ตอนที่แล้วเล่มที่ 3 บทที่ 3
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 3 บทที่ 5

เล่มที่ 3 บทที่ 4


  

“หา??”

“ว่าไงนะ? เอาไปเถิด?”

“ตัวบัดซบนี่เป็นใครกัน?”

ศิษย์หลายคนต่างอุทานกันออกมาก่อนจะระเบิดเสียงกันอย่างตกตะลึง แม้กระทั่งปรมาจารย์โอสถเองก็ไม่เว้น ข่งเย่หลงนั้นชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วสำนัก ตลอดมานั้นเขาเป็นดั่งอัจฉริยะความหวัง เป็นทั้งนายน้อยที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุข ดังนั้นแล้วตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีใครกล้าขัดใจ เที่ยวออกข่มเหงรังแกคนไปทั่ว ทว่าบัดนี้กลับพูดว่า เจ้าเอาไปเถอะ นี่มันไม่ปกติแล้ว เห็นอยู่ชัดๆว่าเจ้าเด็กนี่เป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น

ท่ามกลางความสับสนของผู้คน หยางอี้เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากที่นั่งทันที ทว่าระหว่างกำลังเดินไปนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมา เป็นสายตาที่ลึกซึ้งแต่มิได้มุ่งร้าย หยางอี้หันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นชายชราที่ทุกคนกล่าวเรียกว่าเป็นเจ้าเขาโอสถ หยางอี้หันไปก่อนจะค้อมหัวเคารพเล็กน้อย ทำให้ชายชรายิ้มออกมาพยักหน้าให้ก่อนจะเดินออกไป

แม้จะมีหลายคนสงสัยทว่าเมื่อทบทวนดูแล้ว ศิษย์สายนอกที่มีความมั่งคั่งขนาดประมูลได้ถึง 50,000 แต้ม อีกทั้งนายน้อยข่งเย่หลงยังยอมลงให้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน! มีหลายคนที่ต้องการเข้าไปผูกสัมพันธ์กับหยางอี้ ทว่าน่าเสียดายที่เมื่อรีบตามชายหนุ่มออกมากลับยังพบเห็นภาพที่ตกตะลึงซ้ำสอง เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว กระทั่งมีหยิงเฟยกับผู้ดูแลมารอรับ เพ่ย... แม่นางหยิงเฟยยังไม่เท่าไหร่แม้จะมีตำแหน่งสูงส่งทว่าหลายคนยังเคยพูดคุยเพราะนางชอบทำหน้าที่รับบัตรผ่านหน้าทางเข้า แต่ผู้ดูแลเถานั้นต่างกัน หากมิได้มีผู้สำคัญมาเยือนย่อมไม่ออกมาแน่นอน นี่กระทั่งเจ้าเขาโอสถมาเองแต่กลับมารับรองเจ้าเด็กนี่แทน?

หยางอี้นั้นเดินตามเถาหยาและหยิงเฟยเข้าไปยังห้องรับรองห้องเดิมอีกครั้งก่อนจะนั่งลงและพูดคุยกันเล็กน้อย ไม่นานแม่นางเสี่ยวก็นำของที่หยางอี้ชนะการประมูลเข้ามาส่ง ภาพที่เห็นทำให้นางชะงักไปไม่น้อย ใบหน้าเริ่มขาวซีดก่อนจะเดินเข้ามา ก่อนหน้านี้นางได้พูดตักเตือนหยางอี้ไปในการประมูลว่าไม่ให้ก่อความวุ่นวาย ทว่าตอนนี้กระทั่งผู้ดูแลหอยังมา และดูเหมือนจะพูดคุยอย่างสนิทสนมเสียด้วย

“อาเสี่ยวเข้ามาสิ”

เถาหยากล่าวเรียกแม่นางเสี่ยวที่ยืนตัวแข็งอยู่ ก่อนที่นางจะได้สติและเดินเข้ามา ในใจนางได้แต่คิดว่านี่นางไปล่วงเกินผู้ใดเข้า และคุณชายผู้นี้จะคิดเล็กคิดน้อยหรือไม่ นางวางกล่องหยกลงก่อนจะค้อมศรีษะลงไม่กล้าสบตากับชายหนุ่ม หยางอี้เห็นดังนั้นก็เข้าใจว่านางคิดอะไรอยู่จึงกล่าวออกไปเล็กน้อย

“พี่สาวเสี่ยว ท่านอย่าได้กังวล ท่านเพียงทำตามหน้าที่และข้าก็มิได้เก็บมาใส่ใจ”

แม่นางเสี่ยวชะงักไปเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าหยางอี้รู้ว่านางคิดแบบนั้นได้อย่างไร นางเพียงถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มด้วยสายตาลึกซึ้ง และกล่าวขอบคุณก่อนเดินออกไป

“ฮี่ๆ ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง มิน่าเล่าสาวน้อยทั้งสองนั่นถึงติดเจ้างอมแงม”

หยิงเฟยกล่าวออกมาหยอกเย้าหยางอี้ ชายหนุ่มเพียงยิ้มออกมาก่อนจะนึกสนุก ใครจะให้ท่านมาแกล้งข้าอยู่ฝ่ายเดียว

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ใช่ว่าศิษย์พี่เฟยก็สนใจข้า?”

หยิงเฟยพลันชะงักก่อนมองค้อนไปยังหยางอี้กล่าวว่า “อย่าได้หลงตัวเองนักหนุ่มน้อย” ก่อนที่นางจะแค่นเสียง หึ แล้วเดินจากไป

ในห้องเหลือเพียงหยางอี้กับเถาหยา หยางอี้จ่ายแต้มออกไป 50,000 แต้ม ก่อนจะรับกล่องหยกและเตาหลอมมาเก็บไว้ หยางอี้เห็นเพียงคร่าวๆว่าเตาหลอมนี้ดูโบราณและเก่าเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ผู้อื่นชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจว่ามันจะใช้งานได้หรือไม่ แต่เมื่อเถาหยารับประกันแล้วชายหนุ่มจึงทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน เอาไว้กลับไปค่อยลงมือศึกษาอีกครั้ง

หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยหยางอี้ก็ออกจากโรงประมูลเทียมฟ้า หยางอี้ใช้จ่ายออกไปไม่น้อยในวันนี้ แถมยังเป็นหนี้อยู่อีก 50,000 แต้ม อันที่จริงไม่สมควรเป็นด้วยซ้ำแต่เพื่อการซื้อใจเถาหยาชายหนุ่มจ่ายออกไป อย่างไรเขายังมีหญ้าบัวราตรีอีกหลายต้น อีกทั้งยังกลับไปเอาที่ถ้ำหลังน้ำตกเมื่อไหร่ก็ได้ ชายหนุ่มสำรวจแต้มที่เหลือ หลังจากใช้จ่ายออกไปตอนนี้มีอยู่ 9,000 แต้ม ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยางอี้จึงตัดสินใจใช้แต้มทั้งหมดในการซื้อวัตถุดิบและขวดยามา หากปลดผนึกได้แล้วหยางอี้ตั้งใจจะฝึกฝนการปรุงยาอย่างจริงจัง

9,000 สำหรับการซื้อวัตถุดิบปรุงยาระดับหนึ่งนับว่าพอสมควร หยางอี้เพิ่มมาอีกอย่างละ 20 ชุด รวมกับของเดิมจึงมีวัตถุดิบสำหรับปรุงยาเพลิงพิโรธ 27 ชนิดและยาหัวใจสมุทรอีก 27 ชนิด

กระบี่เหินฟ้าแบกร่างของหยางอี้พุ่งทะยานกลับสู่เขาทดสอบทันที ภายในใจชายหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นไม่น้อย การปลดผนึกครั้งนี้จะทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างมาก

ฟิ้ววว

เสียงบางหยางพุ่งฝ่าอากาศมายังด้านหน้าของหยางอี้ ชายหนุ่มยื่นมือออกไปคว้าจับทันทีก่อนจะเห็นว่าเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง เมื่อเปิดอ่านภายในเขียนไว้ว่า

‘เจ้าหนูตาแก่คนนี้อยากจะตกลงบางอย่างกับเจ้าสักเล็กน้อย เมื่อหมดธุระแล้วให้มาหาข้าที่ยอดเขาโอสถ

เตียลี่ยี้’

หยางอี้งุนงงชั่วขณะ เขาโอสถ? เตียลี่ยี้? เขาไปรู้จักกับคนของเขาโอสถตั้งแต่เมื่อใด หยางอี้เก็บจดหมายก่อนจะมุ่งหน้ากลับเขาทดสอบทันที ตอนนี้ยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอยู่

ภายในเขาทดสอบยังคงเป็นเช่นเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โชคดีที่ศิษย์สายนอกนั้นไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าโรงประมูลเทียมฟ้าชั้นที่ 2 ไม่ต้องกล่าวถึงชั้นที่ 3 เรื่องของหยางอี้ยังคงไม่มีใครรู้ อีกทั้งพวกที่อยู่ในงานประมูลยังไม่มีใครรู้จักหยางอี้นอกจากข่งเย่หลง มิเช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องแตกตื่นแน่นอนที่ศิษย์สายนอกมั่งคั่งขนาดนี้

ภายในเรือนไม้หยางอี้นั่งบนแท่นฝึกก่อนจะนำกล่องหยกที่บรรจุเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์ออกมาวางไว้ด้านหน้า

“ผู้อาวุโส ข้าพร้อมจะปลดผนึกแล้ว ต้องทำอย่างไรบ้าง”

“ฮ่าๆ เจ้าหนู เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ การปลดผนึกนั้นง่ายดายยิ่ง เจ้าเพียงดูดซับมันและไม่ต้องชักนำพลังปราณเข้าสู่ตันเถียน ที่เหลือข้าจัดการเอง”

หยางอี้พยักหน้าก่อนจะเปิดกล่องหยกออกมา ไอพลังปราณพลันทะลักออกมาทันที ด้วยแหล่งพลังงานระดับสวรรค์นี้ หากหยางอี้ดูดซับเข้าไปอย่างน้อยต้องไปถึงระดับ 4 แน่นอน ชายหนุ่มมองไปยังเมล็ดวงรีสีแสดด้านหน้าก่อนจะเริ่มหลับตาและดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย

พลังปราณอันเข้มข้นค่อยๆไหลเข้าสู่ร่างกายของหยางอี้อย่างช้าๆ เพียงแต่ชายหนุ่มมีหน้าที่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น กาย จิต กลายเป็นว่างเปล่าไม่มีการชักนำแม้แต่น้อย พลังปราณเข้มข้นร้อนแรงทั้งหมดต่างเคลื่อนไหวไปเองเข้าสู่รอยสักตรงแขนซ้ายของชายหนุ่ม

หยางอี้จมเข้าสู่ภวังค์ในทันทีด้วยการปล่อยสภาวะทุกอย่างให้เป็นไปตามการชักนำของมุกมิติราชันย์ โดยมิรู้ตัวบริเวณดวงตาของรอยสักอสรพิษ 6 ปีก พลันเกิดเป็นแสงสีแดงส่องสว่างออกมาจางๆ ทีละน้อยละน้อย ก่อนจะค่อยๆเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีแดงสด

บริเวณลำตัวและปีกของรอยสักค่อยๆขยับเขยื้อนอย่างน่าประหลาด ลำตัวที่ขดอยู่เริ่มเหยียดตรงก่อนจะเคลื่อนไหวทีละน้อยๆ

เวลาผ่านไป 1 ชั่วยาม หยางอี้ยังคงนั่งหลับตาดูดซับพลังปราณโดยมิรู้ตัวเลยว่าบัดนี้รอยสักรูปอสรพิษ 6 ปีกนั้นเคลื่อนไหวเลื้อยผ่านไปทั่วทั้งร่างกายเขาอย่างร่าเริงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของเขา

และในที่สุดเมล็ดทานตะวันที่ดูน่าหลงใหล อัดแน่นไปด้วยพลังปราณในตอนแรก ก็กลับกลายเป็นเพียงเมล็ดแห้งกรอบและกลายเป็นฝุ่นผงไปในที่สุด

หยางอี้ได้สติขึ้น ก่อนจะลืมตาเพราะความรู้สึกแปลกประหลาดบริเวณทรวงอก ความร้อนยิ่งมายิ่งมากขึ้น หยางอี้แม้จะประหลาดใจทว่ายังได้แต่กัดฟันทนความเจ็บปวด ชายหนุ่มรู้ว่านี่ต้องเป็นกระบวนการปลดผนึกแน่นอน

รอยสักนั้นเริ่มขดตัวเข้าหากันจนกลายเป็นวงกลมสีดำสนิทในที่สุด ก่อนพลังค่อยๆทะลุออกมาจากร่างหยางอี้ทีละน้อยท่ามกลางความเจ็บปวดของชายหนุ่ม และในที่สุดก็ปรากฎออกเป็นก้อนกลมสีดำลอยอยู่เบื้องหน้าของหยางอี้ที่หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

วูปป

ก้อนสีดำสนิทเรืองแสงจางๆออกมากลางอากาศ หยางอี้มองไปยังมันอย่างงุนงง ก่อนที่ก้อนสีดำนั้นจะมีรอยแตกออกทีละน้อย

“ไข่?”

หยางอี้เพ่งมองไปยังรอยแตกของไข่สีดำด้านหน้า ก่อนจะมีหัวน้อยๆสีดำสนิทดวงตาแดงฉานค่อยๆโผล่ออกมา

“งู?”

หยางอี้จ้องมองไปยังเบื้องหน้าอย่างเพ่งพินิจ งูน้อยค่อยๆ ตะเกียกตะกายออกจากไข่จนในที่สุดก็หลุดพ้นออกมาทั้งตัวได้ ลำตัวเป็นเกล็ดสีนิลดำเมี่ยม มีดวงตาแดงฉานราวกับโลหิตที่ด้านหลังยังคงมีปีกเล็กๆงอกออกมาเพียงเป็นนูนๆเท่านั้น

“ไอ้หยา ทำไมข้าถึงกลับมาเป็นร่างนี้ได้ล่ะนี่”

เสียงเล็กแหลมของงูน้อยดังออกมาปลุกสติของหยางอี้ แม้จะดูเล็กแหลมไปบ้างทว่ายังคงมีกลิ่นอายเช่นเดียวกับเสียงลึกลับก่อนหน้านี้

“เจ้าคือเสียงลึกลับนั่น?”

“เพ่ย เจ้าหนู ข้าคือตัวตนอันยิ่งใหญ่อย่าได้ไร้มารยาทกับข้า”

เสียงเล็กแหลมยังคงกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ หยางอี้เลิกใส่ใจก่อนจะมุ่งเข้าประเด็นทันที

“นี่ท่านงูน้อย ตอนนี้มุกมิติราชันย์ถูกปลดผนึกแล้วหรือไม่”

“งูน้อยบ้านอาเจ้าสิ ข้าคือพญาอสรพิษผู้ยิ่งใหญ่ เรียกข้าว่าหลงเสี่ยวเฮย”

หยางอี้ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยินยอม

“เอาล่ะ ท่านเสี่ยวเฮย ตกลงว่ายังไง”

“เฮอะ แน่นอนว่าเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างนะเจ้าหนู นามของข้าคือหลงเสี่ยวเฮย!”

หนึ่งคนหนึ่งงูโต้เถียงกันอีกสักพัก ทั้งสองก็เข้าสู่มิติพิเศษ หยางอี้ลิงโลดเป็นอย่างมาก แม้จะได้รับข่าวร้ายจากเสี่ยวเฮยมา ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มิติพิเศษมีข้อจำกัดของสวรรค์เช่นกัน สมบัติสวรรค์ทุกชิ้นไม่ว่าจะมีความสามารถท้าทายสวรรค์มากเพียงใด ก็มิอาจฝ่าฝืนกฎแห่งความสมดุลไปได้ เมื่อปลดผนึกแล้ว มิติปิดแห่งนี้จะกลายเป็นมิติเปิดที่หยางอี้สามารถนำสิ่งของเข้าออกได้ตามใจ ทว่าก็แลกมาด้วยการที่กฎของเวลา 10 เท่าจะลดลงครึ่งหนึ่งไปด้วย

หยางอี้นั้นตอนแรกก็เสียดายไม่น้อย 5เท่า กับ 10 มิใช่เรื่องเล่นๆเลย แต่เสี่ยวเฮยกล่าวว่า ผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นมิติเปิดย่อมมีมากมายกว่ามหาศาล คนผู้หนึ่งมีเวลาฝึกมากกว่าคนอื่น 10 เท่าแล้วอย่างไร อาศัยเพียงการบำเพ็ญเพียรบ่มเพาะพลังปราณย่อมช้าเป็นเต่าคลาน จะมาเทียบกับ ผู้ที่มีเวลา 5 เท่า แต่เวลา 5 เท่านั้นมีผลกับอย่างอื่นด้วยได้อย่างไร

หยางอี้จัดการนำสิ่งของต่างๆเข้ามาภายในมิติทันที แน่นอนว่าครั้งนี้หยางอี้ดีใจเป็นอย่างมาก เหตุผลนั้นมิใช่ทั้งการนำพาสิ่งของเข้ามา ไม่ใช่ทั้งการจะมีเวลาฝึกสิ่งต่างๆมากขึ้น แต่เหตุผลที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั้นคือการที่ชายหนุ่มนำพาร่างกายของเขาเข้ามาได้!

ก่อนหน้านี้กายหยาบของหยางอี้จะยังคงอยู่ภายนอกและดูดซับพลังปราณผ่านกระบวนการเร่งเวลาของมุกมิติ สิ่งที่เข้ามาได้นั้นเป็นเพียงกลุ่มก้อนความรู้สึกและจิตวิญญาณ ทำให้มีความเสี่ยงไม่น้อยหากถูกลอบโจมตี แต่ตอนนี้มันต่างกันราวฟ้ากับเหว มุกราชันย์ในร่างกายจะทำหน้าที่เปิดประตูมิติเพื่อให้หยางอี้เข้าสู่ขอบเขตภายใน นั่นหมายความว่าหากอยู่ภายในนี้ตัวตนของชายหนุ่มจะหายไปอย่างสมบูรณ์

ภายในมิติพิเศษนั้นเป็นพื้นที่กว้างใหญ่อย่างมาก จากการสังเกตดูคร่าวๆหยางอี้พบว่ามันกว้างกว่า 20 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้ที่เข้ามาจะเป็นเพียงห้องมืดๆเท่านั้น หยางอี้มิเคยรู้เลยว่าภายในจะกว้างใหญ่เพียงนี้ แม้จะเป็นเพียงห้องกว้างๆที่ว่างเปล่า แต่ว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

หยางอี้เริ่มจัดแจงนำเตาหลอม สมุนไพรต่างๆ และตำราออกมาวาง เพื่อเตรียมศึกษาอีกครั้ง เตาหลอมเก่าๆใบนี้ตัวชายหนุ่มเองก็มิแน่ใจว่าจะใช้ได้หรือเปล่า หลังจากทำความสะอาดก็เพ่งพินิจอยู่นาน รอบเตาหลอมนี้มีตัวอักษรโบราณถูกสลักไว้เต็มไปหมด แม้จะเป็นด้านในหม้อเองก็ยังมีเช่นกัน

สิ่งแรกที่จำเป็นคือการทดสอบว่าเตานี้ใช้งานได้หรือไม่ หยางอี้เองก็ยังมิเคยเรียนรู้การควบคุมไฟซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการหลอมยา ทว่าทุกคนนั้นสามารถจุดไฟได้อยู่แล้ว และยังสามารถเพิ่มความบริสุทธิ์ของเปลวเพลิงได้อีกด้วย ทว่านั่นถือเป็นเรื่องยาก

เปลวเพลิงสีแดงสดถูกจุดขึ้นมาก่อนจะถูกถ่ายเข้าไปภายในเตาหลอม หยางอี้ชักนำพลังปราณเพื่อควบคุมเปลวเพลิงภายในให้เร่งจนถึงขีดสุด ทว่าเพียงเร่งถึง 7 ใน 10 ส่วนเตาหลอมก็สั่นกึกๆ ราวกับจะระเบิดออกมาแล้ว ทำให้หยางอี้ต้องหยุดมือลง

“ความร้อนแรงของเปลวเพลิงสามารถเร่งได้เพียง 7 ส่วนเท่านั้น หากมากกว่านี้เตาหลอมใบนี้คงจะทนไม่ไหว”

หยางอี้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ น่าเสียดายที่ซื้อมาถึง 3000 แต้ม แต่กลับใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทว่า 7 ส่วนก็เพียงพอแล้วในการหลอมโอสถระดับ 1 แม้จะต้องใช้เวลานานหน่อยทว่าหากเป็นภายในมิตินี้เรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหา

อีก 2 วันจะถึงเวลาประลองจัดอันดับอีกครั้ง หยางอี้และพวกเจินเซียงตอนนี้อยู่ในอันดับที่ 11-20 ทั้งหมดมีสิทธิ์ที่จะท้าชิงกับ 10 อันดับแรกเพื่อชิงสิทธิ์ในการทดสอบเป็นศิษย์สายใน มีเพียงเป่ยลู่เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในอันดับที่ 27 สำหรับเป่ยลี่เด็กน้อยคนนั้นดูเหมือนจะถูกใจผู้อาวุโสหวังเป็นอย่างมาก จึงถูกรับไว้ดูแลแทนแล้วระหว่างที่พวกเขายังฝึกฝนอยู่ในสำนักวิหารสวรรค์

วูปปป

เสี่ยวเฮยปรากฏตัวบินวนอยู่ในอากาศอย่างร่าเริง หยางอี้ตะลึงไปเช่นกัน ในตอนแรกชายหนุ่มก็มิคิดว่าเสี่ยวเฮยจะสามารถเข้าออกมิตินี้ได้อย่างอิสระ

“ฮ่าๆ อากาศภายนอกช่างน่าอภิรมย์จริงๆ นานแค่ในกันที่ข้าต้องอุดอู้อยู่แต่ในที่แคบๆแห่งนี้”

เสี่ยวเฮยค่อยๆบินมา ก่อนจะเกาะลงบนไหล่ของหยางอี้

“เฮ้เจ้าหนู เจ้ากำลังจะหลอมยา?”

“ข้าเพียงแค่ทดสอบเตาหลอมดูก่อน”

หยางอี้ปรายตามองไปยังเสี่ยวเฮยที่จ้องไปยังเตาหลอมอย่างสงสัย ก่อนจะถามออกมา

“มีอะไรแปลกไปหรือ?”

“แปลก แปลกมากๆ ทำไมเตาหลอมยาถึงมีการสลักอักษรรูนโบราณไว้ แถมยังสลักไว้เยอะอีกด้วย”

“อักษรรูนโบราณ”

หยางอี้ถามออกมาอย่างสงสัย เสี่ยวเฮยจึงอธิบายต่อ พลางครุ่นคิดไปด้วย

“ในอดีต โลกนี้ไม่ได้มีเพียงพวกมนุษย์และสัตว์อสูรหรอกนะ ยังมีเผ่าพันธุ์อีกมากมายที่ดำรงอยู่ แต่ว่าด้วยความฉลาดของมนุษย์และพลังอันแข็งแกร่งของสัตว์อสูร จึงทำให้มีเผ่าพันธุ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญสิ้นไป และที่เหลือรอดอยู่ก็ต่างหลบซ่อนไม่ออกมาโลกภายนอก ส่วนอักษรรูนพวกนี้เหมือนข้าจะเคยเห็นที่ไหนนะ อ้า ใช่แล้ว เป็นอักษรของเผ่าเอลฟ์โบราณ”

หยางอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ ประวัติศาสตร์พวกนี้ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ ดังนั้นเรื่องที่เสี่ยวเฮยพูดจึงดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก

“เอลฟ์โบราณ”

“ใช่แล้ว เอลฟ์โบราณ แต่ว่าพวกนั้นโดดเด่นในด้านการต่อสู้ มีความรวดเร็วที่เป็นเลิศ ข้าไม่เคยได้ยินว่าพวกนั้นมีความสามารถในการหลอมโอสถ แต่เตาใบนี้ต้องสืบทอดมาจากเผ่าเอลฟ์โบราณแน่นอน เพราะว่าอักษรรูนประจำเผ่านั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ มันคือภูมิปัญญาที่เหล่าบรรพชนสืบทอดไว้ จึงไม่มีทางที่จะมีต้นกำเนิดจากที่อื่นแน่นอน”

หยางอี้ยิ่งฟังยิ่งตื่นเต้น แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาก็ตาม ทว่านี่ก็นับเป็นความรู้ใหม่ที่เปิดโลกทัศน์ ของเขาเป็นอย่างมาก และที่สำคัญเตาหลอมอันนี้อาจจะมิได้ธรรมดาอย่างที่ชายหนุ่มคิด ด้วยความตื่นเต้นหยางอี้จึงบอกผลการทดสอบให้กับเสี่ยวเฮยฟัง

“เป็นไปไม่ได้แน่นอน เตาหลอมใบนี้ต้องมีความลับบางอย่างอยู่ สิ่งที่สืบทอดมาจากยุคโบราณเช่นนี้น่ะเรอะที่จะทนรับพลังไฟอันอ่อนด้อยของเจ้าได้เพียง 7 ส่วน”

ผ่านไปอีก 1 วันภายในมิติ ทั้งหยางอี้และเสี่ยวเฮยต่างยังคงตรวจสอบเตาหลอมใบนี้อย่างระวัง เดิมทีหยางอี้ต้องการจะเริ่มฝึกปรุงยาแต่ถูกเสี่ยวเฮยห้ามเอาไว้ การจะปรุงยานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งความเข้าใจวัตถุดิบ อัตราส่วน และยังต้องอาศัยการควบคุมไฟที่แม่นยำอีกด้วย

ระหว่างปรุงยานั้นมีสามขั้นตอน ขั้นแรกคือการหาอัตราส่วนที่เหมาะสมของวัตถุดิบ แน่นอนว่าหยางอี้นั้นไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะช่วงเวลากว่าเดือนที่ชายหนุ่มศึกษาตำราของกู่เทียนชางเรียกได้ว่าเข้าใจในส่วนแรกอย่างละเอียดแล้ว ส่วนขั้นที่สองนี้ความยากกลับลึกล้ำ ในวัตุดิบทุกชนิดย่อมมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี สิ่งที่มีประโยชน์และผลเสีย การปรุงยาต้องอาศัยความแม่นยำในการควบคุมไฟเพื่อกลั่นเอาของเสียออกจากวัตถุดิบให้เหลือเพียงสิ่งที่ต้องการเท่านั้น

ระดับการควบคุมไฟนั้นแบ่งออกเป็น 10 ระดับเช่นเดียวกับระดับความบริสุทธิ์ของยา แน่นอนว่าความบริสุทธิ์ของยาแต่ละเม็ดนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ และความยากของมันคือการควบคุมเปลวไฟเพื่อกลั่นของเสียออกไป ไฟเบาเกินไปในวัตถุดิบจะยังคงไม่บริสุทธิ์ ไฟแรงเกินไปความบริสุทธิ์ก็จะสูญเสียเช่นกัน ดังนั้นขั้นตอนนี้นับว่ายากพอสมควร ในระดับปรมาจารย์โอสถ ส่วนใหญ่นั้นจะมีการควบคุมไฟอยู่ที่ระดับ 6-7 ทว่านี่เป็นเพียงการคำนวนคร่าวๆโดยรวม แต่ละคนไม่สามารถวัดออกมาได้แน่นอนว่าอยู่ระดับใด เป็นเพราะวัตถุดิบแต่ละชนิดความยากในการกลั่นนั้นมีไม่เท่ากัน

ระหว่างการตรวจสอบเตาหลอม เสี่ยวเฮยจัดการให้หยางอี้ฝึกซ้อมควบคุมไฟไปพลางๆก่อน หยางอี้อดสงสัยถึงต้นกำเนิดของเจ้างูน้อยตัวนี้มิได้ แม้ว่าก่อนหน้าหยางอี้จะให้ความเคารพกับเสียงลึกลับโบราณเป็นอย่างมากทว่าพอแปรเปลี่ยนมาเป็นงูน้อยสีดำตัวนี้ ความรู้สึกเคารพนั้นกลับกลายเป็นความเอ็นดูเสียมากกว่า

ด้วยความรู้มากมายตั้งแต่โบราณกาลเสี่ยวเฮยเพียงแค่จดจำได้รางๆเท่านั้นถึงลักษณะของอักษรรูนเหล่านี้ที่สลักไว้บนเตาหลอม หยางอี้ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความเสียดาย เดิมทีความมุ่งมั่นและความตื่นเต้นในการที่จะเริ่มฝึกฝนนั้นมีมากเหมือนเด็กน้อยที่ได้รับของเล่นใหม่ ทว่าเสี่ยวเฮยกลับไม่อนุญาตและไล่ให้เขาไปฝึกควบคุมไฟเสียก่อน

การฝึกฝนของหยางอี้ที่เสี่ยวเฮยให้ทำนั้นก็มิใช่เรื่องง่าย หยางอี้ออกไปยังภายนอกเพื่อเตรียมอุปกรณ์ในการฝึกก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง กระดาษหลายร้อยแผ่นถูกนำออกมาเตรียมไว้ด้านนอกก่อนจะถูกนำไปแช่ในน้ำ

การฝึกของหยางอี้คือการใช้ไฟทำให้กระดาษแห้งและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ฟังดูเหมือนง่ายทว่ากลับกัน การทำเช่นนั้นกลับเป็นเรื่องยากสุดขีด หากเป็นการใช้พลังปราณขับน้ำออกไปย่อมง่ายดายแต่การใช้ความร้อนของเปลวเพลิงนั้นกลับยากเป็นอย่างมาก ต้องรู้ว่าเปลวเพลิงของผู้ฝึกตนนั้นมิใช่เปลวเพลิงธรรมดา ความร้อนแรงนั้นสูงกว่ามากมายนัก ดังนั้นการขับความชื้นออกจากกระดาษบางๆแผ่นหนึ่งจึงมิใช่เรื่องง่าย

ฟู่....

หนึ่งแผ่นยังคงไหม้ สองแผ่นไม่แห้งสนิท สามแผ่นยังไหม้อีกครั้ง สี่ ห้า .....

หยางอี้ปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยล้า ผ่านมา 1 ชั่วยาม ผ่านไปแล้วหลายร้อยแผ่น ทว่ากลับยังไม่มีแม้แต่แผ่นเดียวที่แห้งสมบูรณ์ อย่าว่าแต่สมบูรณ์ต้องกล่าวว่ายังไม่เข้าใกล้แม้แต่ 5 ส่วนของความสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะกฎของเสี่ยวเฮย กระดาษแต่ละแผ่นหยางอี้มีเวลาในการทำให้แห้งเพียง 10 ลมหายใจเท่านั้น หากไม่กำหนดเวลาแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มมั่นใจว่าจะทำได้

“ยากจริงๆ หากเร่งมากไปก็จะไหม้ หากเบาไปก็ไม่แห้งสนิท”

ผ่านไปอีก 4 วัน แต่ละวันหยางอี้ใช้เวลากับการฝึกควบคุมไฟตลอดเวลา จะพักบ้างเมื่ออ่อนล้าเท่านั้น ตอนนี้เรียกได้ว่าพอมีความสำเร็จบ้างแล้ว กระดาษกว่าหลายพันแผ่นที่ซื้อมาในตอนแรกมีถึง 12 แผ่นที่ประสบความสำเร็จ ใช่แล้ว 12 แผ่น!

หยางอี้นั่งห่อเหี่ยวอยู่ภายในมิติพิเศษ พลางมองดูเสี่ยวเฮยเลื้อยไปมาสังเกตอักษรรูนอยู่อย่างไม่ลดละ อยู่ด้วยกันมาหลายวันหยางอี้ก็รู้ว่าเจ้างูน้อยนี่มีความสนใจในอักขระโบราณเป็นอย่างมาก

“เฮ้ เจ้าหนู ท้อแล้วหรือไง? หึหึ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ หากเป็นคนอื่นเกรงว่าฝึกอีก 10 วันจะยังทำไม่สำเร็จสักแผ่น!”

หยางอี้ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้ารับ ในใจพลางอิ่มเอมเมื่อได้รับคำปลอบใจ ทว่าเสี่ยวเฮยเมื่อเห็นท่าทางของหยางอี้กลับตวาดกลับมาซะอย่างงั้น

“เพ่ยย ไอ้หนู ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ที่ข้าพูดไปนั่นคือความจริง เจ้าคิดว่าการฝึกนี้เป็นเรื่องง่ายๆงั้นรึ เจ้าโง่เอ๊ย จงคิดดูให้ดีๆ มีของดีอยู่กับตัวแท้ๆ หากอีก 5 วันเจ้ายังไม่สามารถผ่านการฝึกแรกไปได้ก็เลิกหวังการเป็นนักหลอมโอสถไปได้เลย”

หยางอี้ได้ฟังก็ขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆคิดตาม ถ้อยคำด่าของเสี่ยวเฮยนั้นหยางอี้มิได้ใส่ใจ แม้จะตะลึงอยู่เหมือนกันที่คำกล่าวแรกเป็นคำชมมิใช่คำปลอบใจ เมื่อคิดดูดีๆการฝึกนี้ก็ยากจริงๆ หากไม่ได้ฝึกฝนทักษะซ่อนจันทร์มาละก็....

หยางอี้พลันลุกขึ้นยืนก่อนจะตบหน้าผากตัวเอง ใช่แล้วทักษะซ่อนจันทร์ ถึงแม้ว่าการควบคุมลมปราณกับการควบคุมไฟจะแตกต่างกันแต่พื้นฐานก็คือการควบคุมพลังงานและปริมาณเหมือนกัน

แน่นอนว่าที่หยางอี้สามารถทำสำเร็จได้ 12 แผ่นนั้นก็เพราะชายหนุ่มมีพื้นฐานในการควบคุมอยู่บ้าง เพียงแต่สมาธิส่วนใหญ่กลับทุ่มเทไปยังความกังวลที่กลัวว่าจะชื้นไปหรือไหม้ไป

หลังจากคิดได้ชายหนุ่มก็ออกจากมิติเพื่อไปจัดการเตรียมกระดาษเพื่อใช้ในการฝึก ครั้งนี้หยางอี้ใช้ไปถึง 1000 แต้มเพื่อซื้อกระดาษมา 50000 แผ่น เสี่ยวเฮยบอกว่าจนกว่าจะทำ 10 แผ่นสำเร็จ 10 แผ่น หยางอี้ยังคงต้องฝึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เจ้างูน้อยนั้นแน่นอนว่าไม่มีทักษะการปรุงยา ทว่าเรื่องการควบคุมไฟนั้นหยางอี้ปฏิเสธไม่ได้ ก่อนหน้าเสี่ยวเฮยเคยสาธิตให้ดู ปากน้อยๆนั่นเพียงพ่นเพลิงดำทมิฬออกมาครั้งเดียวก็ทำให้กระดาษเปียกกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้แล้ว

การฝึกยังคงดำเนินต่อไป หลังจากเปิดใช้ทักษะซ่อนจันทร์ระหว่างการฝึก อัตราการบังคับความร้อนแรงของเปลวเพลิงก็มากขึ้น ความสำเร็จจาก 10 ใน 10,000 ก็มากขึ้นเช่นกัน จนผ่านไป อีก 5 วัน ฝีก 1,000 แผ่น หยางอี้ทำสำเร็จถึง 400 แผ่นแล้ว

หลังกลับจากหอประมูลเทียมฟ้า เวลาภายนอกผ่านไป 2 วันแล้ว เช้าวันนี้หยางอี้ออกมายังลานฝึกของเขาทดสอบเพื่อเตรียมพร้อม มองไปยังรอบด้านปรากฏศิษย์สายนอกจำนวนไม่น้อยที่มีความมั่นใจและมาชุมนุมกัน วันนี้เป็นกำหนดเวลาการชิงอันดับที่จะเกิดขึ้นทุกๆเดือน

หยางอี้และกลุ่มของเทียนเจินเซียงแน่นอนว่าต้องการท้าชิงกับ 10 อันดับแรก ถึงความสามารถและระดับของทั้งกลุ่มจะสามารถเข้าเป็นศิษย์สายในได้นานแล้วทว่าก็ยังต้องทำตามกฏของสำนักอยู่ดี มีเพียงเป่ยลู่เท่านั้นที่ศึกชิงอันดับครั้งนี้ทำได้เพียงท้าชิงอันดับ 11-20

กลุ่มของเจินเซียงนั้นถูกขนานนามว่าเด็กปีศาจ ด้วยวัยเพียงเท่านี้กลับก้าวถึงระดับปฐพีแล้วนั้นถือว่าเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด มีเพียงหยางอี้ที่หลายคนยังคงกังขา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชายหนุ่มเพียงแสดงพลังปราณออกมาแค่ก่อตั้งจิตขั้นที่ 8 เท่านั้น และเด็กใหม่ก็มิมีใครปริปากพูดออกมาเช่นกัน อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องอื้อฉาวที่ทำให้บุรุษเกือบครึ่งสำนักเกลียดชังเขา

ไม่นานผู้อาวุโสหัวล้านผู้ดูแลเขาทดสอบก็ออกมา การประลองชิงอันดับนั้นง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ศิษย์สายนอกที่มีอันดับทุกคนจะได้รับเรือนไม้เป็นที่พักอาศัย ดังนั้นหากใครพอใจจะท้าประลองใครก็ไปยังเรือนไม้หลังนั้นและขานชื่ออกมา

ในลานประลองกว้างมีจำนวน 50 คน การชิงอันดับนั้น ผู้ที่ประสงค์จะชิงอันดับต้องออกมารวมตัวกันที่ลานกว้างก่อน และเมื่อผู้อาวุโสมาถึงจะถือว่าหมดเวลา เช่นเดียวกันผู้ที่ไม่ประสงค์จะชิงอันดับจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเรือนในวันนี้ และหากผู้ที่ต้องการชิงอันดับเป็นเป้าหมายของผู้ชิงอันดับแล้ว การประลองนั้นจะถูกจัดให้เกิดขึ้นก่อนการประลองอื่น และแต่ละคนจะได้รับสิทธิสองครั้งในการท้าประลอง และผู้ถูกท้าประลองจะต้องไม่สามารถปฏิเสธได้จนกว่าจะครบ 10 ครั้ง

“เงียบหน่อยเจ้าพวกเด็กเวร ต่อแต่นี้ไปข้าขอประกาศเริ่มศึกชิงอันดับประจำเดือนนี้ เช่นเดิม ผู้ประสงค์จะชิงอันดับจากผู้ชิงอันดับให้ก้าวออกมาและประกาศนามของตนและผู้ที่ต้องการท้าประลอง”

เสียงของผู้อาวุโสหยุดลงก่อนจะมีศิษย์อายุ 22 – 25 ปี 8 คนก้าวเดินออกมา แต่ละคนล้วนเป็นศิษย์ในอันดับทั้งสิ้น สามคนก่อตั้งจิตขั้นที่ 9 และอีกห้าคนขั้นที่ 8 สายตาของพวกเขาส่งให้กันก่อนจะยิ้มเหี้ยมขึ้นมา

“ข้าตงเว่ย อันดับที่ 75 ข้าปิงเลี่ย อันดับที่ 69 ข้า...... พวกข้าทั้ง 8 คน ขอท้าประลองผู้รั้งอันดับที่ 17 หยางอี้!”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะเล็กแหลมของซูเฉินดังก้องออกมาจากกลุ่ม ระดับก่อตั้งจิต 8 คน? พวกโง่นี่เอาอะไรคิดจะมาท้าประลองหยางอี้ อย่าว่าแต่พวกมัน 8 คนเลย ในกลุ่มนี้ยกเว้นเทียนเจินเซียงต่อให้ร่วมมือกันจะชนะหยางอี้หรือเปล่ายังมิรู้เลยด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่าเจ้าบ้านี้กระทั่งทุบตีข่งเย่หลงจนหมดสภาพมาแล้ว

“พวกโง่ไม่เจียมเสียจริง”

อี้เสวี่ยชิงเองก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา นางนั้นเป็นคนเย็นชาและไม่แยแสพวกที่อ่อนแอมาแต่ไรแล้ว ยิ่งเห็นพวกสัตว์กินพืชหาญกล้าท้าทายสัตว์กินเนื้อเช่นนี้ยิ่งชวนให้หงุดหงิด

“แหมๆ ดูเหมือนน้องหยางเองก็มีเรื่องวุ่นวายไม่น้อย”

“คงจะเป็นคนที่ชื่อเฉินซิที่อยู่เบื้องหลัง เฮ้อ...รนหาที่โดยแท้”

ซิวซานกับเจินเซียงคุยกันอย่างเบื่อหน่าย คนอื่นอาจจะรู้ถึงความสามารถของหยางอี้ แต่พวกเขารู้ดีว่านอกจากความสามารถแล้วหยางอี้เป็นคนที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง น่าสงสารพวกตาฝ้าฟางที่ไม่รู้กระทั่งสองเรื่องนี้ แล้วยังกล้ามาหาเรื่อง

ผู้อาวุโสหัวล้านหรี่ตามองเล็กน้อยทว่าก็มิได้กล่าวอันใด นอกจากถามหาคนอื่นว่ามีอีกหรือไม่ เมื่อการแสดงตัวจบลงการประลองก็เริ่มขึ้นทันที การชิงอันดับสมารถกระทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นต้องมีลานประลอง ขอเพียงมีผู้อาวุโสเป็นพยานสามารถเริ่มได้ทันที

หยางอี้ไม่ได้ใส่ใจกับทั้ง 8 คนนี้แม้แต่น้อย ตามจริงในหัวเขาตอนนี้คิดเพียงแต่เรื่องฝึกฝนควบคุมไฟเท่านั้น ชายหนุ่มต้องการจบการประลองชิงอันดับให้เร็วที่สุด

หยางอี้ก้าวออกมาก่อนจะมองไปยังทั้ง 8 คน เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหากปล่อยเรื่องนี้ไว้จะสร้างปัญหาน่ารำคาญให้ไม่หยุดหย่อน ดังนั้นควรจะเร่งมือจัดการตัวต้นเรื่องเสียที แม้จะเป็นคนไม่รู้จักกันทว่าเมื่อเป็นศัตรูหยางอี้ย่อมไร้ความปราณี ในแววตาของชายหนุ่มปรากฎเจตนาฆ่าออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะหายไป

“ผู้อาวุโส จะเป็นไรหรือไม่หากจะให้จบในรอบเดียว ข้ายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำในวันนี้”

หยางอี้โพล่งออกมาทำให้ผู้อาวุโสหัวล้านหันมามองอย่างประหลาดใจ ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตกลง ตัวเขาเองก็มิได้รับรายงานใดๆเกี่ยวกับหยางอี้ อาจจะเป็นเพราะเกิดเรื่องมารทลายฟ้าเข้าโจมตีเมืองหลวงขึ้น ผู้อาวุโสของสำนักที่ออกไปจัดการทดสอบจึงเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการ ดังนั้นวีรกรรมของหยางอี้จึงมิได้มีใครเอ่ยออกมานอกจากเหล่าศิษย์ที่เข้าทดสอบกับหยางอี้ที่รู้ถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่ม

“เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเลย เชิญศิษย์พี่เข้ามาพร้อมกัน”

หยางอี้กล่าวออกมาทำให้ศิษย์เก่าต่างระเบิดเสียงหัวเราะ เจ้าเด็กนี่ช่างไม่เจียมตัว 8 ต่อ 1 มันเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน

“อวดดียิ่งนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักคำว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

หนึ่งในแปดคนนั้นเอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล ทุกคนต่างโกรธเกรี้ยวเมื่อโดนหยางอี้ดูถูก พลังปราณก่อตั้งจิตระดับสูงของพวกเขาระเบิดออกมาพร้อมกัน ก่อนที่แต่ละคนจะพุ่งเข้าหาหยางอี้และใช้ออกด้วยทักษะของตนเอง

ส่วนหยางอี้เพียงยืนนิ่งหลับตาลงอย่างสงบเท่านั้น ถ้อยคำปรามาสต่างดังออกมาจากปากศิษย์เก่าไม่หยุดหย่อน ทว่าชายหนุ่มมิเก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย ส่วนพวกหน้าใหม่ทั้งหลายที่โดนกดดันจากศิษย์เก่าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาต่างอดทนรอให้หยางอี้ตอกหน้าพวกปากมากนี้แทบไม่ไหว ในใจแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อนึกถึงสีหน้าของพวกนั้นหลังจากรู้ความจริง

ทั้ง 8 คนพุ่งเข้าหาหยางอี้ด้วยความรวดเร็ว ทักษะแตกต่างกันถูกใช้ออกอย่างเต็มกำลัง แม้กฎของสำนักจะห้ามต่อสู้ถึงชีวิตทว่าหากเป็นการประลองอย่างเป็นทางการเช่นนี้นับว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ อีกทั้งครั้งนี้เป็นหยางอี้ที่อวดดีจนเกินไป แม้ผู้อาวุโสมาเองก็ยังเอาผิดพวกเขามิได้ ต้องรู้ว่าค่าจ้างครั้งนี้จากเฉินซิทำให้หัวใจพวกเขาต่างสั่นไหว

ฝ่ามือจาก 8 ทิศพุ่งเข้ามาทั้งหมัดทั้งฝ่าเท้าล้วนมีเป้าหมายเดียวกันทั้งสิ้น พลังปราณถูกกระตุ้นผ่านทักษะของแต่ละคนทำให้การโจมตีผสานนี้น่ากลัวราวกับพายุโหมกระหน่ำ ทว่า....

“เฮ้อ ข้าคงคิดผิดไป การเปิดเผยพลังอาจจะทำให้ข้าอยู่เป็นสุขมากกว่านี้ เจ้าพวกนี้คงคิดว่าข้าเป็นหมูกระมัง”

เดิมทีชายหนุ่มไม่ต้องการโดดเด่นจนเกินไปพร้อมรำคาญปัญหาที่จะตามมาจากพวกขี้อิจฉา ทว่าผลกลับกลายเป็นว่าการปกปิดพลังกลับล่อพวกหนอนแมลงเข้ามามากจนเกินไป

เมื่อการโจมตีจากทั้ง 8 คนเข้ามาถึงระยะประชิดตัว หยางอี้พลันลืมตาขึ้น ลมปราณในร่างหมุนเวียนโคจรผ่านเส้นชีพจรตามกระบวนการทักษะซ่อนจันทร์ ก่อนจะยกเลิกการอำพรางพลังที่ปกปิดไว้ ชั่วพริบตาบรรยากาศรอบตัวพลันสั่นไหวฝุ่นดินและเศษหินลอยขึ้นเหนือพื้น ทั่วทั้งร่างกายรูขุมขนเปิดอ้าก่อนที่กระแสพลังปราณจะระเบิดออกมารอบทิศ

ปัง!

ตูม!

ทั้ง 8 คนที่พุ่งเข้ามาโจมตีพลันกระเด็นกระดอนออกไปหลายเมตร แต่ละคนกระอักเลือดคำโตไม่สามารถลุกยืนขึ้นได้ พลังปราณระดับปฐพีขั้นสองที่เกือบจะก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 3 ของหยางอี้ที่ระเบิดออกมานั้นรุนแรงจนเกินไป ด้วยขนาดเส้นลมปราณและความหนาแน่นของชายหนุ่มมากกว่าผู้อื่น 2 ถึง 3 เท่า แล้วพวกกระจ้อยร่อยระดับก่อตั้งจิตจะทนไหวได้อย่างไร เพียงแรงกดดันพวกนั้นก็มิอาจยืนอยู่ได้แล้ว ไหนเลยจะต้องพูดถึงการถูกระเบิดออกมาในระยะประชิดเช่นนี้ มี 3 คนถึงกับหมดสติไปในทันที

บรรยากาศกลายเป็นเงียบกริบ แม้การบรรยายจะยาวนานทว่าเวลากลับผ่านไปไม่ถึงสิบลมหายใจตั้งแต่ต้นจนจบ เหล่าศิษย์ที่ยืนล้อมดูหลายคนถูกผลักดันให้ถอยออกไป หลายคนกระทั่งยืนยังทำไม่ได้ ระยะห่างของปฐพีกับก่อตั้งจิตนั้นก็เหมือนกับคนธรรมดากับผู้ฝึกตนขั้นต้น มันต่างกันจนเกินไป หยางอี้ต้องการสะกดข่มทุกคนอย่างแท้จริง พลังปราณถูกแผ่ออกไปสร้างแรงกดดันเป็นวงกว้างกว่า 10 เมตร ขนาดพวกเจินเซียงยังรู้สึกถึงแรงกดดันจนอี้เสวี่ยชิงหงุดหงิดและตะโกนออกมา

“ไอ้เจ้าบ้า เจ้าจะข่มเหงพวกเราด้วยรึไง”

หยางอี้เมื่อได้ยินเสียงเล็กใสของนางก็หยุดปล่อยแรงกดดันทันที ก่อนจะหันมายิ้มเจื่อนๆเป็นเชิงขอโทษให้กับพวกนาง เมื่อบรรยากาศความเงียบถูกทำลายลง พฤติกรรมของผู้ชมต่างสลับกันอย่างเห็นได้ชัด ศิษย์ใหม่ต่างโห่ร้องกันอย่างคับคั่งส่วนศิษย์เก่าที่พ่นถ้อยคำดูถูกก่อนหน้านี้ต่างเงียบกริบก่อนจะมีใบหน้าที่ขาวซีด ผู้อาวุโสหัวล้านเองก็พูดมิออกเช่นกัน

หากกล่าวว่ากลุ่มของเทียนเจินเซียงนั้นเป็นดั่งกลุ่มของปีศาจอัจฉริยะ หยางอี้ก็เป็นปีศาจในหมู่ปีศาจแล้ว คนอื่นอยู่ในระดับปฐพีขั้นที่สองมีอายุ 19 ปี มีเพียงอี้เสวี่ยชิงที่อายุ 18 ปี ส่วนเจินเซียงนั้นระดับ 3 ทว่าอายุ 20 ปีไปแล้ว แต่หยางอี้ล่ะ เด็กหนุ่มผู้นี้อายุเพียง 16 ปี แต่ระดับการบ่มเพาะเกือบจะเทียบเคียงได้กับเทียนเจินเซียงแล้ว นี่ เขาเป็นปีศาจจากที่ใดกัน

ศิษย์อีก 5 คนที่ยังไม่หมดสติรีบกล่าวยอมแพ้ทันที ในใจพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับสาปแช่งเฉินซิ ผู้ใดบอกว่าเป็นงานง่ายๆ? ผู้ใดบอกว่าหยางอี้อ่อนแอ? มารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่หยางอี้อาศัยกลุ่มของปีศาจน้อยพวกนี้ผ่านการทดสอบเข้ามาแล้ว ตัวหยางอี้เองยังโดดเด่นที่สุดในกลุ่มเสียด้วยซ้ำ

การประลองจบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าดูถูกหรือก่อกวนชายหนุ่มอีก หยางอี้ครุ่นคิดว่าจะเลือกท้าชิงอันดับไหนดี การประลองอื่นๆ ก็เริ่มขึ้นก่อนแล้ว

ผ่านไป 1 ชั่วยามเหลือเพียงผู้ท้าชิง 10 คนเท่านั้น และนั่นคืออันดับที่ 11-20 ที่จะท้าชิงกับ 10 อันดับแรก และการท้าชิงอันดับของเดือนนี้คือประวัติศาสตร์ที่จะถูกบันทึกไว้ของเขาทดสอบ เพราะที่แล้วมาการชิงอันดับประจำเดือนมีเพียง 1 หรือ 2 อันดับเท่านั้นในสิบอันดับแรกที่มีการเปลี่ยนออก ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะเป็นเช่นวันนี้ เพราะตอนนี้อันดับที่ 2 ถึง 10 ถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว 4 คนคือพวกเจินเซียง และอีก 5 คนคือศิษย์ที่ปิดด่านฝึกฝนแล้วใช้โอกาสนี้ในการชิงอันดับที่ 6-10 มาได้

และตอนนี้คือสิ่งที่ทุกคนรอคอย เมื่อเหลือเพียงหยางอี้เป็นผู้ท้าชิงคนสุดท้าย และมีเพียงเรือนไม้หลังเดียวที่ยังไม่ถูกท้าชิง มันคือเรือนไม้ที่เป็นที่ของอันดับหนึ่งของเขาทดสอบ เล้งซุน ผู้มีฉายาว่า อสูรสายนอก

บรรยากาศภายในบริเวณหน้าเรือนไม้ลำดับหนึ่งเต็มไปด้วยความเงียบ กว่า 3 ปีที่ผ่านมา เรือนไม้ลำดับหนึ่งไม่เคยถูกท้าชิงมาก่อน เล้งซุนเองก็ไม่ปรากฎตัวมากว่า 3 ปีแล้วเช่นกัน มีเพียงช่วงเวลารับทรัพยากรเท่านั้นที่เรือนไม้หลังนี้จะถูกเปิดออก

ไม่มีใครรู้ว่าบัดนี้ระดับการบ่มเพาะของเล้งซุนอยู่ที่ระดับใดในตอนนี้ แต่เหตุผลที่ไม่มีใครกล้าไปท้าทายนั่นเพราะ เล้งซุนเป็นคนเดียวที่อยู่ในระดับปฐพีของศิษย์สายนอก ด้วยเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนทำให้เขาเก็บตัวฝึกฝนไม่ยอมออกจากเรือนไม้และไม่ยอมเข้าทดสอบเพื่อเป็นศิษย์สายใน

หยางอี้ที่สอบถามข้อมูลของเล้งซุนจากศิษย์บางคนก็ได้รับข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อสามปีก่อนเล้งซุนเป็นคนที่โดดเด่นอย่างมากของศิษย์สายนอก เขาเข้าสำนักเมื่ออายุ 20 ปี และใช้เวลา 5 ปีในการไปถึงระดับปฐพีขั้นที่ 2 ทว่าในการทดสอบครั้งนั้น เล้งซุนกลับเจอเข้ากับศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่งของสำนัก และมีเรื่องราวกันเล็กน้อย และในการทดสอบครั้งนั้นศิษย์คนนี้คือผู้ที่รับหน้าที่ทดสอบเล้งซุน ด้วยการที่เขาเป็นถึงศิษย์สายในลำดับต้นๆทำให้เล้งซุนถูกกลั่นแกล้งและได้รับความอับอายอย่างมาก

หลังจากการพ่ายแพ้ในครั้งนั้นเล้งซุนก็ไม่ปรากฎตัวออกมาอีกเลย ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมานี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเล้งซุนอยู่ในระดับใด

หยางอี้แม้จะไม่คิดมากทว่าก็มิได้ประมาทเช่นกัน ต้องรู้ว่านี่คือผู้ที่อยู่ในระดับปฐพีมามากกว่าหลายปีแล้ว ระดับความเข้มข้นของพลังปราณและความเสถียรไม่อาจเทียบได้กับพวกศิษย์รุ่นใหม่ที่เพิ่งเลื่อนระดับมาได้ไม่นานเช่นพวกเจินเซียง นั่นเป็นเหตุว่าทำไมศิษย์ที่โดดเด่นที่มีการบ่มเพาะพลังระดับเดียวกับพวกผู้อาวุโสจึงไม่กล้ายั่วยุเหล่าเฒ่าชรา

“ข้าหยางอี้ ศิษย์สายนอกลำดับที่ 17 ขอท้าประลองชิงอันดับที่ 1 กับศิษย์พี่เล้งซุน!”

เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้งทันที มีหลายคนที่คิดว่าหยางอี้จะไม่กล้าท้าประลองกับเล้งซุน อันที่จริงหน้าใหม่ของ 10 อันดับแรกหยางอี้ยังคงสามารถท้าประลองได้ตามกฎของสำนัก ทว่าแล้วอย่างไร ? ชายหนุ่มผู้นี้ล้วนต้องการความท้าทาย นี่มิใช่การประลองเอาชีวิตกัน หยางอี้เองก็มิได้ทดสอบฝึมือตนเองมานานแล้ว... นาน? กับคนอื่นนั้นอาจจะผ่านไปเพียง 1 เดือน ทว่ากับหยางอี้อยู่ในมิติพิเศษนั้นช่วงเวลาได้ผ่านมามากกว่าผู้อื่นหลายเท่านัก ชายหนุ่มเองก็เริ่มคันไม้คันมือขึ้นมาแล้ว พวกขี้ปะติ๋วลิ่วล้อที่เฉินซิส่งมาจะเทียบได้อย่างไรกับเล้งซุน

แอ้ดดดด!

เสียงประตูเรือนไม้ถูกเปิดออก พร้อมกับไอพลังปราณที่แผ่ทะลักออกมา เหล่าศิษย์คนอื่นๆต่างลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อสูรสายนอกนั้นเป็นดั่งตำนานของเขาทดสอบ ไม่มีใครไม่ครั่นคร้ามถึงความแข็งแกร่งของเขา ทุกคนต่างรู้ว่าเล้งซุนนั้นแข็งแกร่งพอที่จะเข้าเป็นศิษย์สายในได้นานแล้ว ทว่าด้วยความเจ็บแค้นที่ถูกทำให้อับอายจึงทำให้เขารั้งอยู่เป็นศิษย์สายนอกไม่ยอมเข้าทดสอบ

ท่ามกลางความมืดมิดของเรือนไม้ด้านใน ร่างของชายคนหนึ่งค่อยๆปรากฎออกมา ทั้งร่างเต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวพรรณหยาบกระด้าง หนวดเครายาวเฟ้อพร้อมกับผมสีดำที่ยาวพะรุงพะรัง หยางอี้มองไปแว้บเดียวถึงกับคิดในใจว่า ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเล้งซุนเป็นเพียงศิษย์สายนอก ด้วยภาพนี้หากบอกว่าเล้งซุนเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักจะน่าเชื่อถือมากกว่า

“เจ้าคือคนที่ท้าทายข้า?”

เล้งซุนมองไปยังหยางอี้ก่อนจะเอ่ยถามออกมา ชายคนนี้ไม่ได้ปล่อยแรงกดดันอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ทว่าบรรยากาศรอบตัวกลับเต็มไปด้วยความดุดัน แกร่งกล้า

หยางอี้พยักหน้าคราหนึ่ง ขณะที่เล้งซุนลอบสำรวจชายหนุ่มเบื้องหน้าพลางพยักหน้าหงึกๆ ไปด้วย ก่อนจะกล่าวถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีเจตนาดูถูกเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอจะให้ข้าสนุกหรือไม่?”

“แน่นอน ข้าคิดว่าการต่อสู้ของเราคงเป็นอะไรที่น่าสนุกไม่น้อย”

หยางอี้เองก็ถูกบรรยากาศของเล้งซุนชักนำจนกระหายในการต่อสู้แล้วเช่นกัน

“ฮ่าๆๆๆ ดี ดี ข้าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานแล้ว ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนทดสอบแล้วกัน”

เล้งซุนกล่าวออกมาพร้อมกับเดินหมุนตัวกลับไปเว้นระยะห่างกับหยางอี้ 10 เมตร และยืนตัวตรงเพื่อรอการปะทะ

แม้จะเป็นเพียงการยืนนิ่งๆ ทว่าสิ่งที่ทุกคนรู้นั้นราวกับเล้งซุนคือภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง ภูเขาที่ไม่อาจสั่นคลอนและพร้อมรับทุกการโจมตีจากศัตรูเบื้องหน้า

เหล่าคนดูถอยออกเป็นวงกว้างการปะทะกันของระดับปฐพีไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับไหวหากโดนลูกหลง หยางอี้ตั้งสมาธิไม่หลงเหลือความวอกแวกในสายตา สูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อนจะค่อยๆระบายออกมา พร้อมกับบุคลิกที่เปลี่ยนไป จากเด็กหนุ่มคนก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายในการต่อสู้กลับกลายเป็นดังนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ

เล้งซุนสัมผัสได้ถึงสายตาของหยางอี้ก็ไม่รอช้า มุมปากยกยิ้มหัวใจสั่นไหวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พลังปราณระดับปฐพีขั้นที่สองถูกปลดปล่อยออกมาทันที เศษฝุ่นใบไม้แห้งปลิวกระจายว่อนออกไปเป็นวงกว้าง หยางอี้โคจรพลังปราณต้านแรงกดดันก่อนจะพุ่งเข้าหาเล้งซุนอย่างซึ่งหน้า

ปัง!

เสียงดังสนั่นจนแสบแก้วหูสะเทือนลั่นไปยังโสตประสาทของผู้ชม ไอพลังปราณตกค้างจากหมัดต่อหมัดระเบิดกระจายออกเป็นประกายไฟ

ปัง ปัง ปัง ปัง

หมัดต่อหมัดรัวใส่กันไม่ยั้ง หัวใจของผู้คนกลายเป็นสั่นไหวเมื่อมองไปยัง ทั้งคู่ที่ต่อสู้กันอยู่เบื้องหน้า ลำตัวที่ตั้งตรงราวกับต้นไม้สูงใหญ่ สองขาที่จมปลักอยู่กับพื้นดินไม่อาจสั่นคลอนดั่งรากลึกของต้นไม้พันปี สองคนที่ระดมสาดเข้าหากันในระยะประชิดราวกับกระสุนปืนใหญ่ที่ทรงพลัง

10 หมัด

50 หมัด

100 หมัด

ผ่านไป 1 ก้านธูปทั้งคู่ซัดกันไปกว่าร้อยหมัดแล้ว พื้นดินโดยรอบถูกแรงปะทะอันหนักหน่วงกดทับจนเกิดเป็นแอ่งกว้างกว่า 10 เมตร โดยมีเพียงส่วนเล็กๆที่ทั้งสองยืนปักหลักอยู่ที่ยังคงสภาพไว้

เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งดังออกมาจากทั้งสองคนราวกับอสูรร้ายที่ได้รับการปลดปล่อย เป็นเสียงที่สนุกสนานและบ้าคลั่งจนผู้ชมที่ได้ฟังต้องสั่นสะท้าน ตั้งแต่การต่อสู้ดำเนินมาไม่มีแม้สักคนที่ปริปากพูด ตลอดหนึ่งก้านธูปได้ยินเพียงเสียงหัวเราะและท้าทายกันเองของชายทั้งสองคน

“ฮ่าๆ ไอ้หนู เจ้าเองก็มิได้ดีแต่ปากนี่หว่า”

“ฮี่ๆ ท่านเองก็เช่นกัน”

การปะทะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เพียงกำลังต่อกำลัง ไร้ซึ่งอาวุธ ไร้ซึ่งทักษะวิชา การปะทะกันของบุรุษผู้องอาจทั้งสอง ในใจพวกเขามีเพียงเสียงร่ำร้องที่เหมือนกัน

สนุก..

สนุกมาก...

เข้ามาอีก.....

เข้ามาให้มากกว่านี้.......

“ไอ้หนู เลิกเล่นแล้วมาเอาจริงกันดีกว่า เจ้าว่างั้นไหม?”

“ข้าเองก็เบื่อแล้วเช่นกัน!”

คำพูดนี้ทำให้คนฟังต่างสั่นสะท้าน เล่น? เอาจริงดีกว่า? บัดซบ นี่พวกเจ้ายังไม่เอาจริงกันอีกเรอะ!

ทันใดนั้นทั้งคู่ก็แยกออกจากกันระยะหนึ่ง ก่อนที่มุมปากของเขาทั้งสองจะยิ้มเหี้ยม เล้งซุนเริ่มโคจรพลังปราณตามวิถีของทักษะก่อนที่ร่างกายจะเริ่มคล้ำลง

ศิษย์บางคนที่มองออกต่างตกตะลึงก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ

“นั่น กายาทมิฬ ไม่น่าเชื่อว่าศิษย์พี่เล้งซุนจะฝึกสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว”

กายาทมิฬเป็นทักษะสายเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ เป็นทักษะในระดับปฐพีขั้นสูง เล้งซุนได้รับมาเมื่อ 3 ปีก่อนโดยแลกกับแต้มที่เก็บ 5 ปี ด้วยการทุ่มเทอย่างหนัก เขาตัดสินใจจะใช้ทักษะนี้ในการลบความอับอายเมื่อครั้งก่อน

“ระวังด้วยเจ้าหนู หมัดของข้าตอนนี้ป่นได้กระทั่งผาหิน!”

แกร่กก

หมัดของเล้งซุนแผ่พุ่งพลังปราณออกมาก่อนที่มันจะค่อยควบแน่นกลายเป็นผลึกสีดำเกาะกุมยาวไปถึงหัวไหล่ เล้งซุนยิ้มออกมาก่อนจะเริ่มขยับร่างกายเป็นฝ่ายบุกเข้าหาหยางอี้บ้าง

เพียงหมัดขวาของเขาถูกง้างออกก็บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวคำรามราวกับมังกรคลั่ง ประกายไฟแล่นผ่านเมื่อเสียดสีกับอากาศ เล้งซุนซัดหมัดเข้าสู่ทรวงอกของหยางอี้โดยไม่ออมกำลังแม้แต่น้อย นี่มิใช่เพราะต้องการเข่นฆ่าแต่เพราะตัวเขามั่นใจในฝีมือของชายหนุ่มและให้เกียรติต่อคู่ต่อสู้

หยางอี้ใช้ออกด้วยหัตถ์หลอมตะวันเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่หมัดขวาสีดำพุ่งเข้ามา เขาเอนตัวเล็กน้อยก่อนจะออกหมัดที่ร้อนแรงดั่งตะวันพุ่งเข้าปะทะโดยไม่หลีกหนี

ปัง

เสียงดังกังวานก้องสนั่นยิ่งกว่าที่ผ่านมา พลังปราณตกค้างแผ่กระจายออกจนกวาดเอาคนดูที่ยืนล้อมรอบล้มกันไม่เป็นท่า พลังระดับนี้มันเกินกว่าจะเป็นของศิษย์สายนอกทั้งสองที่ปะทะกันแล้ว เล้งซุนยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะระดมหมัดเข้าหาหยางอี้อีกครั้ง ทว่าคราวนี้มิใช่การยืนปักหลักซัดหมัดใส่กันอีกแล้ว

หยางอี้เริ่มเคลื่อนไหวหลบหลีกวนไปรอบด้าน ทว่าความเร็วของเล้งซุนเองก็มิใช่น้อยสามารถติดตามหยางอี้ที่ใช้ย่างก้าวมายาขั้นที่ 2 ได้อย่างทันท่วงที หยางอี้มิแปลกใจเลยที่คนผู้นี้ถูกขนานนามว่าเป็นอสูรสายนอก อย่าว่าแต่สายนอก ต่อให้เขาเข้าเป็นศิษย์สายในหยางอี้ก็มั่นใจว่าเขาจะเป็นดั่งมังกรในหมู่พยัคฆ์

การโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรงของทั้งคู่ทำให้คนดูต้องสั่นสะท้านไปถึงจิตใจ แม้แต่ผู้อาวุโสหัวล้านเองก็ไม่เว้น เขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเล้งซุนดี แม้ว่าตอนนี้เล้งซุนอาจจะยังมิได้ใช้ออกด้วยความสามารถทั้งหมดทว่าหยางอี้ที่อายุน้อยกว่าถึง 13 ปียังคงสามารถรับมือได้อย่างสูสี

ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว ความคิดเริ่มขัดแย้งเมื่อสังเกตการต่อสู้ได้อีกระยะหนึ่ง สูสี? มิใช่แล้ว นี่เป็นเจ้าหนูนี่กำลังกดดันเล้งซุนเสียมากกว่า ลมหายใจของเขาถี่กระชับเมื่อรู้สึกถึงอะไรได้บางอย่าง การที่หยางอี้สามารถกดดันเล้งซุนได้นั้นเป็นเพราะความเร็ว แน่นอนว่าแม้เล้งซุนจะมีความเร็วที่ไม่ธรรมดาทว่านั่นเป็นผลจากระดับการฝึกตนที่สูงกว่าเพราะเล้งซุนเป็นผู้ฝึกตนสายพลังโดยแท้ ผ่านมาหลายปีเขายังคงทุ่มเทให้กับการเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกาย และทักษะทั้งหมดที่ฝึกฝนยังเน้นไปที่ทักษะพลังทำลายอันหนักหน่วง

ทว่า... เจ้าเด็กนี่ ทั้งที่เป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่นทางด้านความเร็ว อาจเรียกได้ว่าความเร็วระดับนี้เพียงพอที่จะขึ้นเป็นระดับแนวหน้าของศิษย์สายในเลยก็ว่าได้ แต่เขา...แต่เขากลับสามารถปะทะซึ่งหน้ากับเล้งซุนด้วยการใช้กำลังได้ เรื่องนี้...เป็นอัจฉริยะแบบใดกันที่มีความโดดเด่นทั้งสองอย่างนี้ในระดับถึงทั้งที่อายุเพียงแค่นี้

หยางอี้? ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนุ่มที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ในช่วงนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นอัจฉริยะมากความสามารถที่โดดเด่นเช่นนี้

กลับมาที่การต่อสู้ เล้งซุนถูกกดดันอย่างหนักหลังจากที่หยางอี้เริ่มใช้ความเร็วในการเข้าปะทะ ใช้จังหวะที่แม่นยำในการโจมตียังจุดบอด หมัดอันร้อนแรงรัวถี่ยิบเข้าหาเล้งซุน ชายหนวดก็กำลังเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเสียเปรียบเข้ามากขึ้น เจ้าเด็กนี่ไวเกินไป แม้จะพยายามรับหมัดที่หยางอี้ปล่อยออกมา ทว่าเล้งซุนเองก็โดนหมัดของหยางอี้เข้าไปหลายหมัดแล้ว แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งจึงทำให้เขามิได้บาดเจ็บมากนัก

ปัง!

ทั้งคู่แยกออกจากกันชั่วขณะ คนอื่นอาจจะดูไม่รู้ แต่ว่าเขาทั้งสองรู้ดีว่าต่างฝ่ายล้วนยังมิได้ใช้ออกด้วยความสามารถทั้งหมด เล้งซุนเองก็ใช้เพียงกายาทมิฬขั้น 2 ส่วนหยางอี้ก็ใช้เพียงหัตถ์หลอมตะวันขั้นที่ 4 แม้การปะทะจะดูรุนแรงทว่าทั้งคู่ต่างเลือกใช้ออกด้วยกำลังที่เหมาะสมในการรับมืออีกฝ่าย

“เอาล่ะเจ้าหนู ต่อไปจะเป็นหมัดสุดท้าย หากเจ้ายังรับได้อีกข้าจะถือว่าเจ้าชนะ!”

เล้งซุนกลายเป็นจริงจังก่อนจะจ้องมองไปยังหยางอี้ หมัดที่ถูกปกคลุมด้วยผลึกที่ดำเริ่มหลอมละลายก่อนจะกลายเป็นดั่งปลอกแขนแหล็กกล้าแนบสนิทไปกับเนื้อ ออร่าพลังปราณค่อยแผ่ออกมาอย่างช้าๆ ก็จะถูกกระตุ้นให้เกิดเป็นเปลวไฟสีแสดจากภายในราวกับปล่องภูเขาไฟที่พ่นเปลวเพลิงออกมา

หยางอี้เพียงมองไปก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล สายตาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ปราณในร่างเริ่มโคจรหมุนวนผ่านชีพจรอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นความร้อน ไอความร้อนค่อยๆถูกขับส่งออกจากรูขุมขนทีละน้อย ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาและหยางอี้มีเพียงทักษะต่อสู้เพียงทักษะเดียวคือหัตถ์หลอมตะวัน ทำให้ความเคยชินและความรู้แจ้งในวิถีของทักษะเพิ่มพูนจนในที่สุดก็บรรลุถึงระดับหลอมจันทร์ซึ่งเป็นขั้นรองสุดท้ายแล้วในตอนนี้ หลังจากค้างอยู่ที่ขั้นหลอมนภามาอยู่นานเรียกได้ว่าการต่อสู้ช่วงที่ทดสอบเข้าสำนักทำให้ชายหนุ่มพัฒนาไปได้ไม่น้อย

แสงนวลลออแผ่ขึ้นจากมือทั้งสองข้างของหยางอี้ ก่อนจะปรากฏเป็นเปลวเพลิงจางๆสีเหลืองเรืองรองอยู่รอบๆฝ่ามือ ไอความร้อนแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ลมหมุนโบกสะบัดพัดพาให้ผมดำปลิวไสว อย่าว่าแต่ศิษย์คนอื่นๆที่เห็นภาพนี้แล้วต้องรู้สึกว่าตัวเองหม่นหมอง แม้กระทั่งกลุ่มของเจินเซียงเองยังมองภาพของหยางอี้ตอนนี้ด้วยสายตาที่ชื่นชม คงมีแต่อี้เสวี่ยชิงเท่านั้นที่ใจเต้นตึกตักขมวดคิ้วเรียวยาวของนางเป็นปม เพราะไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเอง

จดจ้องกันได้ไม่นาน เหมือนดั่งหัวใจสื่อถึงกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างเตรียมพร้อม ไม่ต้องมีสัญญาณใดๆ ทั้งคู่พุ่งเข้าปะทะกันในทันทีเพื่อตัดสินครั้งสุดท้าย

เล้งซุนกระตุ้นพลังปราณภายในร่างอย่างลืมตัวเมื่อถูกบรรยาศน่าเกรงขามของหยางอี้เข้าไป พลังปราณที่แต่เดิมปลดปล่อยออกมาในระดับพฐพีขั้นที่ 2 พลันปะทุระเบิดขึ้นออกมาเต็มที่จนอยู่ในขั้นที่ 5 หมัดสีดำทมิฬพลันระเบิดออกด้วยเปลวอัคคีอันร้อนแรงราวกับจะเผาไหม้ได้ทุกสิ่ง ผู้คนที่เฝ้ามองต่างกลายเป็นหน้าซีดเผือด ไม่มีใครคาดคิดว่าเล้งซุนจะใช้ออกด้วยพลังปราณปฐพีระดับ 5 และที่สำคัญมิมีใครคิดว่าเขาก้าวไปถึงระดับนี้แล้ว

“แย่แล้ว แย่แล้ว”

อี้เสวี่ยชิงกับซูเฉินพลันหน้าซีดกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก ทว่าตอนนี้จะเข้าไปขวางก็ไม่ทันแล้ว และถึงแม้เข้าไปก็ขวางไว้ไม่ได้อยู่ดี ส่วนผู้อาวุโสหัวล้านเองก็ลงมือไม่ทันแล้วเช่นกัน

ด้านหยางอี้มิได้ใส่ใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อยสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ ยิ่งเมื่อสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเล้งซุนที่มากขึ้น ชายหนุ่มยิ่งรีดเค้นพลังปราณออกมาจนขีดสุดไม่มีออมแรง

เปลวเปลิงสีนวลที่เรืองรองบางๆอยู่รอบฝ่ามือทั้งสองต่างค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆจน มองเห็นชัดราวกับชายหนุ่มกำลังคว้าจับดวงจันทร์ไว้ในฝ่ามือ บรรยากาศอันอบอุ่นดูสงบกระจายออกไปรอบด้านโดยมีชายหนุ่มเป็นศูนย์กลาง

ภาพของทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายหนึ่งดุดันและร้อนแรง อีกฝ่ายกลับสงบ นุ่มนวลแต่ล้ำลึก

“รับหมัดแห่งความภูมิใจของข้าซะเจ้าหนู”

ดาวตกเพลิงทมิฬ!

“ท่านเองก็ลองรับหมัดของข้าเช่นกัน”

ทักษะลับ คว้าจันทร์

ปัง!!!

ฟู่วๆๆๆๆ

หมัดอันร้อนแรงและหมัดอันนุ่มนวลเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ทว่าด้วยความลึกล้ำของทักษะทั้งสองไม่มีฝ่ายใดถูกผลักให้ถอยกลับไป บอลแสงนวลลออที่ครอบคลุมฝ่ามือของหยางอี้ยังคงส่องแสงเจิดจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันอีกฝ่ายออกไป ส่วนหมัดที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงของเล้งซุนก็ปะทุออกอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อระเบิดพลังผลักดันอีกฝ่ายเช่นกัน

พลังความร้อนแรงที่ต่างกันสุดขั้วในที่สุดก็ระเบิดออกมาส่งร่างทั้งสองให้กระเด็นแยกออกจากกันในที่สุด หยางอี้กลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ ก่อนจะลุกขึ้นมากระอักเลือดคำหนึ่งใบหน้าซีดเซียว ด้านเล้งซุนเองถึงแม้จะถอยออกไปยืนได้อย่างมั่นคงแต่มีใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

อี้เสวี่ยชิงรีบวิ่งเข้ามาประคองหยางอี้ทันที ก่อนจะได้ยินเสียงของเล้งซุนที่ดังออกมา

“ฮ่าๆๆๆๆ เยี่ยมยอด เจ้าชนะแล้วเจ้าหนู”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด