ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 11
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 13

เล่มที่ 1 บทที่ 12


  

“เม็ดยากลืนโลหิต!”

“เจี่ยฮงเอามันมาจากไหน?”

“เจี่ยฮงคงเสียสติไปแล้วหากเขากล้ากินยากลืนโลหิต”

“ข้าไม่อยู่แล้ว เจี่ยฮงอาจจะคลั่งได้ทุกเมื่อ!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างพูดคุยกันจอแจ มีหลายคนที่ถอนตัวและออกจากบริเวณนั้นไปสังเกตการณ์อยู่ไกลลิบ ทุกคนต่างรู้ดีว่ายากลืนโลหิตนั้นคืออะไร มันคือยาต้องห้าม! มันคือยาที่จะทำให้ผู้ที่กินมันเข้าไปเผาผลาญโลหิตภายในร่างเพื่อเพิ่มพลังปราณระดับสุดยอด หากเจี่ยฮงนั้นกินเข้าไป เขาอาจจะก้าวไปถึงระดับสูงสุดของขั้นปฐพีก็เป็นได้!

หากแต่ทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ แต่สิ่งตอบแทนสำหรับการใช้ยากลืนโลหิตนั้นสูงยิ่งนัก พลังที่ถูกกระตุ้นโดยยากลืนโลหิตจะอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นผู้ใช้จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างเจ็บปวด กระดูกทั่วร่างจะแตกร้าวผิวหนังจะเจ็บปวดราวถูกเข็มนับล้านเล่มทิ่มแทงตลอดสามวัน โลหิตจะหลั่งไหลออกจากทวารทั้ง 7 หากไม่มีการรักษาคอยบรรเทาอาการเจ็บปวด แน่นอนว่าผู้นั้นจะต้องตกตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหวแน่นอน! และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือระหว่างครึ่งชั่วยามที่ยาแสดงผลนั้น ผู้ใช้จะอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง ดวงตาแดงฉานราวกับปีศาจ มันจะโจมตีทุกสิ่งที่มันเห็น สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปกลายเป็นปีศาจที่บ้าคลั่ง!

เมื่อห้าร้อยปีก่อนเคยมีผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งเข้าโจมตีทั้ง 5 อาณาจักร พวกมันล้วนมีพลังสูงส่ง พวกมันทุกคนต่างมีความบ้าคลั่ง มันเข่นฆ่าผู้คนมากมายจนผู้คนล้วนหวาดกลัว ประชาชนของ 5 อาณาจักรอยู่กันอย่างขวัญผวา มีผู้คนถูกฆ่าตายทุกวัน สงครามครั้งนั้นดำเนินไปกว่า 5 ปี มีผู้คนนับมิถ้วนที่ตกตายอย่างไร้ที่กลบฝัง

5 อาณาจักรผนึกกำลังเข้าต่อสู้จนในที่สุดพวกมันก็ถอนกำลังกลับไป เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นดังฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนมากว่า 100 ปี จนกระทั่งบ้านเมืองกลับมาสงบสุข ผู้คนรุ่นใหม่ถือกำเนิด เหตุการณ์อันโหดร้ายจึงค่อยๆเลือนลางหายไปจากความทรงจำ แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีสถานที่บางแห่งที่สืบทอดเรื่องราวอันเลวร้ายนี้ต่อๆกันมา

แต่กลับกัน สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงหรือกระทั่งเหล่าสำนักใหญ่และราชวงศ์ทั้ง 5 เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงเป็นสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวมาจนกระทั่งปัจจุบัน พวกเขารู้ซึ้งดีว่า เมื่อ 500 ปีก่อนนั้นฝ่าย 5 อาณาจักรมิได้รับชัยชนะแต่อย่างไร! แต่เป็นพวกมันถอนกำลังกลับไปเองและทิ้งภาพความทรงจำอันโหดร้ายเอาไว้ ดวงตาที่แดงฉานราวกับสัตว์ร้าย โลหิตที่หลั่งไหลออกมาจากทวารทั้ง 7 และสุดท้ายพลังอันมากล้นที่มาพร้อมกับความบ้าคลั่งที่ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า

หลังจากการผนึกกำลังเข้าต่อสู้ของ 5 อาณาจักรจนสามารถทำให้พวกมันถอนทัพกลับไปได้ สิ่งที่ฝังลึกลงในความทรงจำของพวกเขาคือภาพฉากสุดท้ายที่ ท้องฟ้าเต็มไปเมฆครึ้ม สายฟ้าสีแดงฟาดผ่านทุกหย่อมหญ้า หยดโลหิตมากมายจากการต่อสู้ไหลย้อนขึ้นสู่ท้องนภาจนลำธารโลหิตค่อยๆก่อตัวเป็นตัวอักษรขนาดมหึมาที่ลอยตระหง่านท่ามกลางสายฟ้าฟาดสีแดง ‘มารสังหารฟ้า’ การประกาศนามอันยิ่งใหญ่ที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผู้คนที่เห็นภาพนั้นให้หวาดกลัวและฝังลึกลงในจิตใจมิลืมเลือน!

หลังจากจบสงคราม 5 อาณาจักรตรวจสอบศพของพวกมันที่ตกตาย และนั่นคือครั้งแรกที่เม็ดยากลืนโลหิตเป็นที่รู้จักในโลกนี้ มันถูกประกาศว่าเป็นยาต้องห้าม ผู้ใดปรุงมันขึ้นมาหรือมีในครอบครองจะถูกจับและลงโทษอย่างหนัก แม้สงครามจะจบลงและโลกอยู่ในความสงบสุขมากว่า 500 ปี แต่เหล่าสำนักใหญ่และราชวงศ์ทั้ง 5 ต่างรู้ดีว่ากลุ่มคนผู้อยู่ภายใต้นาม ‘มารสังหารฟ้า’ ยังคงอยู่ตลอดมาและรอคอยอยู่ในเงามืดอย่างเงียบๆ รอวันที่จะเข้าโจมตีอีกครั้ง

เจี่ยฮงตบเม็ดยากลืนโลหิตเข้าปากอย่างไม่ลังเล ด้วยโทสะอันมากล้นและสภาพจิตใจที่พังทลายจากการรับรู้ถึงสิ่งที่หยางอี้กระทำกับบุตรชายทั้งสองของเขา ความต้องการของเขามีเพียงอย่างเดียวคือเข่นฆ่าชายหนุ่มและทำลายทุกคนเพื่อเซ่นสังเวยให้แก่ความเจ็บปวดของลูกชายสุดที่รักของเขา

หลังจากเม็ดยาเข้าสู่ปากของเขา ร่างกายเขาสั่นเทิ้มอย่างน่าหวาดหวั่น ดวงตาเริ่มกลายเป็นสีแดงฉาน บรรยากาศรอบตัวสั่นไหว พลังปราณอันเข้มข้นค่อยๆทะลักออกจากร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง

อ้าก! เจี่ยฮงคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่ดีแล้ว เพ่ยเพ่ย เสี่ยวปิงรีบไปหลบให้ไกลจากที่นี่!” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด

“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ” ทั้งสองรับคำอย่างว่าง่าย แม้จะเป็นห่วงแต่ก็รู้ตัวดี หากตนอยู่ที่นี่รังแต่จะเป็นภาระให้กับคนอื่น

ไม่นานบริเวณนั้นก็เหลือเพียง 4 คน นั่นคือ เจี่ยฮง เสี่ยวทันหลาง เฟยหลง และหยางอี้ สภาพของเจี่ยฮงตอนนี้นั้นน่ากลัวอย่างมาก หากเด็กเห็นจะต้องร้องผวาไปหลายวัน ชายวัยกลางคนเสื้อผ้าท่อนบนฉีกขาดมีดวงตาแดงฉานสายโลหิตหลั่งไหลออกมาจาก ตา หู จมูก ปาก ราวกับปีศาจที่มาจากขุมนรก

“พวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!” เจี่ยฮงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนที่เขาพุ่งทะยานเข้าหาทั้งสามคน หนึ่งหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณต่อยเข้าหาเสี่ยวทันหลาง เสี่ยวทันหลางรวบรวมปราณทั้งหมดไว้ที่กระบี่ในมือตั้งรับสุดกำลัง

ปัง! ตูม!

เสี่ยวทันหลางกระเด็นไปไกลกว่า 20 เมตรกระแทกเข้ากับกำแพงจวน จนพังทลายเป็นแถบๆ เสี่ยวทันหลางพยุงตัวขึ้นมาสภาพสะบักสะบอม เขากระอักโลหิตออกมาอึกใหญ่

“เฟยหลง ถ่วงเวลามันไว้ก่อน หยางอี้เจ้ารีบหนีไป! เจี่ยฮงตอนนี้แข็งแกร่งเกินไป เพียงหนึ่งหมัดของมันก็เพียงพอแล้วจะสังหารเจ้า!”

“เจ้าหนูรีบไป แม้ข้าทั้งสองต้องตายที่นี่แต่เจ้าต้องรอดไปให้ได้! ข้าขอฝากเพ่ยเพ่ยด้วย ไป! เร็วเข้า!”  เฟยหลงพูดออกมาก่อนจะทะยานเข้าหาเจี่ยฮงที่กำลังพุ่งเข้ามาเช่นกัน

ป้อมมังกรฟ้า!

เฟยหลงใช้ออกด้วยกระบวนท่าตั้งรับเต็มพิกัด เจี่ยฮงนั้นง้างหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังปรานต่อยเข้าไปยังเฟยหลง

ปัง!  ปัง!

เพียงหนึ่งหมัดป้อมปราการทวนก็พังทลายอย่างง่ายดาย อีกหนึ่งหมัดซัดเข้าไปส่งร่างเฟยหลงปลิวไปกว่า 20 เมตร

‘ข้าจะทิ้งพวกท่านไปได้เช่นไร? ความเร็วของมันตอนนี้คงจะพอๆ กับข้า ถ้าหากข้าเคลื่อนไหวก่อนมันเพียงเสี้ยววิมันจะไม่สามารถโจมตีข้าได้ จากที่ท่านลุงบอกเวลาของยาจะอยู่เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากถ่วงเวลาได้ก็ไม่มีใครต้องตาย แม้จะเสี่ยงแต่ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว!’

หยางอี้รวบรวมสมาธิทั้งหมดเปิดประสาทรับรู้ทั้งห้า โคจรพลังปราณไปทุกโสตประสาทก่อนจะค่อยๆแผ่พลังปราณอ่อนๆ ออกไปรอบตัวกว่า 3 เมตร

ตึก  ตึก  ตึก

เจี่ยฮงค่อยๆก้าวเข้าหาเฟยหลงที่นอนหมดสภาพอยู่ พลันมันสัมผัสได้ถึงพลังปราณพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง

ฟิ้ว! ปัง!

เจี่ยฮงยกมือปัดปราณดาบที่หยางอี้ปล่อยออกมาจากการฟาดดาบพยัคฆ์เมฆาจนแตกกระจายอย่างง่ายดาย

“เจ้าแก่บัดซบ ข้าจะเล่นกับเจ้าเอง!”

“เจ้าหนู เหตุใดเจ้าไม่หนีไป!” เสี่ยวทันหลางร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก

อ้าก! เจี่ยฮงคำรามอย่างบ้าคลั่งจากนั้นเขาพุ่งเข้าใส่หยางอี้ทันที ส่วนทางด้านหยางอี้นั้นเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่พลังปราณที่กระจายอยู่รอบตัว ทันทีที่พลังปราณมีการสั่นไหวเขาเร่งเคลื่อนตัวหลบทันที ฟิ้ว! หยางอี้หลบพ้นจากเงื้อมมือของเจี่ยฮงได้อย่างฉิวเฉียด แต่เขาก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังแขนซ้าย

แขนเสื้อของเขาฉีกขาดที่แขนซ้ายมีรอยเขียวช้ำปรากฏให้เห็น ‘น่ากลัวยิ่งนัก! แม้จะหลบหมัดของมันได้แต่ก็ยังไม่สามารถหลบไอพลังปราณที่แผ่ออกมาได้หมด จะประมาทไม่ได้!’

หยางอี้แม้จะหลบหมัดของเจี่ยฮงได้ก็ตาม แต่ด้วยพลังปราณระดับปฐพีขั้นสูงสุดที่เจี่ยฮงปล่อยออกมานั้นมิใช่ของเด็กเล่น! หากพลาดขึ้นมานั่นหมายถึงชีวิตของเขา!

อ้าก! ตูม! ตูม! ตูม!

เจี่ยฮงยังคงไล่ระดมหมัดใส่หยางอี้อย่างต่อเนื่อง ตัวเขาตอนนี้ไม่เหลือสติอยู่แล้ว มีเพียงความบ้าคลั่งและความต้องการทำลายเป้าหมายตรงหน้าเท่านั้น  แม้เขาจะเป็นผู้โจมตีอยู่ฝ่ายเดียว แต่ร่างกายเขากลับถูกชโลมไปด้วยโลหิตที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุดหย่อน

ด้านหยางอี้เองก็มิได้ดีไปกว่านัก เสื้อผ้าฉีกขาดเป็นรอยแหว่งเผยให้เห็นผิวหนังสีเขียวช้ำหลายแห่งบนร่างกาย แต่ชายหนุ่มยังคงกัดฟันทนต่อไป การเคลื่อนไหวราวกับภูตผีที่วับไปแวบมายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไกลออกไปเหล่าบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่ถอยออกมาลอบสังเกตการณ์ต่างตกอยู่ในความเงียบ ความตกตะลึงที่พวกมันแสดงออกมาบ่อยเสียจนน่าขำ ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ มีหลายคนที่ลุ้นเสียจนหัวใจแทบวาย

ฉากอันน่าหวาดเสียวที่เด็กหนุ่มอายุ 15 ปี ระดับก่อกำเนิดคอยเคลื่อนร่างหลบหลีกการโจมตีที่เต็มไปด้วยพลังอันมหาศาลได้มากกว่า 20 นาทีแล้ว จะไม่ให้พวกมันหวาดเสียวได้อย่างไร? ทุกครั้งที่หลบการโจมตีนั้นเป็นไปอย่างเฉียดฉิว ยิ่งเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงที่มีระดับต่ำยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งสองต่างเฝ้าดูอย่างน้ำตาคลอ ด้วยระดับที่ต่ำของพวกนางฉากเบื้องหน้ากลายเป็นเห็นเพียงเจี่ยฮงพุ่งเข้าทำลายภาพติดตาของหยางอี้มากว่า 100 ครั้งแล้ว นางทั้งสองได้แต่ภาวนาในใจเพราะรู้ดีว่าแม้หยางอี้จะหลบมาได้นานเท่าไหร่ ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันครั้ง แต่หากเพียงครั้งหนึ่งที่พลาดโดนการโจมตีนั้นขึ้นมา ทุกอย่างที่พยายามมานั้นล้วนสูญเปล่า! ทุกครั้งที่เห็นการโจมตีของเจี่ยฮง นางทั้งสองได้แต่ภาวนาให้ร่างของหยางอี้จางหายไปดั่งเช่นครั้งก่อนๆ

“นับเป็นผู้เยาว์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” ผู้ฝึกยุทธ์บางคนกล่าวออกมา

“แน่นอนนั่นคือคุณชายหยางอี้! สามีของคุณหนูในอนาคต!” คนตระกูลเสี่ยวที่ยืนดูการต่อสู้ข้างๆพูดออกมาด้วยความภูมิใจในตัวชายหนุ่ม

“เช่นนั้น เด็กหนุ่มผู้นี้นามว่าหยางอี้? ข้าจะจดจำไว้!” ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนมากจะเคารพนับถือผู้ที่แข็งแกร่ง เป็นเรื่องธรรมดาที่ชายผู้นี้จะชื่นชมหยางอี้ การต่อสู้ดำเนินมากว่าสองก้านธูปแล้ว ภาพการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและงดงามดั่งภาพมายายังคงติดตรึงอยู่ในความประทับใจของผู้เฝ้าดูการต่อสู้ทุกคน แต่กับตัวหยางอี้เองนั้นเขาแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ทุกการหลบหลีกเป็นไปอย่างเฉียดฉิว พลังปราณในร่างเหลือน้อยเต็มที

‘บัดซบ ข้าจะไม่ไหวอยู่แล้ว!’

ปัง! ตูม!

ร่างหยางอี้ปลิวกระเด็นไปกว่า 50 เมตร ร่างกายกลิ้งไปตามพื้นก่อนจะหยุดลง อึก! หยางอี้พยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างลำบากก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำโต

“รุนแรงยิ่งนัก ขนาดการโจมตีนี้ข้าหลบได้เกือบจะพ้นและโดนเข้าไปเพียง 5 ส่วน”

ด้วยความเหนื่อยล้าที่วิ่งวนเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนักมาเป็นเวลานานติดต่อกัน รวมกับพลังปราณในร่างใช้ออกจนแทบจะเหือดแห้ง มันทำให้จังหวะสุดท้ายก่อนจะเคลื่อนตัวหลบเจี่ยฮงสามารถส่งหมัดเข้ามาโดนแบบถากๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กน้อยปราณก่อกำเนิดบาดเจ็บสาหัส

หยางอี้มองไปที่แขนขวาที่เอี้ยวหลบไม่พ้น แม้จะเกร็งลมปราณตั้งรับแต่ก็ไม่เพียงพอ สภาพของเขาตอนนี้มีแต่รอยบอบช้ำรวมกับแขนขวาที่หักอีกเมื่อครู่

“แฮ่กๆ ข้ามาได้แค่นี้งั้นหรือ?”

หยางอี้นั่งหอบหายใจพลางมองไปยังเจี่ยฮงที่กำลังพุ่งเข้ามา แม้จะสู้ต่อไม่ได้และความตายกำลังเข้ามาเยือนแต่ชายหนุ่มมิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด สายตาอันคมกล้ายังคงจับจ้องไปยังศัตรูเบื้องหน้า เจี่ยฮงพุ่งเข้ามารวดเร็ว เขาง้างหมัดต่อยเข้าไปที่หยางอี้อย่างเต็มแรง ฉับ! ฟู่! ทั้งสองต่างมึนงง เจี่ยฮงค่อยๆหันไปมองยังแขนขวาของเขา ปรากฏว่าบัดนี้เหลือเพียงหยาดโลหิตที่พุ่งออกมา ส่วนแขนขวาเขานั้นกระเด็นออกไปกว่า 10 เมตรด้วยแรงเหวี่ยงของเขา

ด้วยความมึนงงแขนเขาขาดได้อย่างไร กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดยังไม่มี ต้องใช้ความเร็วเท่าใดกันถึงจะทำให้ร่างกายของมนุษย์แยกออกจากกันโดยไร้ความรู้สึก เขาค่อยๆหันหน้ากลับมา จนเห็นว่าเบื้องหน้าปรากฏชายชราชุดขาวทั้งหนวดเคราและผมต่างเป็นสีขาวโพลนมองดูคล้ายบัณฑิตชรายืนอยู่ เจี่ยฮงที่ไร้สติอยู่พยายามจะขยับร่างกายของเขาเข้าโจมตีผู้มาใหม่ที่ยืนขวางทางเขาอยู่ แต่ปรากฏว่าร่างกายเขามิยอมขยับแม้แต่น้อย พลันชายชราเบื้องหน้าของหยางอี้และเจี่ยฮง ยกมือขวาขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง หยางอี้มองมือของชายชราที่เป็นดั่งภาพพร่ามัวไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อย่าว่าแต่มือของชายชราที่กระทำการบางอย่างอยู่ตอนนี้

กระทั่งชายชรามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรเขายังมิรู้ด้วยซ้ำ! หลังจากหยุดมือลง ชายชราหยิบเม็ดยาบางอย่างออกมาจากแหวนมิติแล้วดีดมันเข้าปากของเจี่ยฮง หลังจากนั้นเจี่ยฮงก็ล้มลงหมดสติไป ชายชราหันกลับมามองยังหยางอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอันอบอุ่นก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม

“สู้ได้ดีเจ้าหนู!” หยางอี้มองไปยังชายชราเบื้องหน้าอย่างงุนงงก่อนจะตอบรับคำ

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ท่านคือ?”

“ฮ่าๆ ชายแก่คนนี้คือเหล่ยโหลวที่เจ้าหนูทันหลางเชิญให้มาที่เมืองแห่งนี้ เอ้านี่ กินซะ” เหล่ยโหลวขณะพูดก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ มันมีสีขาวนวลส่องประกายระยิบระยิบ หยางอี้รับมาอย่างไม่เกรงใจก่อนจะตบอย่าเข้าปากอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณขอรับท่านผู้อาวุโสเหล่ยโหลว”

“ฮ่าๆ ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า ระหว่างทางนั้นข้าพบเหตุการณ์บางอย่างทำให้มาถึงช้ากว่ากำหนด หากไม่มีเจ้าคอยถ่วงเวลาจนข้ามาถึงเรื่องก็คงจะร้ายแรงยิ่งกว่านี้” เหล่ยโหยวกล่าวออกมาด้วยใบหน้าอันอบอุ่น

“เอาล่ะ ข้าขอไปดูอาการเจ้าหนูทันหลางก่อน เจ้านั่งพักครู่หนึ่งคงจะเพียงพอแล้ว” พูดจบเหล่ยโหลวก็เดินไปหาเสี่ยวทันหลางที่นอนบาดเจ็บห่างออกไป 100 เมตร

เมื่อเห็นชายชราเดินเข้ามา ทั้งสองก็ได้ทำความเคารพอย่างนอบน้อมแม้จะบาดเจ็บอยู่ก็ตาม เหล่ยโหลวหยิบเอายาแบบเดียวกับที่ให้หยางอี้ออกมาแล้วส่งให้แก่ทั้งสอง ระหว่างช่วงที่รอให้ยาออกผลชายชราเหล่ยโหลวได้ถามเสี่ยวทันหลางเกี่ยวกับหยางอี้หลายอย่าง ซึ่งเสี่ยวทันหลางเองก็แปลกใจมิน้อย แต่ด้วยความโดดเด่นของหยางอี้ เป็นไปได้ว่าเหล่ยโหลวอาจจะสนใจในตัวเขาก็ได้กระมัง

หลังจากได้ฟังเรื่องราวภูมิลำเนาของหยางอี้ เหล่ยโหลวยิ่งตกใจเข้าไปอีก เมืองธาราสวรรค์แม้ว่าจะมิใช่เมืองชนบท แต่ก็เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลพอสมควร อีกทั้งเมืองนี้ไม่เคยปรากฏอัจฉริยะเช่นนี้มาหลายปีเสี่ยวทันหลางและเฟยหลงมองดูเหล่ยโหล่วทำท่าครุ่นคิด พวกเขาพึงเข้าใจได้ เหล่ยโหลวอาจต้องการรับหยางอี้เป็นศิษย์

เหล่ยโหลวนั้น ความจริงแล้วตัวเขามาถึงที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เพียงแต่เมื่อเขามาถึงและได้เห็นฉากการไล่ล่าหยางอี้ของเจี่ยฮง อีกทั้งเมื่อตรวจสอบระดับปราณแล้วเขายิ่งตกตะลึงเข้าไปอีก เขาจึงมองดูอยู่ก่อนแล้วรอจังหวะที่จะเข้ามาช่วยยามที่หยางอี้พลาดท่าซึ่งเป็นเพราะชายชรามั่นใจในฝีมือตนเองเป็นที่สุด ผู้คนนั้นจะเติบโตขึ้นอย่างมากเมื่อมีประสบการณ์เสี่ยงตาย! เขาจึงรั้งรอเพื่อดูว่าเด็กหนุ่มจะทำได้ขนาดไหน

แม้จะอยากออกมาช่วยเสี่ยวทันหลางและเฟยหลงแต่เรื่องน่าสนุกสำหรับชายแก่จะเสียโอกาสรับชมได้อย่างไร? ในมุมมองของเหล่ยโหลวนั้นระดับพลังปราณและอายุของหยางอี้นั้นจัดว่าอยู่ลำดับต้นๆของเมืองหลวงได้แล้ว แต่ที่สำคัญคือไหวพริบความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเขา รวมถึงยังสามารถต่อกรกับชนชั้นระดับสูงได้ เหล่ยโหลวมั่นใจว่าหากหยางอี้ต้องการหนีเขาทำได้ทุกเมื่อ แต่เพราะเขายืนหยัดต่อสู้เพื่อผู้อื่นโดยไม่ทอดทิ้งเหล่าสหาย นี่ถือเป็นความประทับใจสูงสุดที่เหล่ยโหลวมีต่อหยางอี้

เหล่าอัจฉริยะนั้นล้วนแล้วแต่หยิ่งยโสและเห็นแก่ตัว มีน้อยคนที่จะเป็นเช่นหยางอี้ หลังจากครุ่นคิดเหล่ยโหลวก็กล่าวออกมา

“หลานสาวทั้งสองของข้าอยู่ที่ใด? แล้วนางทั้งสองพร้อมหรือไม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า?”

“ท่านผู้อาวุโส ท่านสบายใจได้ นางทั้งสองจะพร้อมแน่นอนในอีก 6 เดือน ส่วนตอนนี้ข้าให้พวกนางไปหลบอยู่ไกลออกไป” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมาพร้อมลุกขึ้นยืน ยานี้ช่างให้ผลดียิ่งนัก

“เช่นนั้นไม่เป็นไร ข้าอาจจะต้องรีบกลับทันที ฝากความคิดถึงให้พวกนางด้วย” พูดจบเหล่ยโหลวหยิบกล่องสีแดง 2 กล่องออกมาแล้วส่งให้กับเสี่ยวทันหลางระหว่างพูดคุยทั้งสามก็เดินมาถึงจุดที่หยางอี้นั่งอยู่

หยางอี้นั้นตกตะลึงกับผลของยาเป็นอย่างมาก ในใจได้แต่คิดว่านี่คือยาระดับใดกันที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บหนักให้หายได้เพียงชั่วครู่เมื่อเห็นหน้าของหยางอี้ทั้งสามได้แต่หัวเราะกันลั่น ชายชราจ้องมองไปยังหยางอี้ด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า

“เจ้าหนู ความสามารถของเจ้านั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าสนใจจะมาเป็นศิษย์ข้าหรือไม่?” หยางอี้งุนงง ผู้อาวุโสเบื้องหน้านับเป็นตัวตนอันใดกัน เขาสามารถจัดการขั้นสูงสุดระดับปฐพีได้เพียงกระดิกนิ้วมือ นี่นับเป็นโอกาสอันดีแค่ไหน? อีกทั้งผู้อาวุโสท่านนี้มาจากเมืองหลวง ด้วยตัวตนระดับนี้ย่อมอยู่ในขุมกำลังที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่

หยางอี้อ้าปากจะตอบรับคำแต่ก็ต้องกลืนน้ำลายแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเหล่ยโหลวกล่าวออกมา

“ฮ่าๆ หากได้เจ้ามาเป็นศิษย์เพิ่มอีกคนปิงเอ๋อร์และเพ่ยเอ๋อร์จะต้องยินดีและรักท่านปู่คนนี้เพิ่มขึ้นอีกมากแน่นอน ฮ่าๆ”

‘อะไรนะ? นางทั้งสองจะไปเป็นศิษย์ผู้อาวุโสด้วย บัดซบ! หากข้าต้องอยู่ท่ามกลางนางทั้งสองทุกวันข้าไม่บ้าตายหรอกหรือ? อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์พวกนางและกิริยาที่มีต่อข้า มิพ้นเมื่อเหยียบเมืองหลวงข้าคงมีศัตรูเพิ่มอีกเป็นพันคน’

“เรียนผู้อาวุโส ข้าน้อยขอขอบคุณในความหวังดีของท่านจากใจจริงหากแต่ข้ายังมีสถานที่ที่ต้องไปอยู่ หลังจากนั้นข้าจึงจะไปยังเมืองหลวงหากเวลานั้นท่านยังต้องการ...ข้าหยางอี้ยินดีที่จะรับคำชี้แนะจากท่าน!” หยางอี้ตอบออกไปอย่างสุภาพ

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่ยโหลวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังหยางอี้

“อืม...หากเจ้ายังมีสิ่งอื่นต้องทำก็จงไปทำเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยมาหาข้ายังมิสาย เพียงแต่สำนักของข้านั้นจะเปิดรับศิษย์ใหม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า หากเจ้ามามิทันต้องรอไปอีกหนึ่งปี และข้าจะรอเจ้าเพียงอีก 6 เดือนเท่านั้นเข้าใจหรือไม่?”

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโส”

“ฮ่าๆ เรื่องเล็กน้อย สำหรับข้าการจะได้มีศิษย์มากความสามารถนั้นถือเป็นเรื่องดี เอาล่ะข้าคงต้องรีบไป...เรื่องนี้มิใช่ง่ายๆแล้ว เจ้าทั้งสองจงระวังให้ดีเรื่องนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมารสังหารฟ้าข้าต้องรีบกลับไปตรวจสอบอย่างละเอียด!” เหล่ยโหลวหันมาพูดกับเสี่ยวทันหลางและเฟยหลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อได้ยินทั้งสองก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดเหล่ยโหลวจึงให้ยายื้อชีวิตเจี่ยฮงไว้ ใบหน้าของทั้งสองกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาเช่นกัน มารสังหารฟ้า! ตำนานนี้มิใช่เรื่องล้อเล่น ส่วนหยางอี้นั้นเมื่อได้ยินก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาคุยกัน เด็กหนุ่มที่เพิ่งออกจากเมืองบ้านเกิดอันห่างไกลมาไม่นานจะไปรู้จักนามนี้ได้อย่างไร?

เมื่อกล่าวลากันเสร็จ เหล่ยโหลวก็หิ้วเจี่ยฮงด้วยมือข้างหนึ่งและก่อนจะจากไปชายชราได้โยนหยกชิ้นหนึ่งมาให้หยางอี้และบอกว่าให้ใช้มันเมื่อไปถึงเมืองหลวง จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

ฉากนี้ทำให้ทั้งหยางอี้และเหล่าผู้ที่สังเกตการณ์ตกตะลึงอย่างมากชายชราผู้นี้แน่นอนต้องมีลมปราณระดับสวรรค์เป็นอย่างน้อย! ตัวตนนี้มีเพียงระดับผู้อาวุโสของสำนักใหญ่เท่านั้น!

“ฮี่ๆ เจ้าหนู เจ้านี่โชคดียิ่งนักที่ท่านอาวุโสจะรับเจ้าเป็นศิษย์ โอกาสนี้มิได้หาได้ง่ายๆ เจ้าอย่าไปคิดเรื่องสาวน้อยทั้งสองให้มากนักเลย” เฟยหลงกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้ม

ได้ยินดังนั้นหยางอี้ได้แต่ยิ้มเขินเมื่อถูกมองออกก่อนจะถามออกไป

“ท่านลุง ผู้อาวุโสเหล่ยโหลวนั้นคือ?”

“อ่า...ท่านคือ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิหารสวรรค์ 1 ใน 4 สำนักใหญ่ของอาณาจักรเมฆาหวนเรา ส่วนระดับพลังนั้นข้ามิมั่นใจแต่เมื่อสิบปีก่อนคือ ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์!” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมาอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยิน หยางอี้กลายเป็นสั่นไปทั้งตัวและหัวใจที่เต้นระรัวทันที ตัวตนของเหล่ยโหลวนั้นสูงส่งเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก หลังจากสงบอารมณ์ลง เขาอยากจะถามออกไปเหลือเกินว่าเสี่ยวทันหลางมีสัมพันธ์อันใดกับเหล่ยโหลว

เจ้าเมืองพยัคฆ์เมฆาแห่งนี้นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ! หยางอี้ตัดสินใจแล้วว่าหลังออกจากป่าดับดารา เขาจะเข้าร่วมการทดสอบของสำนักวิหารสวรรค์! หนึ่งเป็นเพราะโชคของเขาที่ได้รับความชื่นชมจากเหล่ยโหลว และสองเพื่อสืบหาความจริงของตระกูลเจียง

หลังจากพูดคุยกันไม่นานเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงก็วิ่งเข้ามา ทั้งสองต่างเข้าไปกอดบิดาของตนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็กลับกลายมาเป็นปลิงติดหนึบที่แขนทั้งสองข้างของหยางอี้แทน

หลังจากนั้นหยางอี้ได้ทำการบ่มเพาะพลังปราณในมิติพิเศษซึ่งใช้เวลา 10 วันเพื่อยกระดับเข้าไปสู่ลมปราณก่อกำเนิดระดับสูง และด้วยประสบการณ์การต่อสู้กับเจี่ยฮงการใช้พลังปราณอย่างเต็มที่ ทำให้เขามีความเข้าใจในปราณธรรมชาติมากขึ้นรวมกับความสามารถของมุกมิติราชันย์ตอนนี้

เมื่อหยางอี้มาถึงระดับ 8 ของลมปราณก่อกำเนิดแล้วหลังออกจากการบ่มเพาะพลังปราณเขาก็ตัดสินใจล่ำลาทุกคนเพื่อออกเดินทางสู่ป่าดับดาราทันที

ทางด้านเพ่ยเพ่ยกับเสี่ยวปิงเมื่อรู้ว่าหยางอี้จะเข้าร่วมสำนักวิหารสวรรค์ก็ดีใจกันอย่างมาก ทุกคนใช้เวลายามค่ำคืนเลี้ยงส่งหยางอี้กันอย่างมีความสุขและเมื่อถึงรุ่งเช้าวันต่อมาเด็กหนุ่มอายุ 15 ปีก็ก้าวออกจากเมืองพยัคฆ์เมฆาเพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด