ตอนที่แล้วบทที่ 32 หลักการของนักต้มตุ๋น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 33 จิ้งจอกขาวมอบนิมิตมงคล

บทที่ 32 หลักการของนักต้มตุ๋น


บทที่ 32 หลักการของนักต้มตุ๋น

 

ถังถังเห็นเถี่ยซินหยวนจากไปโดยไร้เหตุผล จึงเอ่ยถามหญิงสาวข้างกายด้วยความงุนงงว่า “เขาจะหนีไปทำไมกัน?”

 

หญิงสาวถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่หนีคงเกิดเรื่องยุ่งแน่”

 

“จะมีเรื่องยุ่งยากอะไรได้? ท่านปู่จางเป็นผู้อาวุโสที่มีเมตตาคนหนึ่ง ไม่มีทางทำอะไรเขาหรอก” ถังถังอยากจะวิ่งไปหาชายชราเคราขาวผู้นั้น แต่กลับโดนหญิงสาวข้างกายรั้งตัวไว้ แล้วออกแรงลากนางขึ้นรถม้า จากนั้นพวกนางจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว

 

พวกโอวหยางซิวเห็นว่าผู้อาวุโสอย่างจางผู่เดินออกมาแล้ว จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินเข้าไปคารวะ

 

จางผู่เห็นโอวหยางซิวกับสหายเดินมาก็ถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เวลานี้บ้านเมืองภายในและภายนอกล้วนไม่สงบ หลี่หยวนฮ่าวรุกรานชายแดนเป็นเรื่องเร่งด่วนนัก เหตุใดพวกเจ้าถึงยังนั่งกินดื่มสุขสำราญ จอกสุราไม่เคยว่างเช่นนี้เล่า?”

 

หวังก่งเฉินเดินหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วประสานมือคารวะ ก่อนจะกล่าวตอบว่า “ท่านอาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องยิ่งแล้ว ศิษย์จะไปทำงานเดี๋ยวนี้ขอรับ หวังว่าจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง”

 

จางผู่ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็แก่เฒ่าลงไปทุกวัน คำพูดคำจาเป็นดั่งลมพัดผ่านหู พวกเจ้าคงไม่เชื่อฟังหรอก แต่น่าเสียดายความรู้ความสามารถอันโดดเด่นของพวกเจ้า ในเมื่อรับเงินเดือนจากราชสำนักมาแล้ว ก็ควรทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังถึงจะถูก เหตุใดถึงได้มาเสียเวลาอยู่กับการเดินหมาก ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

 

โอวหยางซิวผู้มีสีหน้าแดงก่ำรีบเอ่ยตอบว่า “ท่านอาจารย์อย่าได้ขุ่นเคืองไป เมื่อครู่พวกข้าก็คิดได้แล้ว ว่านี่เป็นเพียงกลลวงเท่านั้น...”

 

“กลลวง?”

 

จางผู่มีสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองโอวหยางซิว ก่อนจะกล่าวว่า “หรือพวกเจ้าคิดจะแจ้งทางการ?”

 

โอวหยางซิวรีบร้อนตอบว่า “อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง...”

 

“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมรึ? เกรงว่าคงไม่ใช่แค่นั้น เจ้าลองดูหมากบนกระดานให้ดี เด็กที่ไหนจะเดินออกมาจากวังวนนี้ได้กันเล่า

 

สถานการณ์บนกระดานหมากผันแปรไร้จุดสิ้นสุด ลึกซึ้งยากคาดคะเน มองเพียงผิวเผิน มักรู้สึกว่าเดินผ่านหมากไร้ค่าไม่กี่ก้าวก็จะรุกฆาตได้ แต่ว่าพอเดินเข้าจริงทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนี้ เบื้องหลังยังมีหมากคืนชีพ หมากไร้ค่า กลลวงสังหารมากมายนับไม่ถ้วน จึงมีอันตรายรอบด้านและหลุมพรางซับซ้อน

 

เรียกได้ว่า ‘หนึ่งเชื่อมสองดึงสามประสาน เบื้องหลังเผยคมทวนปลิดวิญญาณ’ ฝีมือเฉียบขาดถึงเพียงนี้เกรงว่าคงไม่ใช่กลหมากที่เด็กคนหนึ่งจะควบคุมได้ เรื่องนี้ต้องมีผู้ทรงภูมิล้ำเลิศสักคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่เวลานี้ข้ายังคิดไม่ออกว่า เหตุใดเขาถึงต้องท้าทายสำนักไท่เสวียของเราด้วย”

 

พวกหวังก่งเฉิน โอวหยางซิวต่างมองสบตากันด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านจางผู่ถึงกล่าวเช่นนี้ได้ พวกเขาเห็นว่าเด็กคนหนึ่งวางกลหลอกเอาเงินเพียงแค่นั้น สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นแผนการร้ายต่อกรกับสำนักไท่เสวียไปเสียได้

 

จางผู่ตบก้านธงเก่าๆ ผืนนั้นแล้วเอ่ยว่า “ธงผืนนี้ทำให้บัณฑิตไท่เสวียไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้อีกนาน เสียรู้เด็กคนหนึ่งยิ่งทำให้พวกเราอัปยศอดสู ช่างเถิด..ทำตัวเองกันทั้งสิ้น ข้ายอมกลืนผลไม้ขมลูกนี้ก็ได้

 

ในเมื่อมีแผนแรก เช่นนั้นก็ต้องมีแผนที่สองตามมา ข้าจะรอดูต่อไป อย่างไรก็ต้องรู้เข้าสักวันว่าใครกันที่คิดกลั่นแกล้งข้า”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เห็นเถี่ยซินหยวนนำกระดานหมากสองชุดที่เขาเพิ่งทำเมื่อตอนเที่ยงโยนเข้าไปในกองไฟ ก็เอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจว่า “เมื่อวานเจ้ายังบอกว่าจะทำให้กิจการโกยเงินนี้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วทำไมวันนี้มาถอนตัวกลางคันเล่า?”

 

เถี่ยซินหยวนเอ่ยตอบเรียบเรื่อยตามอารมณ์ว่า “หลักการสำคัญที่สุดของนักต้มตุ๋นก็คือยิงศรดอกหนึ่งเปลี่ยนที่หนึ่ง มิฉะนั้นอาจจะโดนรวบตัวได้”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ต้มตุ๋นใครสักหน่อยนี่”

 

“เจ้าประเมินข้าสูงเกินไป นี่เป็นกลอุบายใช้ในการต้มตุ๋นจริงๆ ที่เรียกว่ากลหมากปริศนาก็เพราะไม่มีทางแก้ทางหมากได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินอาจารย์คนหนึ่งกล่าวไว้ แค่เป็นวิธีใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ของผู้อื่นจนได้เงินมาก็นับว่าเป็นการต้มตุ๋นแล้ว”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เอ่ยตอบอย่างไม่พอใจว่า “อาจารย์ของเจ้าเป็นพวกโง่งม บัณฑิตไท่เสวียพวกนั้นไม่ใช่คนโง่หรอกนะ เจ้าไปถามพวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับ ฉะนั้นหลอกเอาเงินนิดหน่อยมาเลี้ยงดูทุกคน ก็เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือ”

 

เถี่ยซินหยวนเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มว่า “อย่าพูดถึงอีกเลย คนในสำนักไท่เสวียเดิมทีก็เป็นพวกแพ้ใครไม่เป็น ข้าวางกลหมากปริศนาไปเพียงสองวัน ก็มีตาเฒ่าใกล้ลงโลงออกมาคิดบัญชีกับข้าแล้ว ข้าคงทำเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าขืนยังทำต่อไป พวกเราต้องโดนฟ้องร้องจับตัวส่งศาลไคเฟิงแน่”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ยิ่งโมโหกว่าเดิม “ก็แค่เรื่องยินดีพนันยอมรับความพ่ายแพ้ ทำไมต้องทำให้เรื่องไปถึงทางการด้วย?”

 

เถี่ยซินหยวนจ้องเขม็งที่ค้อนในมือของเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ในมือเจ้ามีค้อนอยู่อันหนึ่ง เจ้าจะจัดการอย่างไรกับรอยบากที่นูนขึ้นมาบนโต๊ะ?”

 

“เอาค้อนทุบก็ได้แล้ว”

 

“เจ้าจะจัดการอย่างไรกับตะปูตรงธรณีประตู”

 

“เอาค้อนทุบลงไปไงเล่า!”

 

“เจ้าจะจัดการอย่างไรกับแมลงบนพื้นดิน?”

 

“ทุบพวกมันให้แบนก็ได้แล้ว!”

 

“เจ้าลองคิดดูสิ ขอแค่ในมือเจ้ามีค้อนสักอันหนึ่ง เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหาใด วิธีแก้ไขอย่างแรกที่นึกออกก็คือการใช้ค้อนทุบมัน แต่เจ้ากลับไม่เคยคิดถึงวิธีแก้ทางอื่นเลย

 

หน่วยงานทางการก็เป็นเหมือนค้อนในมือพวกเขา ทันทีที่เสี้ยนหนามหรือแมลงน้อยๆ โผล่หัวออกมา พวกเขาไม่ใช้ค้อนทุบสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก เพราะนี่เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงน้อยที่สุด”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ทิ้งค้อนในมือไปแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? พี่น้องทุกคนต้องมีอาหารประทังชีวิตนะ เงินที่พวกเรามีเอาไปแลกเป็นเครื่องมือหมดแล้ว จากนี้อีกหลายวันจะเอาอะไรให้พวกเขากินอิ่มได้?

 

อีกไม่นานจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง ได้เวลาเตรียมเสื้อผ้าช่วงฤดูหนาวให้พวกเขาแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องใช้เงินอีกก้อนใหญ่ ไม่สู้เอาเครื่องมือพวกนี้ไปจำนำให้หมดเสียดีกว่าหรือ”

 

เถี่ยซินหยวนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่พวกเสี่ยวฝูเอ๋อร์ซึ่งกำลังเก็บกวาดห้องเก่าซอมซ่อแล้วกล่าวว่า “จะต้องมีวิธีดีๆ ทุกคนกำลังทำงานเต็มที่อยู่ จะต้องมีวิธีแน่”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ลดเสียงลงต่ำแล้วถามว่า “ข้าได้ยินสุ่ยจูเอ๋อร์บอกมา วันนี้เจ้าเรียนเรื่องจะเป็นโจรอย่างไรจากในห้องเรียนมารึ?”

 

เถี่ยซินหยวนได้ยินเข้าก็สะดุ้งจนแทบกระโดดตัวลอย เขารีบร้อนอธิบายว่า “ในตำราว่าไว้ ราษฎรอดอยาก ถึงได้เดินเส้นทางนี้ ถ้าหากเลือกเดินเส้นทางนี้เมื่อใด ก็ไม่มีทางให้ถอยหลังกลับแล้ว หรือว่าเจ้าคาดหวังให้เด็กตัวเล็กๆ อย่างพวกเราไปเป็นโจร? เจ้าคิดว่าพวกเราจะปล้นใครได้?”

 

“แล้วเป็นโจรมันไม่ดีตรงไหนกัน หลี่หยวนฮ่าวก็ก่อกบฏไม่ใช่รึ? ต้าซ่งไม่เห็นจะทำอะไรเขาได้เลยสักนิด?

 

ขอเพียงเป็นโจรที่ยิ่งใหญ่มากพอ ใครจะกล้าปฏิเสธกันเล่า?”

 

หลังเถี่ยซินหยวนจ้องมองเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์อยู่นานก็กล่าวด้วยความโมโหว่า “มารดามันเถอะ...เจ้านี่มันคนทูเจวี๋ย[1]ชัดๆ”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์สวนกลับอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ข้าเป็นชาวฮั่นต่างหาก”

 

เถี่ยซินหยวนเห็นว่าเด็กคนอื่นกำลังมองมาทางพวกเขาสองคนแล้ว จึงรีบปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ได้ๆ เจ้าไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย เรื่องเงินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าหาวิธีได้แน่ อย่าเอาแต่คิดเรื่องจะไปเป็นโจร ข้ายังหวังให้พวกเขาทุกคนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ ถ้าหากไปเป็นโจรดวงกุด สิ่งที่ข้าทำในตอนนี้จะมีความหมายอะไรเล่า?”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์รั้งตัวเถี่ยซินหยวนที่ตั้งท่าจะจากไปเอาไว้ “เจ้าไม่ต้องคิดแล้วว่าจะขายภาพร่างหน้าไม้วิเศษนั่นอย่างไร ของพรรค์นั้นเผาทิ้งไปเสียก็ดี ก็เหมือนอย่างที่เจ้าว่าเอาไว้แม้มันจะล้ำค่า แต่ถ้าตกอยู่ในมือพวกเราแล้วเท่ากับเป็นดาบสังหารคน”

 

เถี่ยซินหยวนตบมือของเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เบาๆ “ข้าไม่ได้โง่เขลาปานนั้น ให้เวลาข้าสักสองสามวัน จะต้องหาวิธีดีๆ ได้แน่”

 

“แต่เจ้าไม่ต้องใช้เงินของมารดาอีกล่ะ นางแบ่งอาหารให้พวกเรากินบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จะปล่อยให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อนเพราะพวกเรา จนกลายเป็นขอทานไปอีกไม่ได้”

 

“ข้ารู้แล้ว” เถี่ยซินหยวนโบกไม้โบกมือไปด้านหลังตนแล้วสาวเท้ายาวๆ เดินกลับบ้าน

 

เมื่อหวังโหรวฮวากลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าบุตรชายกำลังรวบรวมสมาธิเขียนอักษรตัวใหญ่อยู่บนโต๊ะพอดี นางจึงแอบย่องมาด้านหลัง ดูว่าเขากำลังเขียนอะไรอยู่กันแน่?

 

หลังจากมองเห็นอักษรที่บุตรชายกำลังเขียนอยู่ หวังโหรวฮวาก็บันดาลโทสะขึ้นมา ฝ่ามือของนางฟาดเข้าที่บั้นท้ายเถี่ยซินหยวนเต็มแรง จากนั้นจึงคำรามอย่างดุดันว่า “ข้าสั่งให้เจ้าคอยหาเงินรึ ให้เจ้าคอยหาเงินอย่างเดียวตั้งแต่เมื่อไร”

 

เถี่ยซินหยวนโดนตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ขาสั้นๆ ของเขากระโดดผลุงรีบหาที่ซ่อนในบ้าน แต่บ้านหลังนี้คับแคบนัก ทำอย่างไรก็หลบฝ่ามือพิฆาตของมารดาไม่พ้น

 

หวังโหรวฮวาหยิบแผ่นกระดาษที่เถี่ยซินหยวนเขียนอักษรสองตัวว่า ‘หาเงิน’ มาสะบัดใส่หน้าแล้วสั่งกำชับว่า “เจ้าฟังข้าให้ดี เรื่องหาเงินเป็นหน้าที่ของคนเป็นแม่อย่างข้า สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือตั้งใจเรียนหนังสือ”

 

เถี่ยซินหยวนแยกเขี้ยวยิงฟันใส่นาง คราวนี้มารดาของเขาบันดาลโทสะเข้าจริงๆ แล้ว บั้นท้ายน้อยๆ ปวดแปลบไปหมด เขาไม่อยากโดนตีอีก จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านเศรษฐีไม่ต้องซื้อนา ในตำรามีข้าวมากมาย เรื่องสร้างบ้านไม่ต้องสูงใหญ่ ในตำรามีจวนทองคำ ออกนอกบ้านกลัวไร้บ่าวไพร่ ในตำรามีรถมีม้า แต่งภรรยากลัวไร้แม่สื่อ ในตำราโฉมงามดุจหยก ลูกผู้ชายมีปณิธาน หมั่นศึกษาหกคัมภีร์[2]พลัน“[3]

 

หวังโหรวฮวาโยนกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไป ก่อนจะเผยรอยยิ้มขมขื่นพลางเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ของฮ่องเต้เป็นเรื่องหลอกลวงผู้คนหรือไม่ ถ้าหากทุกคนไปเรียนหนังสือกันหมด แล้วใครจะทำนา ทำงานฝีมือ ทำมาค้าขายเล่า?”

 

เถี่ยซินหยวนรีบกล่าวว่าจาประจบสอพลอว่า “ท่านแม่มีความเห็นยอดเยี่ยมจริงๆ ผลงานของปราชญ์รุ่นก่อนที่ลูกกำลังศึกษาอยู่ก็คือ ‘รากฐานแห่งมรรคา’ ของท่านหานชางหลี”

 

“ในความเรียงรากฐานแห่งมรรคาก็กล่าวถึงเหตุผลข้อนี้นั่นเอง คำพูดของท่านตรงกับความคิดของปราชญ์ท่านนี้พอดิบพอดี ช่างน่านับถือยิ่งนัก”

 

หวังโหรวฮวาเอ่ยวาจาด้วยความมุ่งมั่นว่า “ลูกบ้านอื่นต้องไปทำนา ทำงาน ค้าขาย แต่เจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา เจ้าเป็นเด็กมีพรสวรรค์ในการเรียนโดยกำเนิด เจ้าต้องล้มเลิกความคิดจะหาเงินไปเสีย เชื่อฟังข้า จงทุ่มเทจิตใจให้กับการเรียนหนังสือ มิฉะนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”

 

ล่วงเลยเข้าสู่ยามดึกสงัด เถี่ยซินหยวนโดนความอ่อนเพลียรุมเร้าอย่างหนักอยู่ชัดๆ แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ หวังโหรวฮวาพยักหน้าหงึกหงักขณะโบกเรียกลมให้บุตรชาย

 

ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดจู่ๆ ก็มีสามลมยามค่ำคืนโชยพัด กระทบกับซี่ไม้ตรงหน้าต่างเสียงดังกึกกัก หวังโหรวฮวาสะดุ้งตกใจ จนลุกขึ้นมาปิดหน้าต่างให้สนิทอย่างลนลาน ส่วนเจ้าจิ้งจอกก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ข้างนอกยาวนานกว่าทุกครั้ง นางจึงเปิดประตูบ้านให้มันเข้ามาข้างใน มันกลับไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน เอาแต่เดินวนพันแข้งพันขาหวังโหรวฮวา

 

เถี่ยซินหยวนก็ลุกขึ้นมาบ้างแล้ว เขาตบหน้าผากเจ้าจิ้งจอกไปสองสามที มันถึงยอมสงบลงได้ แม้ว่าจะเข้าไปซุกตัวอยู่ในรังของตัวเอง แต่ดวงตาเปล่งประกายสีน้ำเงินแวววาวภายใต้แสงตะเกียงจ้องเขม็งที่เถี่ยซินหยวน ราวกับว่ามันกำลังหวาดกลัวเหลือประมาณ

 

“ไม่ใช่จะมีแผ่นดินไหวหรอกนะ?”

 

เถี่ยซินหยวนเอ่ยถามตัวเองเสียงแผ่วเบา เขาเอียงหูตั้งใจฟัง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่าจากข้างนอกเลย จึงไม่เข้าใจว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

 

เมื่อเงยหน้ามองหลังคาบ้านของตัวเอง ก็วางใจได้ว่าต่อให้เกิดแผ่นไหวก็ไม่เป็นไร มารดาของเขาไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากนัก วัสดุที่ใช้มุงหลังคาบ้านก็เป็นเพียงต้นอ้อที่มีน้ำหนักไม่มาก ถ้าหากพังถล่มลงมาก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร

 

สำหรับวังหลวงนั้น เถี่ยซินหยวนไม่คิดว่าแผ่นดินไหวจะทำอะไรสถานที่แห่งนี้ได้ เขาเคยถามผู้คนมาก่อนแล้ว กำแพงวังหลวงตลอดแนวเป็นดินเหลืองผสมกับน้ำข้าวเหนียวแล้วกระทุ้งให้แน่น ชั้นนอกยังเสริมด้วยก้อนหินหนาอีกชั้นหนึ่ง เรียกได้ว่าแข็งแกร่งไม่อาจพังทลายโดยง่าย

 

เขากับมารดานอนกอดผ้าห่มอยู่ในบ้านหลังเล็ก รอภัยพิบัติไร้นามให้เดินทางมาถึง...

 

----------------------------

 

[1] ทูเจวี๋ย(突厥)เป็นชื่อชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์(游牧民族)ที่มีความสำคัญอีกชนเผ่าหนึ่งในอดีต มีถิ่นที่อยู่แถบที่ราบสูงมองโกเลียและเขตแดนบริเวณเอเชียกลางในปัจจุบัน

[2] หกคัมภีร์(六经)เป็นหนังสือที่ขงจื่อทำการรวบรวมแก้ไข เรียบเรียง และจัดทำด้วยตนเอง มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 เล่ม ได้แก่ อี้《易》ว่าด้วยเรื่่องของการเปลี่ยนแปลง, ซือ《诗》 ว่าด้วยเรื่องของกวีนิพนธ์, หลี่《礼》ว่าด้วยเรื่องของนิติธรรมเนียม, เยว่《乐》ว่าด้วยเรื่องของสังคีตศิลป์, ซู《书》 ว่าด้วยเรื่องของการปกครอง, ชุนชิว《春秋》ว่าด้วยเรื่องของประวัติศาสตร์แคว้นหลู่

[3] มาจากบทกวีจูงใจเรียน《劝学诗》ของฮ่องเต้ซ่งเจินจง ทรงประพันธ์บทกวีนี้เพื่อส่งเสริมให้กำลังใจเหล่าบัณฑิตในการศึกษาเล่าเรียน มีความหมายว่าการตั้งใจเล่าเรียนเพื่อไขว่คว้าตำแหน่งขุนนาง เป็นเส้นทางที่ยอดเยี่ยมที่สุด หลังสอบได้ก็จะมีทั้งความมั่งคั่งและสาวงาม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด