ตอนที่แล้วบทที่ 36 คืนมีดสั้นมาให้ฉัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 38 สัญญา

บทที่ 37 มีดแลกกับคน


บทที่ 37 มีดแลกกับคน

 

ซ่งเทียนดูหน้าตาธรรมดา แต่รูปร่างสูงใหญ่มาก ส่วนลักษณะท่าทางก็มีมาดความเป็นทหารเล็กน้อย ถึงแม้หวังหลิ่นจะเย่อหยิ่งและเผด็จการ แต่ดูเหมือนว่าเธอยังฟังคำพูดของซ่งเทียนอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงแค่ทำเสียงฮึดฮัดหนึ่งที แล้วเบือนหน้าหนี ไม่พูดอะไรอีก

 

ทว่าสายตาของเธอยังคงเหลือบมองไปทางหลิงม่ออยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ถลึงตาใส่ซย่าน่าด้วยความหงุดหงิด แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าหลิงม่อหรือซย่าน่าต่างก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่ออากัปกิริยาของเธอเลย

 

หลังจากสอบถามเรื่องราวกับหลี่อวี้แล้ว ซ่งเทียนก็ให้เขาออกไป จากนั้นก็เชิญพวกหลิงม่อเข้าไปใน “ห้องทำงาน” ของเขา

 

อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกพี่ของแคมป์ ห้องพักนี้จึงไม่เหมือนกับห้องว่างโล่งพวกนั้นบนชั้นสอง ไม่เพียงแต่จะได้รับการตบแต่งซ่อมแซม แต่ยังมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน ดูท่าทางว่ามีคนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนที่วันสิ้นโลกจะมาเยือน ส่วนห้องทำงานของซ่งเทียนเป็นหนึ่งในห้องนอนที่ได้รับการดัดแปลง เฟอร์นิเจอร์ที่ไม่จำเป็นล้วนถูกขนย้ายออกไปหมด เหลือเพียงแค่เตียงกับโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ยังมีโซฟาแบบสี่ที่นั่งวางอยู่อีกตัว

 

ไม่รู้เพราะอะไร หวังหลิ่นจึงเดินตามเข้ามาด้วย แล้วนั่งลงที่ข้างเตียงด้วยสีหน้าไม่พอใจ

 

“นั่งเถอะ สบายใจได้ ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ซ่งเทียนยืนพิงโต๊ะเขียนหนังสือและบอกให้ทุกคนนั่งลงที่โซฟา แต่การที่เขาพูดเสริมมาอีกประโยคโดยที่ไม่จำเป็น กลับทำให้หลิวอวี่หาวและหวังเฉิงที่เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งต่างก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้หมายความว่าเคยมีคนตายบนโซฟานี้มาก่อน...

 

แต่หลังจากที่ได้ผ่านความยากลำบากต่างๆ นานามาหลายวันในช่วงวันสิ้นโลกนี้ แม้แต่หวังเฉิงก็ได้บ่มเพาะภูมิต้านทานขึ้นมาระดับหนึ่งในช่วงสองวันมานี้ นั่งอยู่ท่ามกลางกองซากศพก็ทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่โซฟาที่เคยมีคนตายมาก่อน

 

“เมื่อกี้หลี่อวี้เล่าให้ฟังแล้ว คนในกลุ่มเราทำให้พวกนายต้องเดือดร้อน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

 

เมื่อได้ยินซ่งเทียนเอ่ยปากขอโทษ หวังหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ก็ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจทันที

 

ตอนแรกหลิงม่ออยากจะบอกว่าไม่เป็นไร ทว่าพอเห็นปฏิกิริยาของหวังหลิ่น เขากลับหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “เดิมทีพวกเราอยู่ที่นั่นกันดีๆ แต่พอคนของพวกนายมา เราก็ถูกบีบให้ต้องทิ้งที่พัก เรื่องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่น่าเสียดายที่ข้าวของที่พวกเราอุตส่าห์หามาอย่างยากลำบากล้วนถูกทิ้งอยู่ที่นั่นทั้งหมด”

 

เมื่อได้ยินที่หลิงม่อพูด สีหน้าของหลิวอวี่หาวและหวังเฉิงก็ดูแปลกพิกล พวกเขาต้องรีบร้อนออกจากที่นั่นก็จริง แต่นอกจากเชือกปีนเขาหนึ่งเส้นแล้ว หลิงม่อก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายแล้วนี่นา การที่เขาพูดเรื่องพวกนี้ในเวลานี้ หรือว่าเขาต้องการที่จะให้อีกฝ่ายชดใช้มา อย่าลืมนะว่าที่นี่เป็นแคมป์ของพวกเขา อีกอย่างในช่วงวันสิ้นโลกแบบนี้ ข้าวของเครื่องใช้สำคัญยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก ถึงแม้ว่าลักษณะท่าทางของซ่งเทียนจะดูอ่อนโยนมาก แต่จะให้เขาเอาข้าวของมามอบให้เป็นการชดใช้ มันออกจะเพ้อฝันไปหน่อย

 

แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถคิดได้ หลิงม่อจะคิดไม่ได้เลยอย่างนั้นน่ะเหรอ ในเมื่อเขากล้าเอ่ยปากแบบนี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีสิ่งที่ช่วยหนุนหลัง

 

ประการแรกคือมีซย่าน่าอยู่ด้วย หากซ่งเทียนคิดจะทำอะไรที่เกินขอบเขต หวังหลิ่นจะต้องไม่ทำแน่นอน ดังนั้นคงไม่ถึงกับทะเลาะกันใหญ่โต ประการที่สองคือความสามารถในการต่อสู้หนุนหลัง ตัวหลิงม่อนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่ซย่าน่าและเย่เลี่ยนซอมบี้สาวสองตัวนี้ก็มากพอที่จะก่อกวนจนทำให้แคมป์นี้โกลาหลวุ่นวายแล้ว แม้ว่าในบรรดาคนพวกนี้จะมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ฝีมือความสามารถไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับซอมบี้กลายพันธุ์แล้ว กำลังความสามารถยังคงห่างชั้นกันเยอะ

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลิงม่อไม่ได้คิดที่จะปล้น

 

หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็เหลือบมองไปทางหวังหลิ่นด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งซ่งเทียนสังเกตเห็นสายตานี้ของเขาได้ทันที

 

ความหมายของหลิงม่อชัดเจนมาก พวกนายไม่เพียงจะทำให้ฉันเดือดร้อนและต้องสูญเสียข้าวของ หนำซ้ำยังจะมาทวงของคืนจากฉันด้วย!

 

ซ่งเทียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที วันนั้นที่หลิงม่อสังหารซอมบี้กลายพันธุ์ ตัวเขาเองก็เห็นกับตา เขาจึงค่อนข้างเกรงกลัวกำลังความสามารถของหลิงม่อพอสมควร แล้วด้วยเหตุนี้เองเขาถึงได้ห้ามปรามหวังหลิ่นชั่วคราว เขาตั้งใจที่จะคิดหาวิธีที่ค่อนข้างละมุนละม่อมในการขอมีดสั้นเล่มนี้คืนมา แต่ในเมื่อหลิงม่อพูดแบบนี้ ไม่ว่าซ่งเทียนจะหน้าหนาขนาดไหน เขาก็คงอายเกินกว่าที่จะเอ่ยปากขอคืน

 

หวังหลิ่นแสดงท่าทีแข็งกร้าวและยืนกรานที่จะขอคืน? แม้ว่าจะอยู่ในแคมป์ของตัวเอง แต่ซ่งเทียนอุตส่าห์ก่อตั้งแคมป์นี้ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาไม่อยากจะเห็นความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้น ขอบอกว่าแคมป์นี้เพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นาน ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ภายในยังคงมีปัญหาอยู่มากมาย การใช้กำลังแย่งชิงมีดสั้นเล่มเดียว เรื่องแบบนี้คนอื่นอาจทำได้ แต่เขาในฐานะที่เป็นลูกพี่ของแคมป์ไม่สามารถทำได้

 

ในช่วงวันสิ้นโลก กำลังความสามารถคือต้นทุนในการพูดคุยเจรจา แต่ในช่วงแรกของการก่อตั้งแคมป์ ซ่งเทียนรู้ดีว่าเขายังจำเป็นต้องเอาชนะใจลูกน้องเหล่านี้ด้วย

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือแวบแรกที่ซ่งเทียนเห็นหลิงม่อ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นั่นคือรั้งตัวพวกหลิงม่อเอาไว้! การที่ได้ผู้แข็งแกร่งที่สามารถสังหารซอมบี้กลายพันธุ์ได้ด้วยตัวคนเดียวมาเข้าร่วมแคมป์ ก็เหมือนกับการได้ฉีดยาบำรุงหัวใจ!

 

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ...” ซ่งเทียนพยายามไม่สนใจหวังหลิ่นที่คอยส่งสายตามาให้เขาไม่หยุดหย่อน แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณหลิง คุณคิดว่าจะทำอย่างไร...”

 

“เรียกฉันว่าหลิงม่อก็ได้” หลิงม่อขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอย่างละเอียดพักหนึ่ง “ฉันรู้ดีว่าแคมป์ของพวกนายมีคนเยอะแยะมากมาย ข้าวของก็คงมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย ฉันเองก็ไม่ได้คิดที่จะให้พวกนายชด...แต่มีดสั้นเล่มนี้...”

 

ซ่งเทียนมองสู้สายตาที่แทบจะฆ่าคนของหวังหลิ่น แล้วแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างห้าวหาญ “แค่มีดสั้นเล่มเดียว ให้นายเป็นของขวัญแล้วกัน!”

 

มีดสั้นหนึ่งเล่มแลกกับสมาชิกใหม่ที่มีฝีมือความสามารถเก่งกาจ นับว่าคุ้มแล้ว! ส่วนหวังหลิ่น...อย่างมากก็แค่ต้องทนดูเธอค้อนตาเหลือกสามสี่วัน...

 

“ฮึ คนขี้ขลาด!” หวังหลิ่นสบถด้วยความเดือดดาล แล้วเหวี่ยงเปิดประตูเดินปึงปังออกไป

 

ซ่งเทียนยิ้มเหยเกแล้วเอ่ยปากพูดต่ออีกว่า “ทำให้พวกนายต้องสูญเสียทั้งที่พักและข้าวของ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนนี้แคมป์เราเองก็กำลังขาดคน พวกนายอยากจะเข้าร่วมแคมป์กับเราไหมล่ะ”

 

แม้ว่าแคมป์นี้จะมีขนาดเล็กมาก แต่ฝีมือของซ่งเทียนเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง หลิงม่อเองก็รู้สึกชื่นชมเขาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เข้าร่วมแคมป์? ช่างเถอะ การให้ซอมบี้สาวสองตัวอยู่ร่วมกันกับผู้รอดชีวิตกลุ่มใหญ่ตลอดทั้งวันทั้งคืน มันเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวยิ่งกว่าการเต้นรำบนปลายมีดเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นซอมบี้สาวสองตัวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เลี่ยน ยังจำเป็นต้องกลืนกินก้อนเหนียวหนืดอยู่เรื่อยๆ เพื่อการวิวัฒนาการ การเข้าร่วมแคมป์นั้นมีข้อจำกัดมากเกินไป แต่เขามีหน้าที่ที่จะต้องออกล่าซอมบี้กลายพันธุ์

 

หลิงม่อจึงส่ายหัวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยและพูดว่า “ขอบคุณนะ แต่ฉันกับสองสาวยังมีธุระต้องทำ ตอนนี้ก็เลยเข้าร่วมแคมป์ด้วยไม่ได้ แต่เพื่อนฉันคนนี้มีฝีมือพอสมควรทีเดียว” เขาพูดพลางหันไปมองหลิวอวี่หาว

คำตอบนี้ทำให้ซ่งเทียนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่หลิงม่อไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอโดยสิ้นเชิง ซ่งเทียนจึงคิดว่าเรื่องนี้ยังพอมีความหวังอยู่ อย่างไรเสียซย่าน่าก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของหวังหลิ่นนี่นา!

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าผิดหวังของซ่งเทียนก็จางหายลงไปมาก แล้วมองตามสายตาของหลิงม่อไปยังหลิวอวี่หาว “นายยินดีที่จะเข้าร่วมใช่ไหม แล้วคนนั้นล่ะ”

 

แน่นอนว่าคนที่สองที่เขาเอ่ยถามก็คือหวังเฉิงนั่นเอง เมื่อได้ยินคำถามนี้ หวังเฉิงก็หันไปมองหลิงม่อด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าพลางตอบอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า “ฉันเข้าร่วมด้วย!”

 

เห็นได้ชัดว่าแคมป์แห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เลี้ยงดูมอดเช่นกัน ชายหนุ่มที่สมบูรณ์แข็งแรงและมีมือมีเท้าครบอย่างเขาก็จะต้องออกไปหาข้าวของด้วยเหมือนกัน ดังนั้นนี่จึงนับได้ว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของหวังเฉิงเลย

 

ไม่เข้าร่วม? หลิงม่อไม่มีทางเลี้ยงเขาหรอก! แล้วที่สำคัญที่สุดคือเขารู้อยู่แก่ใจว่าซย่าน่าที่อยู่ข้างกายหลิงม่อน่ะเป็นซอมบี้!

 

การอยู่ด้วยกันกับซอมบี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เรื่องน่าหวาดเสียวแบบนี้ หวังเฉิงคิดว่าหัวใจของตัวเองไม่อาจแบกรับได้ไหว แต่เนื่องจากมีหวังหลิ่นอยู่ด้วย เขาก็เลยไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ ใครจะรู้เล่าว่าหวังหลิ่นมีท่าทีเช่นไรต่อซย่าน่ากันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะภายนอกของซย่าน่าดูไม่ได้แตกต่างไปจากคนธรรมดาเลยสักนิด ถ้าตนเองพูดออกไป จะมีใครเชื่อบ้าง การทำให้หลิงม่อต้องขุ่นเคืองภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนนี่ ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกเหรอ...

 

....................................................................................................................................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด