ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 15
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 17

เล่มที่ 1 บทที่ 16


  

เฮ เฮ เฮ

ภายในหอเดิมพัน เสียงเฮลั่นของเหล่าผู้ชมดังก้องไปทั่วทิศ หอเดิมพันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ภายในเป็นลานประลอง 8 ลานตั้งเรียงกันเป็นวงกลม ล้อมรอบลานประลองตรงใจกลางที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ โดยรอบอัดแน่นไปด้วยผู้คนบนที่นั่งชมรอบลานประลอง สูงขึ้นไปชั้นสองถูกแบ่งออกเป็นห้องเพื่อรองรับแขกชั้นสูงที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

“การประลองรอบที่ 7 ของวันนี้ ได้ผู้ชนะแล้วคือ เซียงเอ้อ!”

เสียงประกาศดังออกมาจากชายวัยกลางคนที่รับหน้าที่เป็นกรรมการ และหลังจากนั้นภายในหอต่างเต็มไปด้วยเสียงเฮโลของผู้ชนะเดิมพันที่ชื่นชมเซียงเอ้อและเสียงด่าทอของฝ่ายที่เดิมพันคู่ต่อสู้ แน่นอนว่าสำหรับการประลองแล้วผู้ชนะคือที่สุดผู้แพ้ทำได้เพียงรับคำเหยียดหยามเท่านั้น

กฎการประลองของผู้เข้าประลองในหอเมฆาเบ่งบานคือจัดการประลองทั้งหมด 9 รอบต่อวัน โดย 8 รอบเพื่อหาผู้ชนะและเข้าสู่รอบสุดท้ายเพื่อการห้ำหั่นกันของผู้แข็งแกร่ง โดยนักสู้สามารถเลือกสมัครเข้าสู้ในรอบใดก็ได้ ผู้ชนะของทั้ง 8 รอบล้วนมีเงินก้อนโตเป็นรางวัล แต่รอบสุดท้ายล้วนเป็นรางวัลที่น่าสนใจยิ่งกว่า

หลังจากจบการประลองจะเป็นช่วงพักและจัดเตรียมการประลองรอบต่อไปของนักสู้ แต่ที่จริงแล้วช่วงเวลานี้ทางหอเมฆาเบ่งบานเปิดโอกาศให้ผู้ที่เสียนั้นไปยังโรงจำนำต่างหาก หยางอี้เดินตามสาวใช้เข้ามาภายในหอเดิมพันซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้คนทยอยกันออกไปยังโรงจำนำด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหยางอี้ย่อมได้รับสิทธิ์ในการใช้ห้องชั้นสอง

หลังจากมาถึงห้อง หญิงรับใช้บอกกับเขาว่าจะรออยู่หน้าห้องหากต้องการอะไรสามารถเรียกได้ทุกเมื่อ แล้วก็ออกจากห้องไป หยางอี้ได้ฟังกฎต่างๆจากสาวใช้ระหว่างทางมาแล้ว เมื่อมาถึงก็ยืนมองไปยังเบื้องล่างเพื่อสำรวจผ่านกระจกอยู่ครู่หนึ่ง เขาย่อมสงสัยในการต้อนรับของหอเมฆาเบ่งบาน แต่ก็คิดว่าเป็นเพียงเพราะการนำดวงจิตอสูรจำนวนมากมาขายจึงทำให้ได้เป็นลูกค้าชั้นดี โดยมิรู้เลยว่าเบื้องหลังชื่อเสียงของเขาต่างแพร่งพรายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว

หลังจากสำรวจครู่หนึ่ง หยางอี้ก็ทำตามความต้องการของตนเองคือการเข้าร่วมการประลอง ชายหนุ่มเดินออกจากห้องมาทักทายหญิงรับใช้เล็กน้อยโดยบอกว่ามิต้องตามไป นางจึงยืนรออยู่หน้าห้องรับรองเช่นเดิม เมื่อลงมาหยางอี้มิได้รอช้าตรงไปยังซุ้มรับสมัครผู้เข้าประลองทันที

ช่วงเวลานี้มีคนไม่มากนักแต่หยางอี้ยังสัมผัสได้ว่าคนพวกนี้เองก็มิใช่ย่อยเช่นกัน จากที่ฟังมาการประลองรอบที่ 8 ล้วนดุเดือดที่สุดของทุกวัน แม้การสมัครเข้าร่วมนั้นมิจำเป็นต้องรอให้ถึงรอบ สามารถสมัครรอบที่ต้องการประลองได้เลยก็จริง แต่พวกที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มาเป็นเวลานานย่อมไม่รีบร้อนต้องการประเมินและดูผู้ชนะของแต่ละรอบก่อนตัดสินใจลงแข่งในรอบสุดท้าย

หยางอี้เดินเข้าไปต่อแถวสมัครซึ่งข้างหน้านั้นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำร่างกายสูงใหญ่ 6 คนกำลังยืนต่อแถวกันอยู่ เมื่อหนึ่งในนั้นหันมาเห็นอยางอี้ ถ้อยคำสบประมาทต่างๆก็เริ่มดังออกมา

“เฮ้ เฮ้ เจ้าหนู ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ดึกแล้วเจ้าควรไปกินนมมารดาเจ้าได้แล้ว”

“ฮ่าๆ”

พวกมันต่างหัวเราะเยาะเย้ยกันอย่างสนุกสนาน แต่หยางอี้มิได้ใส่ใจ เพียงทำใบหน้าเรียบเฉยโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองไปยังพวกมันด้วยซ้ำ เมื่อเห็นท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้ ทำให้กลุ่มชายเหล่านี้คิ้วกระตุก

เจ้าเด็กนี่กล้าเมินพวกข้า?

“เจ้าเด็กอวดดี บังอาจเมินพวกข้า เมื่อขึ้นไปแล้วข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงความน่ากลัว! ฮ่าๆ”

“ฮ่าๆ เจ้าเด็กน้อยข้าจะทรมานเจ้าอย่างไรดี จิ๊ๆ หรือจบการประลองแล้วบิดาผู้นี้จะไปร่วมลิ้มลองรสนมมารดาของเจ้าดี?”

หลังจากพูดจบใบหน้าของมันล้วนเต็มไปด้วยความหื่นกระหายมันค่อยๆแลบลิ้นออกมาเลียลิ้มฝีปากแต่ยังไม่ทันเลียได้สุด ปรากฎว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าหันมามองมันด้วยใบหน้าเย็นชา จิตสังหารที่พุ่งตรงเข้ามาหามันนั้นทำให้มันถึงกับชะงักไปวูบหนึ่ง และเป็นเพียงวูบเดียวเท่านั้นที่หยางอี้พุ่งจิตสังหารออกไปก่อนจะหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

‘อ อะไรกัน จิตสังหารที่รุนแรงแบบนี้ใครเป็นคนทำ?’

ใบหน้าของมันเริ่มปรากฎเม็ดเหงื่อและหันมองไปยังรอบข้าง โดยในหัวของมันมิได้คิดสงสัยในตัวหยางอี้เลยเสียด้วยซ้ำ ไม่นานก็มาถึงคิวของเด็กหนุ่ม คณะรับสมัครเหลือบมองมายังหยางอี้แว่บหนึ่งก่อนจะหันกลับไป ในใจคงคิดว่าเป็นพวกเด็กหนุ่มคิดลองวิชาจึงมิได้สนใจมากนัก ที่ผ่านมาถึงจะไม่บ่อยนักแต่ก็มีบ้างที่เหล่ารุ่นเยาว์สมัครขึ้นประลองเพื่อทดสอบฝีมือของตนเอง

หลังจากลงชื่อสมัครเรียบร้อยหยางอี้ก็เข้าไปยังเขตนักสู้ที่ทางหอจัดไว้ ผู้เข้าประลองในรอบที่ 8 นี้ มีประมาณ 80 คน โดยหมายเลขของหยางอี้คือ 67 ตามลำดับแล้วหยางอี้จะขึ้นประลองในสนามที่ 6 โดย จะแบ่งเป็น 8 สนามประลอง สนามละ 10 คน และผู้ชนะทั้ง 8 คนจะมาสู้กันในรอบสุดท้ายเพื่อหาผู้ชนะของการประลองรอบที่ 8

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ความวุ่นวายก็กลับมาอีกครั้งเพราะพวกที่ไปยังโรงจำนำเริ่มทยอยกันกลับมาแล้ว ที่นั่งโดยรอบเริ่มมีคนจับจอง สถานที่ที่คึกคักที่สุดคงหนีไม่พ้นซุ้มรับเดิมพัน ที่เหล่านักพนันกรูกันเข้าไปเพื่อวางเดิมพันในรอบที่ 8

หยางอี้นั่งรออยู่ในเขตนักสู้โดยมิสนใจสิ่งใด การที่เป็นเด็กหนุ่มเข้ามาประลองนั้นย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คนมิใช่น้อย สำหรับนักสู้ด้วยกันนั้นย่อมมีแต่เสียงเย้ยหยันชวนทะเลาะดังมาตลอดเวลา รวมกับหยางอี้ที่ยังคงนั่งหลับตามิได้สนใจสิ่งใดทำให้ผู้คนโดยรอบล้วนหมั่นใส้ไม่น้อย บนห้องรับชมชั้นสองห้องหนึ่งมีชายวัยกลางคนแต่งตัวมีฐานะกำลังนั่งมองไปยังหยางอี้ผ่านกระจกใสของห้อง อยู่ ที่ด้านหลังนั้นเป็นชายชราสองคนยืนคุ้มกันอยู่

“หืม รอบนี้ดูท่าจะได้ชมเรื่องสนุก เจ้าคิดเช่นไร?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน? จากท่าทางแล้วแม้จะโดนยั่วยุแต่ก็ยังสงบได้ หลานคิดว่าคงจะมีฝีมืออยู่พอตัว!”

“ฮ่าๆ หากเจ้าหนุ่มนี่สามารถผ่านเข้ามาเจอกับเจ้าได้คงจะสนุกมิใช่น้อย อาจางไปลงเดิมพันข้างเจ้าหนุ่มนี่ 100,000 เหรียญทอง!”

“ขอรับนายท่าน” หนึ่งในชายชราด้านหลังรับคำก่อนจะออกจากห้องไป

“ท่านลุงแน่ใจแล้วหรือ? ข้ากลัวท่านจะเสียเงินเปล่าๆ”

“ฮ่าๆ เงินเพียงเล็กน้อย อย่างไรในรอบสุดท้ายเจ้าก็คงจะมิทำให้ข้าผิดหวังใช่หรือไม่?”

“แน่นอนขอรับ” บุรุษหนุ่มกล่าวรับคำด้วยความมั่นใจก่อนจะหรี่ตามองไปยังหยางอี้

“ขอให้นักสู้ในรอบที่ 8 ลงสนามเพื่อเตรียมพร้อม”

เสียงประกาศจากกรรมการดังขึ้น นักสู้ทั้ง 80 คนเริ่มทยอยลงสู่ลานประลองของตน

หยางอี้ขึ้นสู่ลานประลองที่ 6 เมื่อมองไปยังรอบลานประลอง หยางอี้เห็นเป็นชายฉกรรย์ 9 คนกำลังยืนยิ้มเหี้ยมพร้อมด่าทอกันไปมาอย่างดุเดือด มีบ้างที่หันมาหาเรื่องหยางอี้แต่เขามิได้สนใจเพียงยืนรอสัญญาณเริ่มประลองเท่านั้น

บนชั้นสองที่หน้าห้องของหยางอี้ หญิงรับใช้ที่เห็นหยางอี้หายไปนานจึงออกจากหน้าห้องเพื่อจะมองหาหยางอี้ เพราะผู้ดูแลหอกำชับไว้ให้ดูแลหยางอี้อย่างดี และเมื่อนางหันหลังเดินออกมาถึงระเบียงก็เหลือบมองไปเห็นหยางอี้อยู่บนลานประลองซึ่งทำให้นางตกใจอย่างมาก

“ตายแล้ว! นั่นคุณชายนี่...ต้องรีบไปรายงานท่านผู้ดูแลแล้ว!”

เฮ เฮ

เสียงกองเชียร์ดังสนั่นภายในหอ เหล่านักพนันต่างร้องเชียร์นักสู้ของตนเองอย่างสุดเสียง

หลังจากนักสู้ทั้ง 80 คน ขึ้นสู่เวทีประลองครบแล้ว กรรมการก็ประกาศเริ่มการต่อสู้ทันที

เหล่าชายร่างบึกบึนโหมเข้าปะทะกันอย่างสุดกำลัง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เพียงแต่ในเวทีที่ 6 กลับแตกต่าง ด้วยเพราะมีเด็กหนุ่มร่างกายแลดูบอบบางคนหนึ่งยืนอยู่ที่มุมของเวทีทำให้หลายคนเล็งเป้าหมายมายังเขาก่อน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาจัดการชายหนุ่มในทันทีเพราะนี่เป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอนหากมีคนเข้าหาเด็กหนุ่มแล้วใครจะรับประกันว่าจะไม่โดนพวกที่เหลือแทงข้างหลัง?

สุดท้ายกลับกลายเป็นทั้ง 9 คนพุ่งเข้าปะทะกันเองแล้วเหลือเด็กหนุ่มไว้เป็นอาหารหวานตบท้ายหยางอี้เพียงยิ้มบางให้กับชายทั้ง 9 ที่ดูถูกตนเอง แต่ก็ดีที่มิต้องเปลืองแรง ทุกสายตาจับจ้องไปยังลานประลองในจุดที่มีการปะทะกันอย่างดุเดือด ทักษะวิชา กระบวนท่า ถูกใช้ออกอย่างต่อเนื่อง!

หยางอี้ที่ยืนอยู่ในมุมของเวทีประลองเริ่มโคจรทักษะซ่อนจันทร์ดับดารา ทำให้บรรยากาศโดยรอบเด็กหนุ่มเริ่มปรับเข้ากับธรรมชาติ กระแสลมปราณหมุนวนไปในทางเดียวกับภายนอก ตัวตนของเด็กหนุ่มเริ่มค่อยถูกลบเลือนออกจากสัมผัสของผู้คน ไม่นานภายในหอเดิมพันก็มิมีผู้ใดสังเกตถึงหยางอี้อีกต่อไป ตัวตนของเขากลับกลายเป็นของไร้ค่าในสายตาของคนอื่น...ถูกมองข้ามอย่างสมบูรณ์!

“ทักษะของอาจารย์ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากข้าบรรลุถึงขั้นสูงสุดตามตำราบอกว่าสามารถลบกระทั่งกายหยาบให้หายไปได้เลยทีเดียว!”

นี่เป็นครั้งแรกที่หยางอี้ทดลองใช้ทักษะนี้กลางฝูงชน ซึ่งผลของมันน่าประทับใจอย่างมาก เขาทำเพียงเฝ้ามองการต่อสู้ของชายทั้ง 9 ที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดจนเวลาเลยผ่านไป

ตอนนี้มี 5 ลานประลองที่การต่อสู้จบลงแล้ว ที่ยังเหลือคือลานประลอง ที่ 1 มีนักสู้อยู่ 2 คน ลานประลองที่ 4 มีนักสู้อยู่ 3 คน และลานประลองที่ 6 ของหยางอี้มีนักสู้อยู่ 4 คนหยางอี้มองดูชายฉกรรย์ 3 คน ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด กฎของการประลองรอบคัดเลือกนั้นห้ามใช้อาวุธเพราะการคัดเลือกนั้นแน่นอนว่ามิได้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ฉะนั้นแล้วการใช้อาวุธจะทำให้หอเดิมพันกลายเป็นโรงเชือดพวกไก่หนุ่มเสียเปล่าๆ

กองเชียร์ต่างร้องออกมาอย่างคึกคักสนุกสนาน การต่อสู้ที่ใช้หมัดต่อหมัด เท้าต่อเท้า ของนักสู้บนเวทีล้วนทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน

“สู้มันๆ เจ้าโล้นหากเจ้าชนะข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”

“บัดซบ อย่าไปยอมมัน ตบเจ้าโล้นนั่นให้ร่วง”

“เฮ้ เจ้ายักษ์หากเจ้ายอมแพ้ข้าจะให้เจ้ามากกว่ารางวัลที่เจ้าชนะ!”

“มารดาเจ้าเถอะ!”

$^#%@*$)#&^$

เสียงด่าทอ เสียงเชียร์ และกำลังใจรวมไปถึงคำสบประมาทต่างๆนานา ดังออกมาจากฝูงผีพนันอย่างต่อเนื่อง หยางอี้ที่ฟังอยู่ได้แต่ส่ายหน้า คนพวกนี้เห็นการต่อสู้เป็นเพียงเรื่องพนันเท่านั้น

เวลาผ่านไปไม่นานลานประลองอื่นๆก็จบลงจนเหลือเพียงแค่ลานประลองที่ 6

ตุบ!

เสียงร่างใหญ่ยักษ์ของชายที่ถูกเรียกว่าเจ้ายักษ์ล้มลงบนพื้นเวที ก่อนจะเผยให้เห็นร่างของชายหัวโล้นที่ยืนหอบอยู่ด้านหลัง ทั่วทั้งตัวมันเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลและคราบเลือด มันค่อยๆตั้งตัวให้ตรงก่อนจะเผยรอยยิ้มชูกำปั้นขึ้นเพื่อแสดงถึงชัยชนะ!

เฮ เฮ

นักพนันฝ่ายเจ้าโล้นต่างร้องตระโกนด้วยความสุข เจ้าโล้นหมุนตัวไปรอบด้านเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมัน แต่แล้วเรื่องที่มันคิดมิถึงก็เกิดขึ้น เมื่อมีเงาสายหนึ่งมาปรากฏเบื้องหลังทำให้ขนมันลุกเกรียวด้วยสัมผัสอันน่ากลัว

ปัก! ร่างเจ้าโล้นค่อยๆเอนลงกับพื้นพร้อมกับดวงตาของมันที่ค่อยๆพร่าเลือน

ตุบ!

เสียงร่างอันกำยำกระทบกับพื้นลานประลอง เปรียบดังสัญญาณที่บอกให้ทุกคนเงียบเสียง ฉับพลันบริเวณรอบลานประลองที่ 6 กลายเป็นเงียบสนิท ทุกคนล้วนอยู่ในอาการงุนงง ทำไมอยู่ๆเจ้าโล้นถึงสลบฟุบไปกับพื้นเวที? เจ้าหนุ่มนี่มาจากไหน?

อาการงุนงงปรากฏขึ้นกับผู้ชมรอบลานประลองที่ 6 ยิ่งพวกที่พนันกับเจ้าโล้นไว้หน้าตาล้วนบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด พวกมันเพิ่งดีใจได้เพียงชั่วครู่ ยังมิได้คิดด้วยซ้ำว่าจะเอาเงินไปทำอะไรต่อ!

“เฮ้ เจ้าเด็กนี่ก็เป็นนักสู้ลานที่ 6 เช่นกัน! ว่าแต่ก่อนหน้านี้มันไปอยู่ไหนมา?” เสียงบางคนดังขึ้นทำให้คนอื่นๆเริ่มนึกออกว่าหยางอี้ก็เป็นหนึ่งในนักสู้เช่นกัน

“บัดซบ เจ้าขี้โกง”

“ใช่แล้ว มันต้องโกงแน่ๆ”

“เด็กน้อยเช่นมัน หากไม่โกงต้องถูกตบร่วงไปนานแล้ว”

เสียงด่าทอเริ่มดังขึ้นจากพวกที่พนันฝ่ายเจ้าโล้น หยางอี้เพียงยักไหล่มิได้สนใจ ก่อนหันหน้าไปทางกรรมการให้ประกาศผล กรรมการนั้นยังงงอยู่เช่นกัน เขาเดินเข้ามาหาอยางอี้ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างจริงจรัง

“เจ้าหนู ก่อนหน้านี้เจ้าไปอยู่ไหนมา? เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหากโกงในหอเดิมพันจะถูกหอเมฆาเบ่งบานลงโทษอย่างหนัก!”

เมื่อได้ยินหยางอี้ขมวดคิ้วทันที คิดในใจว่ากรรมการที่นี่ ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

“ผู้อาวุโส ข้านั้นอยู่บนเวทีแห่งนี้ตลอด มิได้กระทำผิดกฎแต่อย่างไร” หยางอี้ยังคงตอบกลับไปอย่างสุภาพ

“ฮึ่ม เจ้าเด็กปากแข็ง ตาแก่คนนี้เฝ้ามองลานประลองแห่งนี้อยู่ตลอดเจ้าคิดว่าข้าหูตาฝ้าฟางหรือไร?” ชายชราผู้เป็นกรรมการกล่าวออกมาอย่างรุนแรง ทำให้หยางอี้เริ่มไม่พอใจ หากใครดีมาเขาย่อมดีตอบแต่คนที่หาเรื่องเขาย่อมมิใช่!

“เช่นนั้นคงเป็นเพราะเจ้าแก่จนหูตาเลอะเลือนกระมังจึงมองมิเห็นข้า”

หยางอี้ตอบกลับไปอย่างเรียบเฉยทำให้ชายชราผู้เป็นกรรมการโกรธจนหน้าแดง เขาง้างมือออกตั้งใจจะตบสั่งสอนหยางอี้ให้รู้จักสูงต่ำ

“เจ้าเด็กเหลือขอ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนบิดาเจ้าเอง!”

เมื่อเห็นการกระทำของมันหยางอี้เพียงหรี่ตามองโคจรลมปราณเตรียมรับมือ แต่ก่อนที่กรรมการอาวุโสจะได้ลงมือก็มีชายคนหนึ่งมาปรากฏตัวข้างเขา ทำให้เขาหยุดมือและกระซิบบางอย่างบอกกับกรรมการอาวุโส

“ฮึ่ม! ผู้ชนะเวทีที่ 6 หยางอี้!” เสียงประกาศดังออกมาจากปากของชายชรา ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินจากไป ได้หันกลับมาพูดกับหยางอี้

“ความอวดดีไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จะทำให้เจ้าเจ็บตัว เจ้าเด็กเหลือขอ!” หยางอี้เพียงยักไหล่ก่อนจะเดินลงจากเวทีไป

ที่มุมระเบียงแห่งหนึ่งบนชั้นสอง หญิงสาวรับใช้ที่ถูกส่งมารับใช้หยางอี้เฝ้ามองดูเหตุการณ์อยู่ตลอด เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าของนาง

“เฮ้อ ท่านผู้ดูแล เมื่อไหร่ท่านจะมาถึง หัวใจข้าจะวายก่อนกระมัง”

ทางด้านล่างเวทีประลองในส่วนซุ้มของกรรมการ ชายชราที่มีปากเสียงกับหยางอี้เดินลงเวทีเข้ามานั่งภายในซุ้มอย่างหัวเสีย

“หมายความว่ายังไงตาแก่ฮง? ข้าอยู่บนเวทีประลองยังไม่สังเกตเห็นเจ้าเด็กนั่น เจ้าแน่ใจรึว่ามันมิได้โกง?” ด้านข้างของชายชราเป็นชายชราอีกคนที่สวมชุดรัดรูปของกรรมการเช่นเดียวกัน เขามีร่างท้วมรวมกับผมกลางกระหม่อมที่ล้านเตียนจนเป็นเอกลักษณ์

“จริงสิตาแก่จิ้ง ข้ากับท่านหัวหน้าหอสังเกตเจ้าเด็กนั่นอยู่ตลอดเวลา มันยืนอยู่ตรงนั้นตลอดจริงๆ เพียงแต่บรรยากาศรอบตัวกลับแปลกประหลาดนัก!”

“แปลกยังไง?” ผู้ถูกเรียกว่าตาแก่จิ้งกล่าวออกมาอย่างสงสัย

“ข้าและหัวหน้าหอสัมผัสถึงลมปราณของมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...ราวกับว่าตัวตนของมันกลมกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบ!”

“ข้าคิดว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นต้องใช้ลูกไม้บางอย่างในการเล่นตุกติก เจ้ามิน่าให้คนมาห้ามข้า!” ชายชราจิ้งกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“เฮ้ๆ เจ้าโง่ เจ้าคิว่าเจ้าเป็นใคร หากทำเช่นนั้นมิเป็นการเสียเกียรติของหอเมฆาเบ่งบานเรารึ?” ชายชราฮงกล่าวออกมาเพื่อเตือนสติสหายของเขา

“เหอะ! ถึงอย่างนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าเด็กปากดีนั่นง่ายๆแน่”

“เจ้านี่นะ แก่จนจะลงโลงยังจะทะเลาะกับเด็ก” พูดจบชายชราฮงก็ส่ายหน้าให้กับสหายของเขาก่อนจะลุกออกไป

“เจ้าเด็กน้อย ข้ามีอีกหลายวิธีที่จะจัดการเจ้า หึหึ”

ด้านหยางอี้หลังลงจากลานประลองแล้วก็กลับมานั่งยังพื้นที่รับรองนักสู้ ชายหนุ่มนั่งหลับตาโดยมิได้สนใจสายตามากมายที่จับจ้องมาเลยแม้แต่น้อย จนผ่านไปไม่นาน เมื่อทุกอย่างพร้อม กรรมการก็ประกาศให้ทั้ง 8 คนขึ้นสู่ลานประลองที่ 9 ซึ่งอยู่ใจกลางของลานประลองทั้ง 8 โดยกฎยังคงเหมือนเดิมเป็นการตะลุมบอน เพียงแต่ในรอบนี้นั้นสามารถใช้อาวุธได้

หยางอี้ก้าวขึ้นมาบนเวทีและสัมผัสได้ทันทีถึงจิตสังหารจากอีก 7 คนที่มุ่งเป้ามายังตัวเขา หยางอี้ไล่มองชายเบื้องหน้าทั้ง 7 ก่อนจะไปหยุดที่กรรมการตัดสินของรอบนี้ นั่นก็คือชายชราจิ้งคนเดิมที่หยางอี้เคยมีเรื่องด้วย เขามองมายังหยางอี้พร้อมยิ้มให้อย่างเย้ยหยัน ทำให้หยางอี้เข้าใจได้ว่าทำไมตนจึงเป็นเป้าหมายของชายทั้ง 7 เบื้องหน้า

หยางอี้ยกยิ้มขึ้นที่เล็กน้อย นี่คือสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน เหตุผลที่มายังหอเดิมพันมิใช่มาเพียงเพื่อรับชมอยู่แล้ว หลังจากการฝึกกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ตัวเขาแทบจะทนไม่ไหวที่จะได้ประลองวัดฝีมือกับคนอื่น

“การประลองหาผู้ชนะรอบที่ 8 เริ่มได้”

สิ้นเสียงกรรมการ ชายทั้ง 7 ไม่รอช้าพุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที แม้หลายคนจะไม่สบอารมณ์ที่ชายชาตรีเช่นพวกมันต้องมารุมกลุ้มเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวอยู่บ้างแต่จะทำไงได้ เจ้าเด็กนี่ดันไปหาเรื่องกับรองผู้ดูแลหอแห่งนี้

“โหสิ โหสิ เจ้าหนู มันเป็นคำสั่ง”

“เฮ้อ ข้าว่าเจ้ารีบยอมแพ้เสียเถอะพวกข้าไม่อยากเสียเวลา”

“ใช่ๆ เด็กน้อย ข้าไม่อยากรังแกเด็กหรอกนะ”

“เฮอะ ลำบากนักก็หลบไป ฮี่ๆ บิดาผู้นี้ชื่นชอบการกระทืบเด็กยิ่งนัก ฮ่าๆ”

หลายคนพยายามพูดเพื่อให้หยางอี้ยอมแพ้ไป แต่ไหนเลยเด็กหนุ่มกลับยิ้มเหี้ยมมิได้ฟังคำพวกมันแม้แต่น้อย เมื่อได้เป้าหมายแรกหยางอี้ก็เริ่มลงมือทันที

ย่างก้าวมายาสวรรค์!

ท่าเท้าอันรวดเร็วถูกใช้ออกอย่างฉับพลัน หยางอี้หายไปโผล่อยู่ด้านหน้าชายร่างใหญ่ที่พูดว่าชอบกระทืบเด็กทันที มือขวาโคจรลมปราณหลอมตะวันคว้าจับเข้าที่กระพุ้งแก้มของมันแล้วค่อยๆยกให้มันลอยขึ้น

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นฉับพลันทำให้อีก 6 คนที่เหลือตกใจและรีบฉากหลบออกไปด้านนอกเหลือเพียงหยางอี้และชายที่ถูกจับไว้อยู่ในวงล้อม

ด้วยแรงบีบอันมหาศาลรวมกับความร้อนที่มือของหยางอี้ทำให้ชายร่างโตดิ้นพล่านอย่างทุรนทุรายสภาพดูน่าอนาถไม่น้อย

“ฮี่ๆ พี่ชายนั้นคิดเหมือนข้าพอดี ข้านั้นก็ชื่นชอบในการกระทืบผู้ใหญ่เช่นท่านเหมือนกัน!”

ตูม!

สิ้นคำ หยางอี้ออกแรงทุ่มร่างมันลงกับพื้นเวทีประลองอย่างแรง จนพื้นเวทีรอบๆร่างของมันเกิดเป็นรอยแตกร้าว อีก 6 คนที่เหลือถึงกับยืนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าพวกมันทุกคนเป็นผู้ฝึกปราณระดับปราณก่อตั้งจิต แถมไอ้คนที่ไปคนแรกยังอยู่ในขั้นกลางเสียด้วย แม้จะเป็นทีเผลอแต่การสลบโดยการทุ่มเพียงครั้งเดียว...เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน?

“เอาล่ะพี่ชาย เรามาสนุกกันดีกว่า” หยางอี้หันมาพูดกับอีก 6 คนที่เหลือ

“ฮึ่ม! ก็แค่เด็กเพียงคนเดียว เจ้าโง่นั่นมันประมาทเอง พวกเจ้าเข้าโจมตีพร้อมกันดูว่ามันจะรอดได้อย่างไร!” หยางอี้มองไปยังต้นเสียงด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชายชราจิ้งที่พูดออกมาอย่างแผ่วเบาพอให้คนบนลานประลองได้ยินเท่านั้น

นี่ชัดเจนแล้วเจ้าแก่นี้คิดจะจัดการเขา! หยางอี้เพียงหันไปยังชายชราจิ้งและขยับปากเล็กน้อยโดยมิได้ออกเสียงก่อนจะพุ่งเข้าหาอีก 6 คนที่เหลือโดยมิสนใจใบหน้าของชายชราที่เดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวด้วยความโกรธเลยแม้แต่น้อย

ปัง ปัง ปัง

เสียงการปะทะกันของร่างกายดังก้องไปทั้งหอเดิมพัน เพียงแต่ที่แตกต่างคือไม่มีเสียงเชียร์แม้แต่น้อยกลับกลายเป็นความเงียบที่เกิดจากการตกตะลึง เด็กหนุ่มบนลานประลองร่ายรำกระบวนท่ารับมือกับชายร่างใหญ่ทั้ง 6 คน ได้อย่างหมดจดและงดงาม ทุกท่วงท่าเป็นไปอย่างธรรมชาติ ชายชราจิ้งเองก็อยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน เขามิคาดคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะกระทำได้ถึงเพียงนี้!

“ข้าว่าได้เวลาแล้ว” สิ้นคำ หยางอี้ซัดฝ่ามือเข้าหาชายทั้ง 6 ทีละคนโดยเคลื่อนไหวร่างกายหลบคมอาวุธและหมัดที่ประดังเข้ามาหาอย่างต่อเนื่อง

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง

ร่างใหญ่ทั้ง 6 ร่างที่รุมล้อม กระเด็นออกไปคนละทางเหลือทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่มหน้าคมยืนมือไพล่หลังสองตาจับจ้องไปยังกรรมการจิ้งอย่างเย้ยหยัน

“ผู้อาวุโสประกาศผู้ชนะได้แล้วกระมัง?” ชายชราพลันได้สติจากอาการตกตะลึง แต่เมื่อมองเห็นสายตาดูถูกจากเด็กหนุ่มเบื้องหน้าก็ยิ่งทำให้เขาเดือดดาล ก่อนจะแค่นเสียงออกมา

“เฮอะ! เจ้าเด็กน้อยอย่าได้อวดดีนักกับความสามารถเล็กน้อย ข้าสามารถบี้เจ้าดังแมลงได้ทุกเมื่อ!”

“ฮ่าๆ สงสัยท่านคงจะแก่จนเลอะเลือนแล้วจริงๆ ข้าถามอีกอย่างแต่กลับตอบอีกอย่าง” เมื่อได้ยินดังนั้นอารมณ์โกรธของชายชราก็ปะทุขึ้นทันที เขาพุ่งเข้าไปหาหยางอี้โดยไม่ลังเล แต่ก่อนจะถึงตัวก็มีร่างท้วมของชายชราฮงมาขวางไว้

“ตาแก่จิ้ง ที่นี่คือหอเดิมพันนะ! เจ้าลงไปก่อนเดี๋ยวข้าจัดการเอง” ชายชราจิ้งพลันได้สติจากความโกรธ ก็มองไปยังหยางอี้อย่างเกลียดชังก่อนจะแค่นเสียงและลงจากเวทีไป

“ผู้ชนะในรอบที่ 8 คือ...หยางอี้ อีกครึ่งชั่วยามจะเป็นการประลองหลักเพื่อหาผู้ชนะของวันนี้ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม!” ชายชราฮงประกาศผู้ชนะและกำหนดการออกมา ก่อนจะหันไปมองยังหยางอี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด และถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ เจ้าหนุ่ม อย่าได้ทำให้เรื่องมันยุ่งยากนัก” พูดจบเขาก็เดินลงจากเวทีไป ส่วนหยางอี้นั้นมิได้ใส่ใจมากนักเมื่อลงจากเวทีก็มุ่งหน้ากลับห้องรับรองบนชั้น 2 ทันที

หยางอี้นั่งพักอยู่ในห้องรับรองชั้นสองโดยมีสาวรับใช้ยืนรออยู่หน้าห้อง แม้จะไม่ได้ใช้แรงมากมายแต่ชายหนุ่มก็เลือกจะโคจรปรับพลังปราณให้พร้อมที่สุดก่อนต่อสู้ในรอบสุดท้าย ตอนนี้หยางอี้มาถึงจุดสูงสุดของปราณก่อตั้งจิตในขั้นกลางแล้ว หากจะทะลวงไปขั้นสูงหยางอี้คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เขาตัดสินใจว่าจะใช้ช่วงเวลาในการอยู่กับวิหารสวรรค์เพื่อทะลวงผ่าน รวมไปถึงเรื่องของทรัพยากรในการฝึกฝนด้วย

“ข้ามีเวลาหนึ่งเดือนในการฉกฉวยสิ่งต่างๆจากสำนัก หวังว่าคงจะไปได้ด้วยดี”

ก๊อก ก๊อก

หยางอี้หันไปทางประตูห้องก่อนจะกล่าว เชิญ ให้ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามา

“คุณชายหยางเป็นอย่างไรบ้าง? หอเดิมพันของเราถูกใจท่านหรือไม่?”เป็นผู้ดูแลหอแห่งนี้ ปู้หยุนนั่นเองที่เข้ามาทักทายหยางอี้ แม้ชายหนุ่มแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ

“แน่นอน! ที่หอเดิมพันของท่านนั้นถูกใจข้าเป็นอย่างมาก ผู้อาวุโสมีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า?”

“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี ข้าเพียงหมดธุระเรื่องงานแล้วจึงคิดจะมาตรวจดูที่นี่เสียหน่อย เมื่อเห็นว่าคุณชายได้เข้าร่วมประลองด้วยข้าจึงถือโอกาสมารับชมด้วยตัวข้าเอง” ปู้หยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างชื่นชม

“ผู้อาวุโสกล่าวเกินไปแล้ว...เชิญท่านนั่งก่อน”

หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ปู้หยุนที่ได้รับรายงานจากหญิงรับใช้ก็ไม่ลืมจะกล่าวถามหยางอี้ว่ามีใครมาทำให้ไม่พอใจหรือไม่ หยางอี้นั้นก็เพียงบอกว่าเรื่องเล็กน้อยมิได้ใส่ใจอะไร ทำให้ปู้หยุนรู้สึกชื่นชมนิสัยของหยางอี้มากกว่าเดิม หลังจากครบครึ่งชั่วยาม หยางอี้ก็ขอตัวลงไปยังสนามประลอง โดยปู้หยุนนั้นจะรอชมการต่อสู้อยู่ที่ห้องรับรองของหยางอี้

‘เหตุใดทางหอจึงดูใส่ใจข้านัก? คงมิใช่เพียงเพราะการซื้อขายดวงจิตอสูรอย่างเดียวเป็นแน่’

เมื่อลงมาถึงบริเวณลานประลอง หยางอี้ก็รอในที่นั่งหมายเลข 8 ที่ถูกเตรียมไว้ให้ผู้ชนะของทั้ง 8 รอบ หยางอี้มองไป 7 คนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วซึ่งทั้ง 7 ก็มองมายังชายหนุ่มเช่นกัน ใน 7 คน ประกอบด้วย ชาย 5 หญิง 2 หนึ่งในหญิงสาวทั้งสองมองมายังหยางอี้อย่างสนใจเธอเป็นหญิงวัยกลางคนสรีระยั่วยวนแต่งกายด้วยชุดวาบหวิวเผยสัดส่วนอันเย้ายวนของเธอ

หญิงสาวอีกคนที่ดูนิ่งเฉยเมื่อสังเกตเด็กหนุ่มไม่นานเธอก็หันกลับไป ชายสามคนนั้นมองเพียงแว่บเดียวเช่นหญิงสาวก็หันกลับไป อีกสองคนคือชายชราและบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอายุราว 20 ปี สองสายตาที่จ้องมองมาหยางอี้สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน หนึ่งคือสายตาชื่นชมจากชายชรา และอีกหนึ่งคือสายตาปองร้ายจากบุรุษหนุ่ม หยางอี้ยิ้มบางให้กับชายชราและเลือกเมินบุรุษหนุ่มอย่างชัดเจน

“นี่พ่อหนุ่มน้อย มานั่งข้างๆพี่สาวสิจ๊ะ”

หยางอี้มองไปยังสตรีผู้เย้ายวนก่อนจะปฎิเสธออกไปอย่างสุภาพ ทำให้นางแสดงอาการขัดใจเล็กน้อย

“เมื่อมาครบแล้ว ต่อไปจะเป็นการจับฉลากเพื่อเลือกคู่ต่อสู้ ขอให้ทุกคนเลือกหยิบแผ่นป้ายคนละหนึ่งแผ่น”

ทั้ง 8 คนเดินไปยังป้ายไม้ทั้ง 8 แผ่นที่วางปักอยู่ในกระถางไม้ก่อนจะเลือกหยิบมาคนละหนึ่งป้าย หยางอี้หยิบได้หมายเลข 4 โดยป้ายทั้ง 8 จะมีเลข 1 ถึง 4 อย่างละหนึ่งคู่ ผู้ที่ได้หมายเลขเดียวกันจะต้องประลองกันในรอบต่อไปหยางอี้จับได้เลข 4 โดยคู่ต่อสู้คือชายวัยกลางคนสวมชุดรัดรูปของนักสู้ที่ไม่ได้สนใจหยางอี้เมื่อตอนมาถึง ทั้งสองจะขึ้นต่อสู้ในรอบที่ 4 โดยรอบแรกนั้นเป็นหญิงสาวทั้งสองคนที่ลักษณะต่างกันสุดขั้ว

เมื่อทั้งสองขึ้นสู่เวที กรรมการก็ประกาศเริ่มต่อสู้ทันที การต่อสู้รอบสุดท้ายนั้นไม่มีกฎแต่อย่างใดสามารถทำได้ทุกอย่าง กลอุบาย อาวุธ กระทั่งสังหารก็ทำได้เช่นกัน!

สตรีผู้เย็นชานั้นนางใช้กระบี่เป็นอาวุธส่วนสตรีผู้เย้ายวนใช้แส้เป็นอาวุธ ทั้งสองอยู่ในระดับก่อตั้งจิตขั้นกลางเช่นเดียวกัน การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสีจนกระทั่งช่วงสุดท้ายผู้คนก็ตกตะลึงเพราะหนึ่งในทั้งสองใช้ออกด้วยกระบวนท่า กระบี่พิรุณ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาประจำตระกูลชี ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางระดับสูงของเมืองหลวง และสุดท้ายการต่อสู้ก็จบลงด้วยชัยชนะของนาง

หยางอี้ชมการประลองอย่างสนใจ มันเป็นเวลานานมากแล้วที่เขามิได้มีโอกาสได้รับชมการต่อสู้เช่นนี้รอบที่สองเป็นชายชราและชายวัยกลางคนที่ขึ้นสู่เวที เสียงเชียร์ดังสนั่นไปทั่วทั้งหอเดิมพัน หยางอี้เพิ่งตระหนักได้จากผู้คนที่พูดคุยกันว่า ชายชรานั้นเป็นคนดังของหอเดิมพันแห่งนี้ ด้วยสถิติการเป็นผู้ชนะมากว่า 50 ครั้ง และพ่ายแพ้เพียง 3 ครั้งเท่านั้นและ 3 ครั้งที่พ่ายแพ้นั้นเพราะว่ามีสุดยอดอัจฉริยะของเมืองหลวงเข้าร่วมการประลองด้วย

“อาวุโสชู สู้ๆ”

“ตาแก่ชูจัดการมัน”

เสียงเชียร์เป็นไปอย่างคึกคักทำให้อีกฝ่ายนั้นโมโหไม่น้อยเพราะตั้งแต่ขึ้นมามีแต่เสียงเชียร์ของฝ่ายชายชรา การต่อสู้ดำเนินไปเพียงไม่นานก็จบลง ตามที่คาดไว้เป็นชายชราชูเอาชนะได้อย่างง่ายดาย หยางอี้ที่ลอบสำรวจพลังปราณของชายชราพบว่าอยู่ในระดับก่อตั้งจิตขั้นปลายแล้ว อีกเพียงเล็กน้อยจะสามารถตัดผ่านไปยังระดับปฐพีได้!

รอบที่สามเป็นบุรุษหนุ่มกับชายวัยกลางคนร่างโต เมื่อก้าวขึ้นเวทีฝ่ายบุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องชื่นชมเช่นกัน เขาคือ จุยสง หลานชายของ จุยฮวางผู้ดำรงตำแหน่งอำมาตฝ่ายซ้ายของราชวงศ์! จุยสงนับเป็นอัจฉริยะของเมืองหลวงซึ่งตำแหน่งของเขาคือ อันดับที่ 17 ของรุ่นเยาว์ ผู้ก้าวถึงระดับก่อตั้งจิตขั้นสูงด้วยอายุเพียง19 ปี!

เมื่อเริ่มการประลองเพียงชั่วครู่เท่านั้น จุยสงใช้เพียงมือเปล่าในการซัดฝ่ายตรงข้ามกระเด็นร่วงเวทีประลองอย่างงดงามเรียกเสียงโห่ร้องก้องไปทั้งหอเดิมพัน เขาหันมามองหยางอี้ด้วยสายตาเย้ยหยันเหมือนการบอกให้รู้ว่าหยางอี้มิอาจเทียบเคียงกับเขาได้

หยางอี้เพียงถอนหายใจและมิได้สนใจเขาก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นเวทีประลอง ในจังหวะที่เดินสวนกันจุยสงก็พูดขึ้น

“เจ้าหนูรีบยอมแพ้ซะ...หากเจ้ามาเจอข้า แน่นอนข้าจะไม่ปราณีเจ้า!”

หยางอี้หรี่ตามองไปยังจุยสงอย่างสับสน เจ้านี่มันเป็นบ้าอะไร? ข้ากับมันยังไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมาหาเรื่องข้า? อย่างไรก็ตามหยางอี้ก็ตอบกลับไปเสียงเย็นเยียบ หากใครมาหาเรื่องตัวเขาย่อมมิอยู่เฉยให้ถูกรังแกแน่นอน!

“ข้าก็จะไม่ปราณีเช่นกัน!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด