู่ด้วย เขาก็ไม่อาจสำแดงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่...

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การออกล่าซอมบี้กลายพันธุ์ แต่จะต้องหาที่พักที่เหมาะสมก่อน สถานที่อย่างย่านซานจงนั้นไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ทันทีที่เย่เลี่ยนกลืนกินก้อนไวรัสเข้าไปและเริ่มเกิดวิวัฒนาการ ตัวเขาเองก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไปด้วยเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นหากเกิดเจอเรื่องแบบเช้าวันนี้อีก เขาก็คงได้แต่นั่งรอความตายอย่างเดียว เพราะฉะนั้นที่พักนี้จะต้องปกปิดมิดชิด

 

เมื่อลูบคลำก้อนไวรัสที่อยู่ในอกเสื้อ หลิงม่อก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพาเย่เลี่ยนกับซย่าน่าวิ่งเหยาะมาตลอดทาง จากนั้นไม่นานพวกเขาก็เลี้ยวมาที่ถนนที่รกร้างว่างเปล่าเส้นหนึ่ง

 

หลิงม่อไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมบริเวณนี้ แต่เขารู้ว่าหากเดินตามถนนเส้นนี้ไป จะต้องหาที่พักที่เหมาะสมได้อย่างแน่นอน

 

อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นย่านเจริญรุ่งเรือง ริมถนนทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้า ส่วนชั้นบนก็เป็นที่พักอาศัย แบบนี้จะต้องเจอซอมบี้อยู่บ่อยๆ แน่นอน แต่เมื่อมีเย่เลี่ยนคอยเปิดทางให้อยู่ข้างหน้า พวกซอมบี้จึงยังไม่ทันที่จะได้โต้ตอบก็ถูกสังหารเสียแล้ว

 

อย่างไรก็ตามหลิงม่อก็ไม่ได้ใจกล้าถึงขนาดเดินวางมาดอยู่บนถนน เขากลับหลบอยู่ในเงามืดและค่อยๆ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

 

ไม่ใช่ว่าแถวนี้จะไม่มีที่พักที่เหมาะสม เพียงแต่มันอยู่ใกล้กับย่านอิ๋นซิ่งมากเกินไป จึงยังไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร สำหรับคนอื่นแล้วแน่นอนว่าแคมป์ผู้รอดชีวิตเป็นสถานที่หลบภัยที่ยอดเยี่ยมสุดๆ แต่สำหรับหลิงม่อนั้น การอยู่ด้วยกันกับคนจำนวนมากขณะที่ต้องควบคุมซอมบี้สองตัวพร้อมกัน มันอันตรายยิ่งกว่าการต่อสู้กับพวกซอมบี้เสียอีก

 

หลังจากที่เดินผ่านถนนเส้นนี้ ลานกว้างก็ปรากฏสู่สายตาของหลิงม่อ ลานกว้างที่เพิ่งสร้างใหม่แห่งนี้หลิงม่อเคยมาสามสี่ครั้ง รอบด้านเต็มไปด้วยร้านรวง แล้วก็ยังมีโรงแรมขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง

 

หลิงม่อสำรวจดูอยู่ห่างๆ สักพักหนึ่ง แล้วก็จับจ้องไปที่อาคารสองชั้นขนาดเล็กหลังหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ ชั้นล่างของอาคารเป็นร้านค้า ส่วนชั้นสองเป็นโรงน้ำชา สิ่งที่หลิงม่อชอบใจคือบันไดที่ขึ้นไปยังโรงน้ำชาเล็กแคบมาก แถมยังมีประตูเหล็กปิดอีกชั้น นอกจากนี้ยังมีระยะห่างระหว่างอาคารด้านข้าง ส่วนด้านหลังก็เป็นแม่น้ำที่ตื้นเขิน ถึงแม้จะถูกห้อมล้อม แต่ก็มีโอกาสที่จะหลบหนีได้

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสถานที่ตั้งค่อนข้างห่างไกลผู้คน ดูแล้วไม่ค่อยเป็นที่สะดุดตาเท่าไร...

 

หลังจากค่อยๆ เดินคลำทางจนมาถึงชั้นล่าง หลิงม่อก็ให้เย่เลี่ยนเดินเข้าไปในร้านค้าที่บริเวณชั้นหนึ่งก่อน แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ในร้านค้านี้ยังมีซอมบี้อยู่อีกสองตัว แต่ซอมบี้ธรรมดาพวกนี้ไม่โจมตีเข้าใส่เย่เลี่ยน หลังจากที่หลิงม่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเองก็ไม่จัดการเก็บพวกมันเช่นกัน การเก็บซอมบี้กลายพันธุ์สองตัวเอาไว้ ถึงแม้จะมีผู้รอดชีวิตเดินผ่านมาแถวนี้อีก แต่พวกเขาก็คงคิดไม่ถึงละมั้งว่าจะมีคนอาศัยอยู่ชั้นบน

 

แน่นอนว่าซย่าน่าก็ไม่ดึงดูดความสนใจของซอมบี้สองตัวนี้เหมือนกัน แต่หลิงม่อกลับกลั้นหายใจ หลังจากที่ควบคุมให้เย่เลี่ยนจงใจทำเสียงดังเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกมันแล้ว เขาก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่ซย่าน่าค้นดูในโรงน้ำชาไปหนึ่งรอบ ก็พบซอมบี้รวมทั้งหมดสามตัว โดยสองตัวถูกเธอสังหารไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกหนึ่งตัวที่เหลือนั้นพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งหลังจากที่เห็นหลิงม่อ ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้มีสิ่งกีดขวางมากมาย การเคลื่อนที่ของซอมบี้จึงถูกกีดขวางอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วขณะที่ตั่งวางถ้วยชาตัวหนึ่งกำลังขวางทางมันอยู่ ซย่าน่าก็รีบพุ่งมาจากด้านหลัง แล้วใช้มีดยาวแทงมันทันที

 

เมื่อเทียบกับฝีมือการใช้มีดอันโหดเหี้ยมตอนที่ซย่าน่ายังมีสติรู้ตัวอยู่ วิธีการโจมตีเช่นนี้ยังห่างชั้นอยู่อีกมาก แต่ครั้งนี้ชนะตรงที่รวดเร็วว่องไวและดุร้ายรุนแรงกว่า พอมีดเล่มนี้แทงเข้าไปก็ทะลุหัวใจซอมบี้ตัวนี้ทันที

 

ทักษะเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่เมื่อกำลังความสามารถมาถึงระดับหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าวิธีการโจมตีที่ตรงไปตรงมานี้ต่างหากที่ชวนตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่า

 

นอกจากนี้ หลิงม่อยังรู้สึกเลาๆ ว่าคำว่าการกลายร่างก็คือการทำให้มนุษย์ถูกขับเคลื่อนโดยสัญชาตญาณโดยสิ้นเชิง ส่วนศักยภาพของร่างกายก็ได้รับการกระตุ้นด้วยเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันข้อบกพร่องก็ปรากฏเด่นชัดมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็คือพวกมันไม่เข้าใจว่าอะไรเรียกว่ากลยุทธ์ แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรคือการบุกการถอยอย่างมีหลักการ

 

อย่างเช่นตอนที่ซย่าน่ามีสติชัดเจนดี หลิงม่ออาจจะสังหารซอมบี้ได้เก่งกว่าเธอ แต่หากพวกเขาสองคนสู้กัน หลิงม่ออาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซย่าน่าก็ได้ ถึงแม้เขาจะพัฒนาขึ้นทุกด้าน แต่เทคนิคการต่อสู้ของเขาล้วนได้มาจากการต่อสู้ในสนามจริง ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับฝีมือการใช้มีดของซย่าน่า

 

หลังจากที่ซย่าน่ากลายร่างแล้ว ถึงแม้จะดูแข็งแกร่งกว่าเดิม แต่หลิงม่อกลับรู้สึกว่าแม้ว่าเขาจะสู้ซย่าน่าที่อยู่ในสภาพนี้ไม่ไหว ทว่าเรื่องหลบหลีกการโจมตีนั้นง่ายมาก

 

ส่วนเรื่องวิวัฒนาการ...การวิวัฒนาการนี่แหละที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ซอมบี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง! หลังจากที่ผ่านการวิวัฒนาการ เย่เลี่ยนก็ดูมีสติรู้ตัวขึ้นมาเล็กน้อย! บางทีการกลายร่างอาจแค่ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ประหลาด แต่การวิวัฒนาการนั้นทำให้ซอมบี้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีสติสัมปชัญญะ!

 

ถ้าสัตว์ประหลาดที่กระหายเลือดเกิดมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา มันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารสุดสยองแบบไหนกันนะ

 

แต่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจหลิงม่อแค่แวบเดียวแล้วก็หายไป เพราะความสนใจของเขาเบนไปที่เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า

 

หลิงม่อรื้อค้นเคาน์เตอร์ในโรงน้ำชาอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เจอแม่กุญแจตัวใหญ่ตัวหนึ่ง คงจะเอาไว้ใช้ล็อกประตูเหล็กบานที่อยู่ข้างล่าง

 

หลังจากควบคุมเย่เลี่ยนให้ลงไปล็อกประตู หลิงม่อก็ให้ซย่าน่าช่วยเขาจับซากซอมบี้เหล่านี้โยนออกไปนอกหน้าต่าง ลงไปในแม่น้ำที่อยู่ด้านหลังอาคารทีละตัวๆ ส่วนรอยคราบเลือดบนพื้น...คงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น

 

แม้ว่าในโรงน้ำชาจะไม่มีเตียง แต่ก็มีโซฟาแบบสองที่นั่ง ซึ่งพอใช้ถูไถไปก่อนได้

 

หลังจากล็อกประตูห้องและเอาเฟอร์นิเจอร์หนักไปขวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดหลิงม่อก็เผยรอยยิ้มออกมาและหยิบก้อนไวรัสออกมาจากอกเสื้อ

 

แต่พอหยิบก้อนเหนียวหนืดนี้ออกมา สีหน้าของหลิงม่อก็ดูแปลกประหลาดขึ้นมาทันที “นี่มันอะไรกันเนี่ย”

 

..................................................................................................................................................................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด