ตอนที่แล้วเล่มที่ 2 บทที่ 1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 2 บทที่ 3

เล่มที่ 2 บทที่ 2


  

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์แรกเริ่มสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า เหตุการณ์เมื่อคืนกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างพูดกันไม่ขาดปาก ทั้งเรื่องสงครามระหว่างตระกูล การตายของจุยสง และเรื่องที่สั่นคลอนหัวใจผู้คนที่สุดคือการที่จุยฮวางถูกปลดออกจากตำแหน่งอำมาตย์ฝ่ายซ้าย

ทางราชวงศ์ตัดสินว่าจุยฮวางกระทำความผิดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับเมืองหลวงอย่างรุนแรง องค์จักรพรรดิจึงทรงแต่งตั้งให้คนของตระกูลหวังขึ้นรับหน้าที่แทน และด้วยความดีความชอบของปู้หยุน จึงทำให้ได้รับโอกาสจากทางตระกูลหวัง

ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่ว เนื่องด้วยตระกูลจุยถือครองอำนาจและตำแหน่งอำมาตย์ฝ่ายซ้ายมากว่าหลายร้อยปี แต่วันนี้อยู่ๆทางราชวงศ์กลับประกาศเปลี่ยนฐานอำนาจนี้ให้กับตระกูลหวังที่เป็นตระกูลสายการค้า

หลายตระกูลที่มีสัมพันธ์กับตระกูลจุยเริ่มตีตัวออกห่างเพราะความตกต่ำของตระกูล จุยฮวางนั้นเมื่อได้รับราชโองการเขาถึงกับหน้าสั่นเทาไปด้วยความโกรธและเคียดแค้นหยางอี้

หยางอี้เป็นตัวการทั้งหมดที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น การตายของจุยสง ทวนโลหิตทมิฬ รวมถึงการที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง ทั้งหมดเป็นเพราะหยางอี้ แต่ทว่าเขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำได้เพียงรับโทษและปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป

หลังจากเข้าใจเรื่องทั้งหมด จุยจีได้ยอมรับความผิดที่เกิดขึ้น และยอมถอยกลับไปแต่โดยดี สำหรับหยางอี้แล้วจุยจีเพียงคิดว่าเป็นเพราะความซวยและความไม่รอบคอบของจุยฮวางเท่านั้น อย่างไรเขาก็ไม่มีอำนาจพอจะไประรานหยางอี้ได้

แต่ทว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง หลังจากทบทวนดูอย่างถี่ถ้วน เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะแผนการของปู้หยุนและตระกูลหวัง ความอาฆาตทั้งหมดของตระกูลจุยจึงตกไปอยู่ที่ตระกูลหวังโดยปริยาย

แม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคืนที่ผ่านมาจะดังกระหึ่มไปทั่วทั้งเมืองหลวง จนผู้คนพูดกันไม่ขาดปาก แต่ว่ากลับไม่มีชื่อของหยางอี้อยู่ในเรื่องพวกนั้นเลย

ทางราชวงศ์และสองตระกูลต่างเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ การที่เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้เยาว์คนหนึ่ง คงไม่มีใครอยากให้ผู้คนได้รับรู้โดยเฉพาะทางราชวงศ์ มิฉะนั้นจะเป็นการเสียหน้าเป็นอย่างมาก

ภายในตึกพักชั้นสองของหอเมฆาเบ่งบาน หญิงรับใช้ที่เคยถูกปู้หยุนสั่งให้ไปรับใช้หยางอี้ กำลังเดินอย่างเหม่อลอย นางนั้นยังคงคิดทบทวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ นางเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่งที่ปู้หยุนเตรียมไว้เพื่อรับรองหยางอี้ เมื่อหยางอี้หายตัวไปแล้วนางจึงมาจัดการภายในห้องเพื่อเตรียมพร้อมให้บริการต่อไป

แต่ขณะที่นางกำลังจะเปิดประตูห้องนั้น ประตูห้องกลับเปิดออกก่อนที่นางจะสัมผัส ทำให้นางตกใจและเผลอถอยหลังสะดุดขาตัวเองจนล้มไป

หญิงรับใช้หลับตาปี๋ แต่ก่อนที่นางจะล้มกระแทกกับพื้นนั้นได้มีใครบางคนมารับนางไว้ เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นเด็กหนุ่มผู้มาประคองร่างนางไว้ นางถึงกับตกตะลึงก่อนที่ใบหน้าของนางร้อนผ่าว

“ค ค คุณชายหยาง ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่”

หยางอี้ยิ้มรับก่อนจะปล่อยนางออกจากอ้อมอก

“ทำไมล่ะพี่สาว ก็เมื่อคืนหลังจากชนะการประลองแล้วข้าเหนื่อยมากจึงกลับมาพักที่ห้อง มีอะไรผิดปกติงั้นรึ”

สาวรับใช้กลายเป็นพูดอะไรไม่ออกได้แต่นึกในใจ

‘ไม่ผิดก็บ้าแล้ว ท่านเพิ่งจะก่อเรื่องขนาดนั้นที่หอเดิมพัน แต่กลับมานอนพักสบายใจที่นี่นี่นะ’

หยางอี้เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงรับใช้ก็ได้แต่อมยิ้ม เมื่อคืนเมื่อหยางอี้สังหารจุยสงแล้วก็ใช้ช่วงชุลมุนที่ทั้งสองตระกูลต่อสู้กันในการนำทวนโลหิตทมิฬและหลบหนีออกมาด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์และทักษะซ่อนจันทร์

แต่เมื่อหลบออกมา ชายหนุ่มกลับไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนดี และหยางอี้ค่อนข้างมั่นใจไม่น้อยว่าตระกูลจุยต้องส่งคนออกตามล่าตัวเขาไปทั่วทั้งเมืองหลวง ในเมื่อรุ่งเช้าก็ต้องไปยังสถานที่ทดสอบ และเมื่อไม่มีใครตามรอยตัวเขาได้ หยางอี้จึงตัดสินใจแอบพักอยู่ที่หอเมฆาเบ่งบาน และก็เป็นตามที่คิด เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าหยางอี้จะแอบซ่อนอยู่ใกล้แค่นี้

“ว่าแต่พี่สาว ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”

“ก็ได้อยู่หรอกเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้น หญิงรับใช้ก็เล่าเรื่องต่างๆที่นางรับรู้มาให้หยางอี้ฟัง ทำให้ หยางอี้ตกใจไม่น้อยเช่นกันเมื่อรู้ว่าเรื่องราววุ่นวายขนาดนี้

จากนั้นหยางอี้ก็เดินทางไปพบกับปู้หยุนตามคำบอกกล่าวของหญิงรับใช้ ว่า ตอนนี้ทางตระกูลหวังต้องการพบตัวชายหนุ่ม

เมื่อได้ยินคำว่าตระกูลหวัง หยางอี้นั้นขมวดคิ้วครุ่นคิดทันที ‘หวัง ดูเหมือนท่านลุงเสี่ยวป้อและแม่นางจือเองก็แซ่หวังเหมือนกันนี่นา’

ไม่นานหยางอี้ก็มาถึงห้องของปู้หยุน ปู้หยุนตกตะลึงไม่น้อยเมื่อพบกับ หยางอี้ ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นานถึงเหตุการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น หยางอี้รับฟังอีกครั้ง ดูเหมือนสิ่งที่หญิงรับใช้เล่าให้ฟังนั้นจะเป็นพียงแค่เรื่องผิวเผินเท่านั้น

“แล้วเรื่องทวนโลหิตทมิฬเล่มนี้ล่ะผู้ดูแล” หยางอี้ถามออกมาเปรยๆ

“ฮ่าๆ ทวนเล่มนี้ เดิมทีเป็นของราชวงศ์ และทางราชวงศ์เองก็ยกให้กับคุณชาย ถือเป็นการขอโทษที่ตระกูลผู้นำของเมืองหลวงเสียมารยาทกับท่าน แล้วตระกูลจุยจะกล้าพูดอะไรอีก?”

“เป็นเช่นนั้น”

หยางอี้เมื่อได้รับรู้ความจริงทั้งหมดก็กลายเป็นงงงวย ตัวเขาเองยังไม่เคยคิดว่าการแสดงป้ายหยกของผู้อาวุโสเหล่ยโหลวที่ประตูเมืองทิศเหนือ จะส่งผลขนาดนี้

“เห้อ อันที่จริงข้าและผู้อาวุโสเหล่ยโหลวนั้นเคยพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

หยางอี้พูดออกมา ทำให้ปู้หยุนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้กล่าวอะไร ป้ายหยกประจำตัวของวิหารสวรรค์นั้นสำคัญขนาดไหนเขาย่อมรู้ดี แม้จะเจอกันเพียงหนึ่งครั้งแล้วอย่างไร ในเมื่อเหล่ยโหลวเต็มใจจะมอบป้ายหยกประจำตัวให้ ก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยให้มากความ

หยางอี้ประหลาดใจมากกับเรื่องที่ตระกูลจุยถูกปลดจากตำแหน่งอำมาตย์ฝ่ายซ้าย เพราะหากพูดกันตามความจริง แม้การกระทำของจุยฮวางจะรุนแรง แต่ก็มิน่าจะมีโทษถึงขนาดส่งผลทั้งตระกูล อีกทั้งตระกูลจุยยังทำหน้าที่นี้มาหลายร้อยปีแล้ว

หยางอี้นั้นกล่าวกับปู้หยุนว่าหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบเข้าสำนักวิหารสวรรค์แล้ว จะเดินทางไปพบกับผู้นำตระกูลหวังตามคำเชิญ แล้วจึงเดินทางออกจากหอเมฆาเบ่งบานเพื่อไปยังสถานที่ทดสอบ

ภายในตึกตระกูลจุย

“บัดซบ ข้าไม่นึกว่าทางราชวงศ์จะทำกับเราถึงขนาดนี้”

จุยฮวางกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล ที่ด้านข้างของเขาคือจุยซ้งผู้นำตระกูลและจุยจี ทั้งสามกำลังหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลจุย

“น้องสอง ข้าว่าเจ้าควรจะใจเย็นลงก่อน”

“เป็นเพราะเจ้าเด็กบัดซบนั่นคนเดียว” ตอนนี้ในสายตาของจุยฮวางหยางอี้เปรียบเสมือนศัตรูที่นำความอัปยศมาให้เขา จนมิสามารถอยู่ร่วมโลกกันได้

“เจ้าควรจะลืมเรื่องเจ้าเด็กนั่นไปซะ อย่าลืมว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นแผนของพวกตระกูลหวัง และพวกเราดันโชคไม่ดีที่ไปเจอกับเจ้าเด็กนั่น ท่านพ่อมีความเห็นอย่างไร” จุยซ้งกล่าวเตือนจุยฮวาง แล้วจึงหันไปขอความเห็นจากจุยจี

“หึ่ม ดูเหมือนทางราชวงศ์จะเริ่มสงสัยพวกเราแล้ว มิฉะนั้นคงไม่จงใจหักหน้าและลดอำนาจตระกูลจุยแบบนี้ เห็นทีเราจะรอช้าไม่ได้แล้ว รีบส่งคนไปแจ้งพวกนั้นว่าตอนนี้พวกเราพร้อมแล้ว ต้องการเริ่มแผนการเมื่อไหร่ให้บอกมาได้เลย ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”

จุยจีกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉยหลังจากตัดสินใจแล้ว เดิมทีเขายังคงสองจิตสองใจ แต่ตอนนี้เมื่อราชวงศ์หักหน้าตระกูลจุยเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป

ณ ถนนสายหลักของเมืองหลวง

หยางอี้เดินทอดน่องดูของไปเรื่อยเปื่อย ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วยามกว่าจะถึงเวลาเริ่มการทดสอบของสำนักวิหารสวรรค์

วันนี้ที่ถนนสายหลักเต็มไปด้วยผู้คนอย่างคับคั่ง ผู้เยาว์มากมายต่างเดินทางมาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ เหล่านายน้อยของตระกูลเล็กใหญ่ต่างเดินอวดศักดากันถ้วนหน้า

หยางอี้เห็นแล้วทำได้เพียงหัวเราะในใจ นายน้อยพวกนี้แข่งกันอวดความร่ำรวยแทนที่จะเป็นความสามารถ กระทั่งบางคนหยางอี้สัมผัสได้ถึงพลังปราณระดับปราณฝึกหัดด้วยซ้ำไป แต่กลับรายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกันมากมาย

ทว่าเรื่องราวกลับน่าเศร้า สำนักวิหารสวรรค์นั้นนับเป็นอย่างไร ความมั่งคั่งอาจนำมาเทียบได้กับตระกูลพวกนี้ เจ้าพวกนี้ก็เป็นได้เพียงตัวตลกเมื่อถึงการทดสอบ

หยางอี้ยังคงเดินปะปนอยู่กับฝูงชนมากมาย เด็กหนุ่มพยายามทำตัวไม่ให้ไปเตะสายตาเจ้าพวกนายน้อยพวกนี้ เพราะไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวาย ใช่แล้วหากมีบางคนถูกฆ่าก่อนจะเริ่มการทดสอบคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

หลังจากเดินมาจนเริ่มเบื่อ ก็มีบางอย่างมากระตุ้นความสนใจของชายหนุ่ม ห่างไปไม่ไกลมีกลุ่มคนกำลังมุงดูบางอย่างเสียงจอแจ หยางอี้ไม่รอช้ารีบเดินตรงไปยังกลุ่มคนทันที โดยหวังว่าจะมีเรื่องสนุกให้ได้ชม เช่นการต่อยตีของพวกลูกคนรวยบ้าง

ทว่าหลังจากฝ่าฝูงชนเข้าไป ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้ากลับไม่เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคิด รอยยิ้มที่นึกสนุกแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเย็นชาทันที

ภาพเบื้องหน้ากลับเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่งที่มีสภาพมอมแมม สวมชุดผ้าที่ถูกปะมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ที่ด้านหลังของนางมีตะกร้าใบใหญ่ถูกสะพายไว้ และเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทั่วทั้งตัวมีรอยฟกช้ำเต็มไปหมดกำลังโอบกอดเด็กหญิงไว้ท่ามกลางชายฉกรรจ์นับสิบคนที่ยืนล้อมอยู่

หยางอี้หันมาถามบางคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ก่อนหน้า

“นี่พี่ชาย มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

“ก็แม่หนูนี่นะสิ ดันวิ่งไปชนเจ้าคุณชายอ้วนนั่น จึงโดนรังแกเล็กน้อย แต่ว่าเจ้าหนุ่มที่เป็นพี่ชายนั่น เมื่อเห็นน้องสาวโดนรังแกเลยไปต่อยเจ้าอ้วนนั่นเข้า แล้วเรื่องก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”

เมื่อได้ฟัง หยางอี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อมองไปยังรอบด้าน ผู้คนมุงดูกันเยอะแยะกระทั่งมีหลายคนนินทาเจ้าอ้วน บ้างพูดว่าสงสาร แต่กลับไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้าช่วย

‘โลกนี้หากไม่แข็งแกร่งก็มีแต่จะถูกผู้อื่นรังแก’

เดิมทีหยางอี้ไม่ต้องการจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก หากเป็นเพียงเด็กหนุ่มโดนรังแก แน่นอนว่าหยางอี้ย่อมไม่เข้าไปยุ่ง เพราะตัวเขาเองก็มิเป็นคนดีอะไรนัก แต่ทว่าการมองเห็นเด็กสาวตัวน้อยถูกรังแก และเพราะความรักที่พี่ชายมีต่อน้องสาว ทำให้หยางอี้นึกถึงเสี่ยวปิงและเพ่ยเพ่ย

“นี่คุณชายท่านนั้น หากข้าจะขอให้เรื่องนี้ผ่านไปจะได้หรือไม่ ข้าจะรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดเองเชิญท่านกล่าวมาได้เลย”

หยางอี้เดินฝ่าฝูงชนออกมาก่อนจะกล่าวกับคุณชายร่างอ้วน ทำให้เหล่าคนที่มามุงดูต่างประหลาดใจ

คุณชายร่างอ้วนนั้นมองดูหยางอี้อย่างพินิจ เขาเองก็มิใช่คนโง่ ย่อมรู้ดีว่าที่เมืองหลวงนี้เต็มไปด้วยเสือซ่อนมังกรหมอบ การจะหาเรื่องใครต้องดูให้ดี เพียงแต่เขานั้นชื่นชอบการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น

เมื่อมองดูหยางอี้ที่แต่งกายด้วยชุดชาวยุทธ อาจจะดูดีอยู่บ้างพอให้รู้ว่าเป็นคุณชายมาจากตระกูลใดสักตระกูล แต่ก็ยังคงไม่มากพอจะทำให้เขาเกรงกลัว

“ฮ่าๆ เจ้านะหรือ ที่บอกว่าจะชดใช้”

เขามองมาที่หยางอี้พร้อมกับรอยยิ้มอันเย้ยหยัน หยางอี้เพียงยิ้มและพยักหน้าอย่างใจเย็น หากจบเรื่องได้ด้วยการพูดคุย แม้จะโดนดูถูกเล็กน้อย ชายหนุ่มก็มินำมาใส่ใจ

“เช่นนั้นเอาเป็น 100,000 เหรียญทองเป็นอย่างไร นังเด็กนี้ทำชุดข้าเปื้อน ชุดนี้ข้าสั่งทำมาจากจักรวรรดิอรุณรุ่ง เจ้ามีปัญญาไหมล่ะพ่อวีรบุรุษ”

เจ้าอ้วนพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะ พวกคนดูได้แต่ส่ายหน้ากับเรื่องนี้ ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่จะแส่หาเรื่องใส่ตัวเองเสียแล้ว

หยางอี้เมื่อได้ยินราคาถึงกับคิ้วกระตุก 100,000 เหรียญมิใช่เงินน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนไม่เพียงไม่คิดจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป แต่คิดจะเล่นงานตัวเขาด้วย

หยางอี้สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้ง

“ข้าคิดว่าท่านคงจะมาทดสอบเช่นกัน เราจบเรื่องเล็กน้อยนี้ไว้เท่านี้จะไม่ดีกว่าหรือ”

ทางเจ้าอ้วน เมื่อเห็นว่าหยางอี้ไม่คิดจะตอบโต้ แต่เลือกขอให้จบเรื่อง ก็ยิ่งได้ใจ

“เฮ้ เจ้ายาจกนี่ หากไม่มีปัญญาก็ถอยไป ไม่เช่นนั้นข้าจะทุบตีเจ้าด้วย”

และในที่สุดหยางอี้ก็หมดความอดทน เจ้านี่หากไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา จิตสังหารพวยพุ่งออกมาจากร่างชายหนุ่มจนผู้คนโดยรอบต้องผงะถอยออกไป

วูป วูป วูป

ก่อนที่หยางอี้จะเคลื่อนไหวก็มีชาย 5 คนในชุดองครักษ์กระโดดเข้ามาล้อมรอบกลุ่มผู้คุ้มกันของเจ้าอ้วนไว้ ก่อนจะมีหนึ่งคนเดินเข้ามาหาหยางอี้ ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างตกตะลึง

“องครักษ์หลวง!”

“ทำไมองครักษ์หลวงถึงมาอยู่ที่นี่ ปกติแล้วองครักษ์หลวงจะอยู่แต่ในวังไม่ใช่หรือ” ชาวเมืองที่ดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกเริ่มพูดคุยกัน

“ยินดีที่ได้พบคุณชายหยาง ข้าจูเป่า หัวหน้าองครักษ์ที่ 12 เรื่องนี้ขอได้ให้ข้าจัดการเถอะ”

ชายคนที่เดินเข้ามาหาหยางอี้กล่าวออกมาอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องจัดการ และไม่นานเหล่าผู้คุ้มกันของเจ้าอ้วนก็ล้มลงด้วยฝีมือของกลุ่มองครักษ์ เหลือแต่เพียงเจ้าอ้วนที่ยืนสั่นอยู่ด้วยความกลัวและงุนงง เพราะคำสั่งของหัวหน้าองครักษ์คือโบยเขา 100 ไม้

“ท่านนี่ใจดีจังเลยนะ แล้วทางราชวงศ์ถึงกับต้องส่งคนมาคอยตามข้าเลยหรือ?”

จูเป่า ยิ้มอย่างขมขื่น ใจดีงั้นหรือ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะหากเขาไม่เข้ามาขวาง เกรงว่าความวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เขาย่อมได้ฟังมาแล้วถึงความเด็ดขาดและโหดเหี้ยมของหยางอี้ และชายหนุ่มเบื้องหน้าเขากระทั่งสังหารจุยสงที่ถือครองทวนโลหิตทมิฬได้ เจ้าพวกนี้จะไปรอดได้อย่างไร

“น นี่มันเรื่องอะไรกัน องครักษ์หลวงจะรังแกข้างั้นหรือ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เรื่องไม่เป็นธรรมเช่นนี้พวกท่านไม่ละอายบ้างหรือไง”

เจ้าอ้วนรวบรวมความกล้าพูดออกมาเพื่อให้ตัวเองรอด ใช่แล้วเขาเพียงรังแกคนอ่อนแอเล็กน้อย แล้วทำไมถึงกับต้องได้รับโทษเช่นนี้

“บัดซบไอ้อ้วนนี่ ข้ากำลังช่วยเจ้ายังไม่รู้สำนึก โบยมันเพิ่มอีกร้อยไม้”

จูเป่าเอ่ยกล่าวออกมาอย่างอารมณ์เสีย

หยางอี้เพียงนิ่งเฉยมิได้กล่าวอะไร ในใจเพียงคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก ส่วนสองพี่น้องที่โดนเจ้าอ้วนรังแกยังคงมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความงุนงง

เจ้าอ้วนยังคงมิยอม แม้จะกลัวจนตัวสั่นทว่าบิดาของเขาก็มีสัมพันธ์อันดีกับทางราชวงศ์เพราะการค้าระหว่างเมือง เขาจึงกล่าวขึ้นกับจูเป่าอีกครั้ง

“ท่านกล้าทำกับข้าเช่นนี้ หากท่านพ่อข้ารู้เรื่องไม่จบง่ายๆแน่”

“เฮอะไอ้หมูตอนนี่ เช่นนั้นก็รอให้พ่อเจ้ามาหาข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้โทษของเจ้า 300 ไม้ จัดการมัน!” จูเป่าพูดออกมาอย่างหมดความอดทน

หลังจากสิ้นเสียงสั่งการของจูเป่า ใบหน้าของเจ้าอ้วนกลายเป็นขาวซีดทันที เพราะตอนนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้ว แม้หลังจากนี้หากบิดาของเขาเอ่ยปากทางราชวงศ์ยังคงต้องไว้หน้าอยู่บ้าง แต่ความเจ็บปวดที่เขาต้องได้รับจากการถูกโบยเล่าใครจะรับผิดชอบ

“ไม่นะ ท่านองครักษ์ ข้าจะยอมขอโทษคุณชายท่านนี้ก็ได้ ปล่อยข้าไปและจบเรื่องนี้แต่โดยดีไม่คิดว่ามันจะดีกว่าหรือ จริงไหมคุณชาย”

เจ้าอ้วนหันหน้ามาทางหยางอี้เพื่อขอประนีประนอมให้จบเรื่องนี้

“โอ้ เจ้าคิดเช่นนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นเจ้าชดใช้ค่าเสียเวลาให้ข้าและทั้งสองคนนั่นเป็นอย่างไร”

หยางอี้ยิ้มเหี้ยมเมื่อได้ยินคำของเจ้าอ้วน เมื่อมีหนทางรอดใบหน้าของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความยินดี เงินทองเพียงเล็กน้อยจะมาเทียบกับการโดนโบย 300 ไม้ได้อย่างไร

“อ่าใช่แล้ว เพื่อเป็นการขอโทษที่ข้าเสียมารยาทก่อนหน้านี้ ข้าจะชดใช้ให้100,000 เหรียญทองดังที่เคยขอท่าน ท่านตกลงไหม”

เงิน 100,000 เหรียญทองสำหรับเขาแม้จะไม่น้อย แต่หากจ่ายออกไปก็มิได้เสียหายอะไร

“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี เพียงแต่สำหรับข้า 100,000 เหรียญทองถือว่าตกลงแต่ว่าสำหรับทั้งสองคนนั้นคือ 900,000 เหรียญทอง รวมเป็น 1 ล้าน เจ้าตกลงไหม”

ใบหน้าที่ยินดีของเจ้าอ้วนกลายเป็นแข็งค้างทันที ผู้คนโดยรอบที่ได้ยินก็เช่นกัน เดิมทีเมื่อเขากล่าวว่าจะชดใช้ให้ 100,000 เหรียญทอง หลายคนต่างอิจฉาและเต็มไปด้วยความโลภ แต่เมื่อได้ยินคำของหยางอี้ ทุกคนกลับรู้ซึ้งว่าเจ้าเด็กนี่มีความโลภกว่าพวกเขามากนัก

“น นี่คุณชายจะดีกว่าไหมหากลดทอนให้เจ้าเด็กนี่สักเล็กน้อย ข้าเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยาก”

หยางอี้เมื่อได้ยินคำของจูเป่าก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ตัวเขาเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องยุ่งยาก เพียงแต่ที่กล่าวไปนั้นเขาแค่นึกสนุกขึ้นมาเล็กน้อย

“อ่า เห็นแก่ท่าน เจ้าอ้วนเอาเป็นว่าตอนนี้เจ้ามีอะไรส่งออกมาให้หมด แล้วข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป”

เจ้าอ้วนชะงักไปครู่หนึ่ง วันนี้เนื่องจากเป็นวันทดสอบ เหล่าลูกหลานตระกูลที่ร่ำรวยจึงออกมาเพื่อประกาศศักดาข่มกัน ทำให้ตัวเขาเองก็นำของมีค่าหลายสิ่งติดตัวออกมาเช่นกัน แม้จะมูลค่าไม่ถึง 1 ล้าน แต่ก็หลายแสนเหรียญทอง หากจ่ายออกไปเขาคงไม่พ้นโดนบิดาทุบตีเป็นแน่

‘จริงสิ หากข้าบอกท่านพ่อว่าถูกมันปล้นเล่า ฮ่าๆ ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกทำโทษแต่ยังจะได้โอกาสเอาคืนด้วย ฮี่ๆ ข้านี่ฉลาดจริงๆ’

เมื่อคิดได้ดังนั้นเจ้าอ้วนก็ตกลงกับหยางอี้ว่าจะมอบของถูกอย่างให้ เพื่อแลกเปลี่ยนในการปล่อยเขาไป

“ตกลงข้าจะยอมชดใช้ให้พวกเจ้า”

หลังจากนั้นเจ้าอ้วนถอดแหวนมิติระดับกลางออกมาทั้งสองวงมอบให้กับหยางอี้ เมื่อตรวจดูหยางอี้ถึงกับตกตะลึง เจ้านี่มันหมูทองคำชัดๆ ความร่ำรวยของเจ้าอ้วนทำให้หยางอี้ถึงกับหมั่นไส้ ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจะจากไปพร้อมกับเหล่าผู้คุ้มกันที่พยุงตัวลุกขึ้นมา หยางอี้ก็พูดออกมา

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”

“อะไร ข้ามอบทุกอย่างให้เจ้าแล้วนะ เจ้าต้องการอะไรอีก”

หยางอี้ชึ้ไปที่ตัวเจ้าอ้วน ก่อนจะกล่าวบางคำออกมาที่ทำให้ความยินดีในแผนการของเจ้าอ้วนต้องแปรเปลี่ยนเป็นร่ำไห้

“ข้าบอกว่าทุกอย่างนี่ ชุดของเจ้านั้นแพงถึง100,000 เหรียญทองไม่ใช่หรือไง หรือเจ้าคิดจะโกงข้า”

เจ้าอ้วนกลายเป็นหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เมื่อของทั้งตัวถูกหยางอี้ปล้นไปเหลือเพียงผ้าเตี่ยวหนึ่งผืนที่ใช้ปกปิดด้านล่างเท่านั้น เขารีบวิ่งออกไปไกลก่อนจะหันกลับมา

“ไอ้เจ้าตัวบัดซบ ข้าจะฟ้องท่านพ่อ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

“เช่นนั้นข้าจะรอเจ้า เจ้าหมูผ้าเตี่ยว ฮ่าๆ”

ฝูงชนต่างหัวเราะให้กับสภาพของเจ้าอ้วน ทำให้เขารีบจากไปทันที

เมื่อจบเรื่องแล้ว คู่พี่น้องที่ถูกรังแกรีบเข้ามาหาหยางอี้เพื่อกล่าวขอบคุณยกใหญ่ หยางอี้เพียงยิ้มรับและบอกให้ทั้งสองติดตามเขาไป หยางอี้ยังคงไม่มอบสินทรัพย์ที่ได้มาจากเจ้าอ้วนให้แก่ทั้งสอง เพราะความอ่อนแอของทั้งสองคน การให้ไปนั้นเท่ากับส่งทั้งคู่ไปเป็นเนื้อหอมหวานให้กับฝูงหมาป่าที่ยังคงยืนจับจ้องอยู่ตาเป็นมัน

ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะอายุมากกว่าหยางอี้ 1 ปี และมาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบเช่นกัน หลังจากพูดคุยกันทำให้รู้ว่าทั้งคู่แซ่ เป่ย อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทางชายเขาของป่าดับดารารอบนอก และเดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสำนักวิหารสวรรค์

หยางอี้หันไปกล่าวกับจูเป่าว่าตัวเขาเองและทั้งคู่จะเดินทางไปยังสนามทดสอบแล้ว ไม่ต้องคอยแอบตามอีก ด้านจูเป่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะตกลงและจากไป

หยางอี้พาพี่น้องตระกูลเป่ยเดินซื้อของในตลาดก่อนเล็กน้อย เพราะเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนจะถึงเวลาเริ่มการทดสอบ

คนพี่มีนามว่า เป่ยลู่ และเด็กสาวตัวน้อยนามว่าเป่ยลี่ เป่ยลี่นั้นดีใจเป็นอย่างมากเมื่อหยางอี้ซื้อชุดใหม่ให้ ทั้งสามเดินเลือกซื้อของอีกเล็กน้อยก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบ

สนามทดสอบของเมืองหลวงอยู่บริเวณพระราชวังต้องห้าม สนามทดสอบแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ทดสอบการรับศิษย์เข้าสำนักของ 4 สำนักใหญ่ทุกปี โดย 4 สำนักใหญ่จะเริ่มการทดสอบในเวลาที่แตกต่างกัน และเมืองหลวงคือสถานที่ชุมนุมของเหล่าผู้เยาว์ที่ต้องการมีอนาคตที่รุ่งเรือง

ทว่าเหตุผลที่การทดสอบทุกครั้งนั้นจัดตั้งที่เมืองหลวง นอกจากเรื่องสถานที่แล้ว ที่สำคัญคือข้อตกลงที่ทั้ง 4 สำนักทำไว้กับทางราชวงศ์ ในช่วงเวลาก่อนการทดสอบของแต่ละสำนัก ทางราชวงศ์จะมีสิทธิ์ในการเลือกเหล่าผู้เยาว์ให้เข้าร่วมเช่นกัน หากจะมองจากความเป็นจริงแล้ว แม้จะไม่มีอำนาจเทียบเท่ากับ 4 สำนักใหญ่ แต่ด้วยความเป็นกลาง ทางราชวงศ์จึงถูกจัดให้เป็นขุมพลังที่ 5 ที่มีอำนาจเกือบจะเทียบเท่า 4 สำนักใหญ่

ขุมกำลังที่คานอำนาจกันทั้ง 4 ล้วนแก่งแย่งอำนาจกันตลอดเวลาและแน่นอนว่าหากฝ่ายใดได้รับความร่วมมือจากทางราชวงศ์ที่ด้อยกว่าไม่มากนักก็จะผงาดขึ้นยืนเหนืออีกทั้ง 3 สำนักทันที

ด้วยเหตุนี้ทางราชวงศ์จึงกล่าวได้ว่าแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็มิได้อ่อนแอเช่นกัน ทุกอย่างเป็นเพราะการตัดสินใจของจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ที่ในช่วงสงคราม 4 สำนักใหญ่ พระองค์ทรงเลือกที่จะเป็นกลางโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ที่ทั้ง 4 สำนักใหญ่นำมาล่อ

หยางอี้และพี่น้องเป่ยเดินมาไม่นานก็ใกล้จะถึงสนามทดสอบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยเหล่าผู้เยาว์อย่างคับคั่ง แต่ทว่าก่อนจะเข้าสู่ลานทดสอบหยางอี้กลับบอกให้ทั้งคู่นำหน้าไปรอที่ประตูทางเข้าก่อนแล้วจะตามไปทีหลัง

เมื่อทั้งสามแยกจากกัน หยางอี้เดินลัดเลาะตามชายถนนไปไม่ไกลก็เลี้ยวเข้าตรอกแห่งหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงที่กำแพงด้านหน้า ซึ่งบอกว่านี่เป็นทางตันแล้ว

ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

‘ดูเหมือนสวรรค์คงไม่พอใจหากวันนี้มือข้ามิได้อาบไปด้วยเลือดสินะ’

หลังจากเดินเข้ามาสุดตรอกจนลับจากสายตาผู้คน กลุ่มชายวัยกลางคนหน้าตาเหี้ยมก็ปรากฏร่างออกมายืนขวางอยู่เบื้องหน้า เดิมทีพวกมันเพียงอิจฉาเล็กน้อยแม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความโลภแต่หากหยางอี้มีองครักษ์หลวงคุ้มกันอยู่ก็ได้แต่ปล่อยผ่านไป แต่เมื่อหยางอี้บอกให้เป่าจูกลับไปหัวใจพวกมันล้วนลิงโลดไปด้วยความตื่นเต้น ทรัพย์สินที่หยางอี้ได้มาจากเจ้าอ้วนนั้นเพียงพอให้พวกมันเที่ยวเตร่ในหอนางโลมได้ครึ่งปีเลยทีเดียว

หยางอี้มองไปกลุ่มพวกมันที่นับได้ 8 คน ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เดิมทีหยางอี้เกียจคร้านเกินไปที่จะยุ่งเกี่ยวกับเจ้าพวกนี้ แต่ทว่าหากปล่อยไว้มันจะเป็นอันตรายกับพี่น้องเป่ย

“ชีวิตนั้นช่างแสนสั้นหากเลือกเดินทางผิด” หยางอี้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ฝ่ายชายกลุ่มนี้เมื่อเห็นเนื้อหวานอันโอชะก็ไม่รีรอแต่อย่างใด

“เจ้าหนุ่มส่งของมีค่ามาให้หมดแล้วพวกข้าจะปล่อยเจ้าไป” ชายผู้ยืนอยู่หน้าสุดพูดออกมาเสียงเหี้ยม งานนี้ต้องรีบทำรีบจบหากชักช้าพวกของเป่าจูอาจจะกลับมาอีก

“เข้ามาเถอะอย่าได้เสียเวลา” หยางอี้พูดออกมาพร้อมกับเดินตรงเข้าไปหากลุ่มชายเบื้องหน้าที่ยังคงทำหน้างงอยู่

วูป !

กึก กึก กึก

เพียงชั่ววูบเดียวชายทั้งกลุ่มล้วนมองไปยังจุดเดียวกันอย่างเหม่อลอย ร่างไร้หัวของชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดค่อยๆล้มลงกับพื้น แต่ก่อนที่จะมีเสียงร้องออกมาจากความตกใจของพวกมัน ร่างไร้หัวอีกร่างก็ค่อยๆล้อมลง เพียงไม่กี่วินาที ชายทั้ง 7 คนกลายเป็นศพไร้หัวอย่างรวดเร็ว หยางอี้เดินเข้าไปหาชายคนสุดท้ายที่นั่งขุกเข่าน้ำตาไหลพรากไปด้วยความสั่นกลัว เพราะมัจจุราชเบื้องหน้าไม่มีความปราณีแม้แต่น้อย

ฉับ!

หยางอี้หลังจากจัดการเสร็จก็จากไปทันที ชายหนุ่มไม่ได้ห่วงเรื่องศพพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะดูเหมือนทางราชวงศ์จะยังคงกังวลว่าหยางอี้จะก่อเรื่องอีกจึงยังคงให้จูเป่าคอยตามอยู่ห่างๆ

ที่มุมมืดบนตึกด้านบนไม่ห่างจากจุดที่หยางอี้จัดการกลุ่มโจรนั้นมีร่าง สามร่างกำลังซุ่มดูเหตุการณ์อยู่

“เฮ้อ โหดเหี้ยมจริงๆ”

“แล้วเราจะเอาไงต่อดีครับหัวหน้า”

“ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่จะรู้ตัวแล้วว่าเราตามดูอยู่จึงทิ้งศพไว้แบบนี้”

“ข้าถึงได้ไม่อยากตามท่านมาไง การตามดูตัวปัญหาแบบนี้เราก็จะมีงานให้ทำตามไปด้วย”

จูเป่าและลูกน้องอีกสองคนได้แต่ถอนหายใจและไปจัดการเก็บกวาดสิ่งที่หยางอี้ทำไว้อย่างช่วยไม่ได้

หยางอี้เมื่อเดินออกจากตรอกก็มุ่งหน้าไปยังซุ้มประตูทางเข้าลานทดสอบทันที เมื่อมาถึงหยางอี้เดินหาไม่นานก็พบเป่ยลู่และเป่ยลี่ ทั้งสองยังคงมิขึ้นไปแต่รอหยางอี้อยู่หน้าซุ้ม

“อ่า นายน้อย พวกข้ากำลังรอท่านอยู่เลย”

“พี่ชายท่านไปไหนมาหรือ”

ทั้งสองกล่าวทักทายหยางอี้ หยางอี้เพียงยิ้มและไม่ได้ตอบอะไร  เป่ยลู่นั้นเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อหยางอี้เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยทั้งสองจากเจ้าอ้วนและทราบว่าหยางอี้จะเข้าทดสอบเช่นกัน จึงให้ความเคารพนับถือหยางอี้เป็นอย่างมาก แม้ตอนแรกหยางอี้จะไม่ชอบให้เรียกตัวเขาเช่นนี้ แต่เป่ยลู่บอกว่าท่านคงจะไม่รังเกียจที่มีผู้ติดตามอ่อนแอเช่นข้า ทำให้หยางอี้ต้องปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

“ข้าแวะคุยกับสหายนิดหน่อย พวกเราไปข้างบนกันเถอะ”

หยางอี้กล่าวกับทั้งสองก่อนจะเดินเข้ามาอุ้มเป่ยลี่ เป่ยลู่ก็เดินตามไปทันทีก่อนจะเข้าไปกระซิบกับหยางอี้

“นายน้อยเสื้อท่านยังมีคราบเลือดติดอยู่”

“เจ้ารู้?”

“แม้ว่าจะไม่ชัดเจนแต่ข้าก็พอสัมผัสได้ว่ามีคนตามเรามา”

หยางอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเช็ดคราบเลือดออก ดูเหมือนเขาจะคิดมากไป ทั้งสองพี่น้องนี้เดินทางมาจากหุบเขาชายป่าดับดาราหากอ่อนแอและไม่มีความสามารถจริงๆคงตายเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ในป่าแล้ว

หลังจากเดินผ่านซุ้มประตู ทั้งสามก็พบกับบันไดหินสูงหลายร้อยขั้น  ลานทดสอบนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยทรัพยากรของ 4 สำนักใหญ่และราชวงศ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะธรรมดาอย่างแน่นอน ทันทีที่ก้าวพ้นซุ้มประตูมาทั้งสามสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง หยางอี้รีบปล่อยพลังปราณมาต้านแรงดันให้กับเป่ยลี่ทันที

ดูเหมือนการทดสอบนี้จะไม่ง่ายเลยจริงๆ

“สมกับชื่อลานทดสอบ นี่ขนาดแค่ผ่านซุ้มประตูมาเองนะ”

เป่ยลู่เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น หยางอี้เพียงยิ้มบางก่อนจะหันไปมองรอบๆ มีเหล่าผู้เยาว์หลายคนที่ไม่สามารถขึ้นไปถึงสุดทางได้ ดูเหมือนเพราะจำนวนคนที่มากเกินไปทำให้สำนักใหญ่ต้องใช้หลายวิธีในการลดจำนวนคนที่ไม่มีคุณสมบัติออกไป

ทั้งสามเดินขึ้นไปด้านบนอย่างสบายๆ ท่ามกลางสายตาของหลายๆคน ตอนนี้ใกล้ได้เวลาทดสอบแล้ว ดูเหมือนกลุ่มของหยางอี้จะเป็นกลุ่มสุดท้ายเช่นกัน ผู้ที่มีพลังปราณตั้งแต่ระดับก่อกำเนิดระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ จึงจะสามารถผ่านบันไดนี้ไปได้ มีหลายคนที่ระดับยังคงไม่ถึงแต่ก็พยายามจะผ่านไปให้ได้ เพื่อหวังว่าตนเองจะได้รับโอกาส

เมื่อเดินพ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นมาแรงกดดันทั้งหมดพลันหายไปทันที หยางอี้จึงคลายความกังวลเกี่ยวกับเป่ยลี่ลงไป ภาพเบื้องหน้าของทั้งสามเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ทางด้านซ้ายดูเหมือนจะเป็นสิ่งปลูกสร้างบางอย่างคล้ายเจดีย์ด้านขวาเป็นลานประลอง 18 ลานเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่อขึ้นมาด้านบน ทั้งสามตรงไปยังจุดรับสมัครก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งมีผู้อาวุโสของสำนักทำหน้าที่จัดเรียงลำดับในการทดสอบอยู่

ทั้งสามเดินเข้าไปก่อนที่หยางอี้จะกล่าวทักทายตามมารยาท

“เรียนผู้อาวุโส ข้าทั้งสองคนมาเพื่อลงชื่อเข้าร่วมการทดสอบ”

ชายวัยชราคนหนึ่งหันมามองเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าและยื่นบัตรหมายเลขให้ ทั้งสองคนรับมาก่อนที่ชายชราจะเอ่ยถามชื่อและอายุ

เป่ยลู่คนแรกที่ตอบออกไป หลังจากนั้นหยางอี้ตัดสินใจแสดงป้ายหยกของเหล่ยโหลว เดิมทีหยางอี้อยากเข้าร่วมการทดสอบอย่างเป็นธรรมดาโดยไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเองได้รับการสนับสนุนจากเหล่ยโหลว

หลังจากหยางอี้แสดงป้ายหยก ชายชราผู้ทำหน้าที่ลงทะเบียนกลายเป็นชะงักไปชั่วครู่

“อ่า เป็นเจ้านั่นเอง หยางอี้ใช่หรือไม่ ข้านั้นได้รับคำสั่งจากท่านเหล่ยโหลวให้คอยดูแลเมื่อเจ้ามาถึง”

หยางอี้ยิ้มให้กับชายชราเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับคำ เป่ยลู่นั้นรีบถามขึ้นมาทันที

“โอ้ นายน้อย หรือว่าท่านจะเป็นคนของวิหารสวรรค์อยู่แล้ว”

“ไม่ใช่หรอก ข้าเพียงรู้จักกับผู้อาวุโสบางท่านเล็กน้อย”

หยางอี้ตอบกลับไปก่อนจะหันไปหาชายชราและกล่าวถาม

“ผู้อาวุโส ข้านั้นอยากจะเข้าทดสอบเหมือนกับผู้เยาว์คนอื่นๆ เรื่องที่ท่านต้องดูแลข้าเอาเป็นดูแลสาวน้อยคนนี้แทนข้าจนกว่าจะจบการทดสอบได้หรือไม่”

ชายชราลังเลเล็กน้อย การดูแลเป่ยลี่นั้นไม่ใช่ปัญหา ก่อนจะกล่าวออกไป

“ความจริงเจ้าไม่จำเป็นต้องทดสอบ แต่หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

เป่ยลี่นั้นไปนั่งอยู่ข้างชายชราอย่างว่าง่าย แม้จะเป็นเด็กแต่นางก็ฉลาดอย่างมาก รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรจึงไม่เป็นภาระต่อพี่ชายของนางและหยางอี้

หลังจากนั้นผู้อาวุโสบอกกล่าวเกี่ยวกับกำหนดการให้หยางอี้ฟังเล็กน้อย ก่อนที่พวกหยางอี้และเป่ยลู่จะจากไป โดยผู้อาวุโสบอกว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วยามจะพาเป่ยลี่ตามไปดูการทดสอบของทั้งสองเพราะตอนนี้ใกล้หมดเวลารับสมัครแล้ว

หยางอี้และเป่ยลู่เดินตรงไปยังสิ่งก่อสร้างทรงกลมที่คล้ายกับเจดีย์ จากที่ฟังมา การทดสอบทั้งหมดมี 3 อย่าง และอย่างแรกที่ทุกคนต้องทำ คือการวัดระดับพลังปราณ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด