ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 7
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 9

เล่มที่ 1 บทที่ 8


  

กลับมาที่จวนท่านแม่ทัพ บัดนี้ทั้งสี่คนต่างพูดคุยกันสนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่หยางอี้นั้นเริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆ เขาสังเกตเห็นท่าทีของเฟยหลงที่เหลือบมองไปยังประตูบ่อยเกินไปจนผิดสังเกต ซึ่งทำให้เขาครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้า เขามองไปยังเฟยหลงที่ตอนนี้มองมาที่เขาเช่นกันเพราะรู้แล้วว่าตนเองนั้นมีพิรุธ

“ท่านลุงหรือว่าท่าน” หยางอี้พลันเอ่ยถามออกมา

เฟยหลงยิ้มเหยเกออกมา “ใช่แล้วเป็นอย่างที่เจ้าคิด”

“นี่ๆ พวกท่านคุยอะไรกันท่านพ่อ ท่านพี่หยางอี้”

เมื่อเห็นทั้งสองทำท่าทางแปลกๆ เพ่ยเพ่ยก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกเพ่ยเพ่ย ข้านั้นเดินทางมาทั้งวันอยากจะพักผ่อนแล้ว จึงบอกท่านลุงว่าจะขอตัวก่อน”

“ใช่แล้ว ข้ามัวแต่ดีใจจนลืมไปเลยว่าท่านเพิ่งเดินทางมาถึง”

เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาก่อนจะพยักหน้าอยู่หลายครั้ง และบอกให้เขารีบกลับไปพักผ่อนทันที

“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน..ท่านลุง ฮูหยิน ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะเพ่ยเพ่ย”

หยางอี้กล่าวลาก่อนจะลุกยืนขึ้น แต่มิทันได้หันตัวกลับไป ทางประตูห้องโถงก็มีเสียงดรุณีนางหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน

“ท่าน พี่ หยาง อี้...”

ณ ห้องโถงแห่งหนึ่ง ของจวนแม่ทัพแห่งเมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์ ภายในห้องแห่งนั้นมีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ที่กลางห้อง บนโต๊ะอาหารนั้นเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสต่างๆนานา และมีคน 3 คนกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ กับอีกบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังยืนหันหลังให้กับประตูทางเข้าและหากสังเกตจะเห็นว่าใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมา

“ท่านพี่หยางอี้!” เสียงดรุณีน้อยนางหนึ่งดังมาจากทางประตูห้องโถง หลังจากนั้นภายในห้องจากที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานพลันเงียบกริบ มีเพียงเสียงก้าวเดินของหนึ่งบุคคลที่กำลังก้าวเข้ามาภายในห้อง

ตึก ตึก ตึก

ตอนนี้หยางอี้มีเหงื่อผุดเต็มใบหน้า จิตใจเริ่มตึงเครียดเมื่อเสียงก้าวเดินนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อีกทั้งเมื่อมองไปยังเพ่ยเพ่ยที่บัดนี้ใบหน้าบิดเบี้ยวทั้งแดงทั้งเขียว นั่นยิ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ผิดแน่นอน แม้จะไม่ได้เจอกันนานหลายปี แต่เสียงที่ได้ยินนี้รวมกับการแสดงออกของเพ่ยเพ่ยนั้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่ตนกำลังกังวลบัดนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว...เพราะผู้มาใหม่นั้นคือเสี่ยวปิงบุตรสาวสุดรักสุดหวงของท่านเจ้าเมืองแห่งนี้!

“หยุดเดี๋ยวนี้ยายโคนม ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในบ้านข้า!”

เป็นเพ่ยเพ่ยที่กล่าวออกมาทำลายความเงียบนั้นลง ก่อนที่หยางอี้ที่ตอนนี้ยืนกุมขมับอยู่จะหันหลังกลับไป ที่เบื้องหน้านั้นเป็นเด็กสาวอายุ 14 ปี ใบหน้าขาวเนียนรูปไข่ดวงตากลมโต แต่เพียงใบหน้าที่งดงามของนางนั้นยังมิอาจเทียบได้กับภูเขามหึมาสองลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทรวงอกของนาง ดูยังไงมันก็มิสมควรเป็นของเด็กสาวอายุ 14 ปี

“เสี่ยวปีง ไม่ได้เจอกันนานเจ้าเติบโตเป็นสาวแล้ว” หยางอี้กล่าวทักทายหญิงสาวตรงหน้า ส่วนเสี่ยวปิงนั้นยิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาหาหยางอี้

“ท่านพี่ก็เติบโตเป็นบุรุษรูปงามเช่นกันเจ้าค่ะ เสี่ยวปิงคิดถึงท่านพี่เหลือเกิน แต่ช่างหน้าน้อยใจนัก เหตุใดท่านพี่จึงมิไปหาข้าก่อน แต่กลับมาอยู่กับ ‘เด็ก’ บางคนแถวนี้” เสี่ยวปิงพูดขึ้นก่อนจะแอ่นอกอวดทรวงของนางและเหล่มองไปยังเพ่ยเพ่ย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพ่ยเพ่ยกลายเป็นหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า รวมถึงหยางอี้ที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดเพราะความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นพลางคิดในใจ ‘เฮ้อแล้วทีนี้ข้าจะทำอย่างไร หากเพียงคนเดียวข้ายังพอรับมือได้แต่หากเป็นสองคนตัวข้าคงรับไม่ไหวเป็นแน่’

“เฮอะ ยายโคนมอย่างเจ้ามีอะไรดีท่านพี่จึงต้องไปหาเจ้า” เพ่ยเพ่ย กล่าวออกมาหลังจากนางสงบอารมณ์ได้ส่วนหนึ่งแล้ว

“ฮ่าๆ มีอะไรดีหรือ? นี่เจ้าตาบอดหรือไง?” พูดจบเสี่ยวปิงก็แอ่นหน้าอกนางอีกครั้ง พร้อมมองไปยังเพ่ยเพ่ยด้วยสีหน้าของผู้ชนะ เพ่ยเพ่ยก้มมองหน้าอกของตนก่อนจะกัดฟันกรอดและกล่าวออกมา

“เฮอะแล้วอย่างไร หรือเจ้าเคยได้ยินท่านพี่บอกว่าชอบก้อนเนื้อของเจ้า” เพ่ยเพ่ยมองไปยังหยางอี้ด้วยสายตาเฉียบคม เสี่ยวปิงเองก็เช่นกัน

‘บัดซบ ในที่สุดสิ่งที่ข้ากลัวก็มาถึง เหตุใดนางทั้งสองจึงต้องชอบถามข้าว่า ใครดีกว่ากัน หรือข้าชอบใครมากกว่า แล้วข้าจะตอบเช่นไร?’

“เอาล่ะๆ เสี่ยวปิงเจ้าทานข้าวหรือยัง มาๆ นั่งลงก่อน หลานชายเพิ่งมาเหนื่อยๆพวกเจ้าอย่าเพิ่งมาทะเลาะกันยามนี้” เป็นเฟยหลงเอ่ยออกมา ทำให้หยางอี้รอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ ทำให้ชายหนุ่มขอบคุณอยู่ในใจ

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง” เสี่ยวปิงกล่าวออกมาพร้อมเดินมานั่งยังข้างขวาของหยางอี้ที่ยังว่างอยู่ ไม่นานทั้งเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงก็หันมาจ้องเขม็งใส่กัน โดยมีหยางอี้อยู่ตรงกลาง

“ท่านพี่ทานนี้สิเจ้าคะ เป็ดตุ๋นท่านแม่นั้นอร่อยที่สุด” เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาก่อนจะตักเป็ดตุ๋นให้หยางอี้

“ท่านพี่ นี่เห็ดขาวเจ้าค่ะ ช่วยบำรุงร่างกาย” เสี่ยวปิงเริ่มตักอาหารให้กับหยางอี้บ้าง ส่วนตัวหยางอี้นั้นบัดนี้เขาไม่หลงเหลือความหิวแล้ว อันที่จริงเขาอิ่มเสียตั้งแต่ตอนที่เฟยหลงบอกเป็นนัยแล้วว่าเสี่ยวปิงจะมาเสียด้วยซ้ำ

‘เฮ้อ ทั้งที่ตอนเด็กๆนางทั้งสองสนิทกันเสียยิ่งกว่าพี่น้อง แต่แล้วเหตุใดจู่ๆถึงได้เป็นเช่นนี้’ หยางอี้รู้สึกงุนงงเมื่อมองไปยังทั้งสองที่บัดนี้ยังคงมิหยุดตักอาหารมาให้เขา ไม่นานสงครามตักอาหารก็จบลง หยางอี้ได้แต่เอามือกุมขมับและคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้

“ท่านพี่หยางอี้เจ้าคะ ข้าเห็นท่านบอกอยากไปพักผ่อนนี่เจ้าคะ” เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมา นั่นทำให้หยางอี้เหมือนเห็นแสงสว่างที่จะหาทางรอด แต่เมื่อมองไปยังเพ่ยเพ่ยที่ยิ้มแปลกๆนั้น พลันทำให้เสียวสันหลังวาบ แต่อย่างไรซะเขาก็ต้องการออกจากที่แห่งนี้

“ใช่แล้ว ข้านั้นเดินทางมานานหลายวันกว่าจะมาถึงเมืองนี้ ดังนั้นจึงอ่อนเพลียไปบ้าง ข้าจึงจะขอตัวไปพักผ่อนเสียหน่อย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนท่านลุง ท่านป้า เพ่ยเพ่ย เสี่ยวปิง” เมื่อพูดจบเขาก็เตรียมหันหลังเดินจากไป ก่อนจะไปหยางอี้เหล่มองไปยังเพ่ยเพ่ยที่ยังคงไม่มีท่าทีอะไร ส่วนเสี่ยวปิงนั้นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็มิได้พูดห้ามอันใด คงเพราะเห็นว่าหยางอี้เดินทางมาเหนื่อยๆ

‘เฮ้อ ข้าคงจะคิดมากไปเอง’ หยางอี้เริ่มเดินออกจากห้องโถงด้วยสีหน้ายินดียิ่ง ในขณะที่หยางอี้กำลังจะเดินพ้นประตูห้องโถงเพ่ยเพ่ยก็ได้กล่าวออกมาอย่างเสียงดัง คำกล่าวนั้นพลันทำให้หยางอี้ถึงกับคิ้วกระตุก หน้าเปลี่ยนสีทันที

“ท่านพี่ พรุ่งนี้อย่าลืมนะเจ้าคะ ว่าท่านมีนัดเดินเล่นในเมืองกับข้า ‘สองคน’” เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาแล้วปรายตามองไปยังเสี่ยวปิงอย่างผู้เหนือกว่า เสี่ยวปิงกัดฟันกรอด ทั้งยังสงสัยว่าเหตุใดทั้งสองจึงมีนัดกันได้ นางมิมีทางยอมเสียเปรียบเด็ดขาด

“ข้าเข้าใจแล้ว สบายใจได้เพ่ยเพ่ย” หยางอี้กล่าวโดยมิได้หันหลังกลับมา หากเขาหันกลับมาตอนนี้ จะเห็นได้ชัดเจนถึงใบหน้าของหญิงสาวสองนางที่แตกต่างกันสิ้นเชิง หนึ่งยิ้มอย่างมีความสุข หนึ่งหน้าบูดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด

“หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัว” หยางอี้กล่าวออกมาพร้อมย่างก้าวออกจากประตู แต่ยังมิทันให้เท้าสัมผัสพื้น เสี่ยวปิงก็ตะโกนออกมา

“หยุดก่อนท่านพี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดท่านจึงได้มีนัดกับนางได้”

“เฮอะ ข้าจะนัดกับท่านพี่ไปเดินเล่นในเมืองกันสองคน! สองคนน่ะ เข้าใจไหม แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า” เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“แล้วทำไม...ข้าอยากรู้แล้วเจ้าจะทำไม”

ไม่นาน ทั้งสองก็เริ่มโต้เถียงกัน หยางอี้เห็นเป็นโอกาสดีที่จะชิ่งออกไป แต่เมื่อทบทวนดูแล้ว หากไปทั้งอย่างนี้จะต้องมีปัญหาใหญ่ตามมาอีกแน่ เมื่อตัดสินใจได้ก็หันกลับมาแล้วกล่าวเสียงดัง

“หยุดเถียงกันได้แล้วพวกเจ้าทั้งสองคน เสี่ยวปิง เรื่องที่ข้าจะไปเดินเล่นกับเพ่ยเพ่ยนั้นมาจากการที่เพ่ยเพ่ยได้ก้าวสู่รวบรวมลมปราณขั้นที่ 8 ข้าจึงให้รางวัลนางโดยไปเดินเล่นในเมืองเป็นเพื่อนนาง” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวปิงยิ้มออกทันที ผิดกับเพ่ยเพ่ยที่เริ่มหน้าบูด

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านพี่ข้านั้นก็ก้าวถึงรวบรวมลมปราณขั้นที่ 8 เช่นกัน เพื่อความยุติธรรมท่านต้องให้รางวัลข้าด้วย” เสี่ยวปิงกล่าวออกมา

“เฮ้อ เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปด้วยแล้วกัน ตอนนี้ข้าจะไปพักแล้ว?” หยางอี้กล่าวออกมา เขามองไปยังทั้งสองคนที่นั่งจ้องเขม่นใส่กันราวกับจะกลืนกินอีกฝ่าย ก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วพูดออกมา

“ใช่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปเดินเล่นกับเจ้าทั้งสอง แล้วข้าต้องการจะซื้อหาของใช้และเสบียงด้วย และข้ามีข้อแม้เพียงอย่างเดียวพวกเจ้าทั้งสองนั้นห้ามทะเลาะกัน มิเช่นนั้นข้าจะกลับทันที…เข้าใจหรือไม่?” หยางอี้กล่าวอย่างจริงจัง ทั้งเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงหน้าบูดทันที ทั้งสองต่างคิดในใจ ‘จะให้ข้าญาติดีกับยายนี่หรือ? ไม่มีทาง!’ ก่อนจะกล่าวออกไปพร้อมกัน

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

หยางอี้มองไปยังเฟยหลงและฮูหยินที่ยังคงทานอาหารอย่างมีความสุขราวกับในห้องนั้นมีเพียงพวกเขาแค่สองคน เขาได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ดรุณีน้อยสองนางจ้องเขม่นใส่กัน

“พรุ่งนี้เจ้าอย่าได้มาขัดขวางข้าเด็ดขาดเสี่ยวปิง”

“เฮอะ ท่านพี่อนุญาตแล้วทำไมข้าจะไปไม่ได้ เจ้านั่นแหละไม่ต้องมาเพ่ยเพ่ย” ทั้งสองกล่าวออกมาแล้วจ้องเขม่นกันก่อนจะสบถออกมาแล้วหันไปคนละทาง

“เชอะ/เชอะ”

***

ณ ห้องพักของหยางอี้ นับจากที่ออกเดินทางมา บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมากว่าสองเดือนแล้ว ระดับลมปราณของหยางอี้ยังคงอยู่ที่ก่อกำเนิดลมปราณขั้นที่ 2เนื่องจากว่าการเดินทางเต็มไปด้วยอันตรายจากรอบด้าน ทำให้หยางอี้ต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา จึงมิได้ทำการบ่มเพาะพลังปราณแต่อย่างใด ตามแผนที่วางไว้คือเมื่อมาถึงเมืองพยัคฆ์เมฆาแล้วหยางอี้จะรั้งอยู่ที่นี่ และเตรียมความพร้อมต่างๆ อย่างน้อยก็ตั้งใจไว้ว่าจะก้าวไปให้ถึงระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นที่ 5 ก่อนจะเริ่มออกเดินทาง

แต่บัดนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามแผนเสียแล้ว เพราะการที่มีเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงเข้ามา ทำให้เวลาของหยางอี้ที่น้อยลงนั้นกลับน้อยลงเข้าไปอีก และแถมยังต้องคอยมาปวดหัวกับเรื่องวุ่นวายของทั้งสองสาวอีกด้วย

หยางอี้ได้แต่ทอดถอนใจ จะอย่างไรพวกนางก็เปรียบดั่งน้องสาว จะไล่ไปเสียก็มิได้ เพราะนอกจากคนตระกูลหยางตลอดเวลาที่เขาสูญเสียทุกสิ่งไปก็มีเพียงนางสองคนเท่านั้นที่คอยเป็นห่วงเขาและไม่เคยรังเกียจเขาแม้แต่น้อย เขาได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้จะทำให้ทั้งสองพอใจ และจะบอกถึงความต้องการที่จะเก็บตัวฝึกยุทธ์เพื่อให้พวกนางไม่มากวนใจอีก...อย่างน้อยคงได้อยู่อย่างสงบสักระยะหนึ่ง

“เฮ้อ...ข้ามิได้ทำการบ่มเพาะพลังอย่างจริงจังมาเป็นเวลานาน หวังว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปข้าจะได้เริ่มบ่มเพาะอย่างจริงจังเสียที” และเมื่อกล่าวกับตนเองจบ หยางอี้ก็เริ่มเข้าสู่มิติพิเศษเพื่อเริ่มบ่มเพาะพลังปราณ

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปล่วงเลยถึงยามแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า หยางอี้ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกมุ่งหน้าไปยังห้องโถงจวนแม่ทัพ เมื่อเดินมาถึงภายในห้องโถง ก็เห็นเฟยหลงนั่งขมวดคิ้วทำสีหน้าปั้นยากอยู่ ที่ด้านข้างมีนายทหารคนหนึ่งยืนอยู่ ดูเหมือนจะมารายงานเรื่องราวบางอย่าง เฟยหลงเมื่อเห็นว่าหยางอี้มานั้นก็โบกมือให้นายทหารออกไป แล้วกล่าวกับหยางอี้ด้วยท่าทีจริงจัง

“หลานชาย เจ้ามาพอดี เรามีปัญหาแล้ว”

“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” หยางอี้กล่าวถามออกมา

“เจ้าจำซูหมิงได้หรือไม่?”

“ได้ขอรับ เกิดอะไรขึ้นหรือท่านลุง?”

“ตอนนี้มันได้แหกคุกออกมาแล้ว”

“หืม” หยางอี้ขมวดคิ้วพร้อมกับความสงสัยมากมาย และเมื่อเห็นสีหน้าของหยางอี้ เฟยหลงก็เข้าใจแล้ว จึงได้เริ่มอธิบายออกมา

“ในเมืองนี้นั้นประกอบไปด้วย 2 ขั้วอำนาจที่คอยค้ำยันเมืองแห่งนี้อยู่ หนึ่งคือตระกูลเสี่ยวหรือจวนเจ้าเมืองพยัคฆ์เมฆา และสองคือตระกูลเจี่ยตระกูลเก่าแก่ที่เป็นตระกูลที่ร่วมกับตระกูลเสี่ยวก่อตั้งเมืองแห่งนี้ขึ้นในอดีต โดยที่เมื่อรุ่นก่อนๆนั้นทั้งสองตระกูลต่างเป็นมิตรกันคอยช่วยเหลือกันเรื่อยมา แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น...เฮ้อ  มันทำให้ทั้งสองตระกูลผิดใจกันมาจนถึงตอนนี้”

หยางอี้ยังคงไม่เข้าใจ ถึงแม้จะเป็นนักโทษหลบหนี แต่อย่างมากก็เป็นเพียงแค่จวนเจ้าเมืองจะเสียหน้า มิน่าใช่เหตุอันใดให้ต้องกังวลมากนัก อีกอย่างการเข้าออกเมืองมีการตรวจตรา ไม่นานก็น่าจะจับตัวกลับมาได้ อย่างไรก็ตามเฟยหลงยังคงอธิบายต่อ

“ตามจริง เมืองนี้นั้นไม่ค่อยมีอาชญากรรมสักเท่าไหร่ คุกของจวนเจ้าเมืองจึงมิได้คุมเข้มมากนัก เพราะมีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่จะก่อปัญหาในเมืองแห่งนี้ได้ และด้วยอำนาจของทั้งสองตระกูลเรื่องราวจึงมักยุติด้วยการเจรจา แต่อย่างไรเสีย การที่จะมีผู้บุกเข้ามาในจวนเจ้าเมืองได้นั้นมีเพียงตระกูลเจี่ยเท่านั้นที่สามารถ และที่น่าเป็นห่วงคือซูหมิงนั้นเป็นถึงหัวหน้ายาม อย่างไรก็มีข้อมูลของจวนเจ้าเมืองอยู่ไม่มากก็น้อย ประกอบกับช่วงนี้ตระกูลเจี่ยเงียบจนผิดสังเกต ข้าจึงกังวลว่ามันมิใช่เรื่องดีเป็นแน่”

หลังจากฟังเฟยหลงอธิบาย หยางอี้กระจ่างทันที นี่อาจเป็นตระกูลเจี่ยกำลังวางแผนเพื่อกระทำการบางอย่าง?

“หลานเข้าใจแล้ว หากมีเรื่องใดให้ช่วยโปรดบอกได้เลยท่านลุงเฟย”

“เฮ้อ เรื่องอาจจะมิได้ร้ายแรงก็ได้ แต่อย่างไรเจ้าเคยมีเรื่องกับซูหมิง ข้าคิดว่ามันต้องหาทางเล่นงานเจ้าเป็นแน่ ยังไงเจ้าต้องระวังตัวเข้าไว้”

เฟยหลงเอ่ยเตือนหยางอี้ด้วยความเป็นห่วง หลังจากปรึกษากันไม่นานที่ทางเข้าห้องโถงก็มีเสียงดรุณีน้อยสองนางกำลังประชันคารมกัน เมื่อเสียงกระทบโสตประสาท หยางอี้พลันถอนหายใจทันที นี่มิใช่สัญญาณบอกถึงความวุ่นวายของวันนี้หรอกหรือ

“ท่านลุง เห็นทีข้าคงต้องไปแล้ว อย่างไรข้าจะระวังตัวให้มาก แต่ดูแล้วปัญหาของซูหมิงยังคงไม่หนักหนาเท่าปัญหาที่ข้าจะได้เจอวันนี้”

หยางอี้กล่าวออกมาเมื่อมองไปยังใบหน้าของเฟยหลง ซึ่งเขาเห็นได้ชัดเจนถึงใบหน้าของผู้ไว้อาลัย หลังจากร่ำลา หยางอี้ก็เดินออกมาจากห้องโถง เมื่อมองไปเบื้องหน้าก็ได้พบเห็นดรุณีทั้งสองผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าหมดจดงดงามหนึ่งรูปร่างสมส่วนงดงามเข้ากับใบหน้า อีกหนึ่งเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่กลับมีภูเขาประทับอยู่บนทรวงอก ดูแล้วช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก เขามองไปก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดทั้งสองจึงยืนเถียงกันอยู่ เพราะทั้งคู่ดัน...ใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน

“เพ่ยเพ่ย เสี่ยวปิง ไปกันได้แล้ว อย่าลืมข้อตกลงของเราเสียล่ะ”

หยางอี้กล่าวออกมาเพื่อยุติสงครามระหว่างทั้งสองคน เมื่อทั้งสองหันมาเห็นหยางอี้ก็พลันหยุดเถียงกันแล้วเดินเข้ามาหาหยางอี้ทันที

“เจ้าค่ะ เราไปกันเถอะ” ทั้งสองกล่าวพร้อมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะหันมาสบตากันและสะบัดหน้าหนี

“เชอะ/เชอะ”

หยางอี้ได้แต่ส่ายหัวก่อนจะเดินนำออกไป ออกจากจวนแม่ทัพไม่นานทั้งสามก็มาถึงถนนการค้าของเมือง ถนนถูกปูด้วยหิน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย หยางอี้เลือกที่จะพาทั้งสองไปรับประทานอาหารเช้าเสียก่อน  เพราะตั้งแต่เดินมาทั้งสามต่างเป็นจุดเด่นอย่างมาก ชายหนุ่มหน้าตาคมคายสวมชุดจอมยุทธ์สีขาว ดูแล้วแม้จะไม่ถึงกับหล่อเหลามากมาย แต่ก็เต็มไปด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นคือแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มถูกเติมเต็มไปด้วยดรุณีสองนางที่งดงาม แถมยังใส่ชุดแดงทั้งคู่ ตัดกับชายหนุ่มชุดขาวตรงกลาง และทั้งสองยังเป็นดั่งดอกไม้ของเมืองแห่งนี้

เหล่าชายฉกรรจ์ต่างมองด้วยความอิจฉาและเริ่มซุบซิบกัน หลังจากเดินหาไม่นานก็ถึงร้านที่ทั้งสองสาวแนะนำหยางอี้ หยางอี้แปลกใจอยู่บ้างที่พวกนางต่างเห็นตรงกันให้มายังร้านแห่งนี้

เมื่อเข้ามาในร้าน ทั้งสามต่างตกเป็นเป้าสายตาทันที หยางอี้ลอบถอนหายใจออกมา เขานั้นต้องคอยหลบเลี่ยงซูหมิง แต่วันนี้ดันกลายเป็นจุดเด่นเพราะสองสาวข้างกาย แต่อย่างไรการเป็นจุดเด่นก็ถือเป็นเกราะป้องกันได้อย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะอย่างน้อยนักโทษแหกคุกเช่นมันคงไม่กล้าโจมตีท่ามกลางผู้คนมากมายเป็นแน่ อีกทั้งสองสาวก็มิใช่บุคคลธรรมดา แม้จะมีตระกูลเจี่ยหนุนหลังก็คงมิง่ายนัก

หลังจากเข้ามาในร้าน เสี่ยวเอ้อก็รีบวิ่งมาทันที มันมองดูหยางอี้แว่บหนึ่งก็พลันตระหนักได้ทันที การที่จะควงคุณหนูทั้งสองคนนี้มาได้ ชายหนุ่มคนนี้มิใช่ธรรมดาเป็นแน่ ซึ่งตามจริงทุกคนแม้จะอิจฉาแต่ก็คิดเช่นเดียวกัน จึงไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายกับเขา

“คุณชายและคุณหนูทั้งสองรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อถามด้วยท่าทีนอบน้อมที่สุด

“เอาของที่ดีที่สุดของร้านเจ้ามา 5 อย่าง” เป็นเสี่ยวปิงกล่าวออกมา

“ขอรับคุณหนูเสี่ยว”

ทั้งสามนั่งรออาหารที่โต๊ะไม่นาน เสี่ยวเอ้อก็นำอาหารมาวาง การพูดคุยนั้นเป็นการถกเถียงกันของทั้งสองซะส่วนใหญ่ แต่หลังจากนั้นไม่นานหยางอี้ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“มีคนตามเรามา” หยางอี้พูดจบก็ชำเลืองสายตาไปทางชายร่างใหญ่สองคนที่นั่งอยู่ตรงมุมของร้าน เมื่อสองสาวเข้าใจ หยางอี้ก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ตามจริงหยางอี้ไม่ต้องการบอกทั้งคู่เพื่อที่จะได้ไม่มีพิรุธ เพราะหวังจะให้ซูหมิงปรากฏตัวออกมา แต่หากมีการลอบโจมตีเกิดขึ้นทั้งสองอาจเป็นอันตรายได้หากไม่คอยระวังตัวไว้ ดังนั้นหยางอี้จึงเตือนไว้ก่อนเพื่อให้ทั้งคู่ตื่นตัว

ที่มุมของร้าน ชายสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่พลางหันไปมองโต๊ะของหยางอี้เป็นระยะ

“อาจง เจ้าจงเฝ้ามันไว้ข้าจะกลับไปรายงานนายน้อย”

พูดจบหนึ่งในสองคนก็ลุกเดินออกจากร้านทันที

หลังออกจากร้านอาหาร ชายวัยกลางคนเร่งตรงกลับที่หมายทันที เดินตามถนนได้ไม่นานมันก็มาถึง เบื้องหน้ามันเป็นตึกขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยกำแพงสีแดง ประตูทางเข้าสูงกว่า 4 เมตร กว้าง 3 เมตร ที่ป้ายปรากฏตัวอักษร ‘ตระกูลเจี่ย’ เมื่อเข้ามาภายในตระกูล มีตึกน้อยใหญ่มากมาย มันเร่งเข้าไปยังตึกหลังหนึ่งทันที

ที่ภายในตึก ปรากฏเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อายุราว 15 ปี กำลังนั่งจิบชาอยู่ ที่ด้านหลังมีสาวใช้สองนางหน้าตาหมดจดกำลังบีบนวดให้

“นายน้อยขอรับ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น

เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเข้ามาผู้ถูกเรียกก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าวออกไป

“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ มิใช่ว่าข้าให้เจ้าไปจับตาดูเจ้านั่นมิใช่รึ?”

“เรียนนายน้อย ข้านั้นได้ไปตามที่ท่านสั่งแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นคือเจ้าหยางอี้จริงๆขอรับ แล้วที่สำคัญเอ่อ...” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมา เมื่อชายหนุ่มได้ยินเขาก็เร่งถามขึ้น

“ที่สำคัญอันใด? จะอ้ำอึ้งทำไมเร่งกล่าวมา!”

“ตอนนี้เจ้าหยางอี้มันอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งขอรับ และมันมิได้มาคนเดียวแต่มันมาพร้อมกับคุณหนูเสี่ยวและคุณหนูเพ่ยขอรับ”

เพล้ง! เสียงแก้วชากระแทกกับพื้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“บัดซบ! เจ้าว่าอย่างไรนะ มันไปกับเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงงั้นรึ?” ชายหนุ่มพลันหน้าตาบิดเบี้ยว เขากำหมัดแน่น ทำให้สาวรับใช้พลันหน้าซีดทันที หากนายน้อยผู้นี้โมโหขึ้นมาคงมิพ้นนางทั้งสองจะต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ให้แก่เขา

“ขอรับ นายน้อยจะให้ทำอย่างไรต่อขอรับ” ชายวัยกลางคนเร่งถาม ตัวมันก็ต้องการออกจากที่นี่เช่นกัน นายน้อยผู้นี้เอาแต่ใจอีกทั้งยังเป็นบุตรคนโปรดของผู้นำตระกูล มีนิสัยชอบข่มเหงคนอื่นเป็นประจำ

“ฮึ่ม จับตาดูมันต่อไป ตอนนี้ท่านพ่อเตรียมการใกล้เสร็จแล้ว ข้ามิอยากทำให้เสียแผน” เมื่อสงบอารมณ์ลงได้ ชายหนุ่มพลันกล่าวออกไป แต่ใบหน้าของเขายังคงบิดเบี้ยวเช่นเดิม

“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เมื่อกล่าวจบมันก็ออกจากตระกูลเพื่อไปสมทบกับอีนคนที่กำลังเฝ้าพวกหยางอี้อยู่

“เจ้าตัวบัดซบหยางอี้ เจ้าทำได้ดี! แม้เมื่อ 5 ปีก่อนข้าไม่สามารถทำอันใดเจ้าได้ แต่อีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้เกิดมา ฮ่าๆ ส่วนนางทั้งสองนั้นจะต้องเป็นของข้าเท่านั้น!” หลังจากกล่าวออกมา เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

***

กลับมาที่ร้านอาหาร เมื่อเห็นหนึ่งในคนที่สะกดรอยตามมาออกไป หยางอี้ก็บอกกับทั้งสองสาวให้รีบรับประทานอาหารและเร่งออกจากร้านอาหาร

“ฮึ่ม ตอนนี้มันหายไปคนหนึ่งข้าคิดว่ามันต้องกลับไปเตรียมการบางอย่าง ทางที่ดีเราควรอยู่ในที่คนเยอะๆ เดี๋ยวออกจากที่นี่แล้วข้าต้องการไปซื้อหาเสบียงเสียหน่อย จากนั้นค่อยพาเจ้าทั้งสองไปเดินเล่นในตลาด ตอนนี้ก็ทำเป็นเฉยๆไปก่อน”

หยางอี้กล่าวกับสองสาว ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้วว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ หากเขามาคนเดียวคงจะล่อเจ้าพวกนั้นออกมาแล้ว แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงต้องมาก่อน

“อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าพวกมันเป็นใคร บังอาจมาทำลายวันแห่งความสุขของข้า” เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาอย่างอารมณ์เสีย

“เพ่ยเพ่ย เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าทำแบบนี้กับเราสองคนล่ะ” ข้างๆนาง เสี่ยวปิงกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย ทำให้เพ่ยเพ่ยพยักหน้ารับ

“เจ้าพวกตระกูลเจี่ยสินะ”

“ใช่! ข้าได้ยินท่านพ่อคุยกับท่านลุงมา ตอนนี้พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

หลังจากกล่าวจบสองสาวพลันตึงเครียดขึ้นมา เพราะรู้อยู่แล้วถึงความขัดแย้งภายในเมืองพยัคฆ์เมฆาแห่งนี้

“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ยอมให้พวกมันทำอะไรพวกเจ้าทั้งสองหรอก ไปกันเถอะ”

หยางอี้กล่าวออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไร อย่างไรทั้งสองเป็นเหมือนน้องสาวของเขา จะให้ใครมาทำอันตรายได้อย่างไร แต่ดูเหมือนสองสาวจะไม่ได้คิดเช่นนั้น ตอนนี้ทั้งเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงต่างหน้าแดงแจ๋เป็นก้นลิงแล้ว พลันกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“เจ้าค่ะ”

หลังออกจากร้านอาหาร หยางอี้ก็มุ่งตรงไปซื้อหาเสบียงเก็บไว้ทันที ตามแผนที่วางไว้ หลังจากนี้ เขาจะปิดด่านฝึกตน เพื่อไปให้ถึงก่อกำเนิดลมปราณขั้นที่ 5 เพราะหลังจากออกจากเมืองพยัคฆ์เมฆา หยางอี้ตั้งใจจะเข้าสู่ป่าดับดาราเพื่อฝึกฝนฝีมืออย่างจริงจัง ซึ่งเรียกได้ว่าหนักหนามิใช่น้อย

หลังจากซื้อของเสร็จ ทั้งสามก็มุ่งหน้าสู่ตลาดของเมือง ตลาดของเมืองพยัคฆ์เมฆานั้นเป็นตลาดแผงลอยตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักของเมือง ถนนหลักของเมืองนั้นกว้างกว่า 10 เมตร  กินอาณาเขตกว่า 1 ส่วน 4 ของเมือง สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ด้านบนประดับไปด้วยโคมไฟหลากสีดูแล้วให้บรรยากาศคึกคัก ผู้คนมากมายต่างเดินจับจ่ายหาของที่ต้องการ

เดินมาได้ไม่นาน ทั้งสามก็มาหยุดที่ร้านเครื่องประดับ สองสาวต่างเลือกดูด้วยความสนใจ อีกทั้งหยางอี้ยังบอกว่าจะซื้อให้คนละชิ้น ยิ่งดีใจกันเข้าไปใหญ่ ส่วนตัวหยางอี้นั้นก็ลอบสังเกตผู้ที่ติดตามมาอยู่ตลอด อีกทั้งต้องคอยประเมินสถานการณ์โดยรอบด้วยเพราะอาจมีอะไรเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้วก็หันกลับมาหาเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิง หลังเลือกได้ไม่นานทั้งสองสาวก็ได้กำไลหยกคนละชิ้น แล้วก็ยืนเถียงกันอีกตามประสา หยางอี้พลันกุมขมับแม้ตอนนี้ทั้งสองสาวไม่ถูกกันแต่เมื่อก่อนก็เป็นเพื่อนสนิทกัน ชอบอะไรเหมือนๆกัน นั่นทำให้เกิดปัญหาอยู่เรื่อย

“เจ้าทั้งสองคนเลิกเถียงกันได้แล้ว ถือว่ากำไลหยกสองอันนี้เป็นของขวัญจากพี่ชายคนนี้ ในภายหน้าพวกเจ้าจะต้องขยันฝึกฝนอย่าได้หย่อนยาน เข้าใจไหม”

หยางอี้เอ่ยออกมาก่อนจะหันไปหาพ่อค้าเพื่อจะจ่ายเงิน ทว่าเขาพลันเหลือบมองไปเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่แม้ดูเหมือนหิน แต่มันก็เป็นสีดำดูช่างประหลาดนัก เขาลองเอื้อมมือไปจับมันขึ้นมา

วูบ!

เมื่อสัมผัสกับหินดำก้อนนั้น เขาพลันปล่อยมือทันที ‘ทำไมตอนที่ข้าสัมผัสมัน ที่รอยสักจึงร้อนขึ้นมา’

หยางอี้ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความแปลกใจเขาเลยกล่าวถามออกไป

“ท่านลุง หินก้อนนี้คืออะไร แล้วท่านได้มาจากไหน?”

“โอ้ เรียนคุณชาย ข้าก็มิรู้มันคือสิ่งใด มันเป็นของที่ท่านพ่อข้าได้มาตอนเดินทางไปยังจักรวรรดินภาสวรรค์”

“โอ้ เป็นเช่นนั้นรึ” หยางอี้กล่าวออกมาพร้อมนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนมุกมิติราชันย์ตื่นขึ้นมา เสียงลึกลับบอกไว้ว่า หากต้องการครึ่งหลังของวิชาย่างก้าวมายาสวรรค์ให้เดินทางไปยังจักรวรรดินภาสวรรค์เช่นกัน หรือมันอาจจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้อง?

“ท่านพี่อยากได้หรือเจ้าคะ ให้ข้ามอบเป็นของขวัญให้ท่านเอง” เพ่ยเพ่ย กล่าวออกมา

“ไม่เป็นไรเพ่ยเพ่ย ท่านลุง หินก้อนนี้กับกำไลหยกสองชิ้นราคาเท่าไหร่”

หยางอี้ถามออกมาในใจคิดว่ากำไลหยกสองชิ้นแม้จะสวยงามแต่ก็มิได้เป็นสมบัติลมปราณแต่อย่างใดคงไม่เกิน500เหรียญทอง แต่หินก้อนนี้ไม่รู้ว่าพ่อค้าจะรู้ถึงลมปราณภายในหินหรือไม่

“เรียนคุณชาย กำไลหยกเดิมราคาอันละ500เหรียญทอง แต่หากเป็นคุณหนูทั้งสองข้าคิดเพียงอันละ400เหรียญทอง...ส่วนหินดำก้อนนี้มันเป็นของสืบทอดมาจากท่านพ่อของข้า แม้ข้าจะไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่ท่านพ่อก็ให้ข้าเก็บรักษาไว้อย่างดี หากไม่ขัดสนจริงๆข้าจะมินำมาขายเป็นแน่ราคามันคือ...”

เมื่อได้ยินดังนั้นหยางอี้ขมวดคิ้วทันที

“ราคาเท่าไหร่ท่านลุง”

“20,000 ขอรับ”

“ท ท เท่าไหร่นะ?”

“20,000 ขอรับ!”

‘บัดซบ ท่านพ่อข้าให้เงินมาเพียง10,000 เท่านั้น จากการขายแกนธาตุอสูรได้มาอีก 17,000 เหรียญทองเมื่อหักค่าใช้จ่ายไปข้าเหลือตอนนี้เพียง 23,000’

“ไม่แพงไปหน่อยหรือท่านลุง?”

“อ่า คุณชาย นี่ข้าขายให้ถูกแล้ว หากข้าไม่เดือดร้อนคงไม่นำมันออกมาขาย”

“ฮึ่ม 15,000 ถ้าตกลง ข้าจะซื้อมัน!”

“ไม่ได้จริงๆขอรับ ข้าลดให้ได้เพียง 19,000 เท่านั้น”

พ่อค้านั้นเริ่มลำบากใจ ตัวเขานั้นต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วน หากแต่ถ้าเกิดหยางอี้ไม่ซื้อตอนนี้ ก็ไม่รู้จะมีผู้ใดมาซื้อหรือไม่ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าหินสิดำนี้ทำอะไรได้

“ท่านลุงข้าจ่ายไหวเพียง17,000 เท่านั้นหากท่านไม่ขายก็ไม่เป็นไร” หยางอี้ยื่นคำขาดออกมา สองสาวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะคิกคักกันใหญ่

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วพ่อค้าก็ตกลง หยางอี้จึงจ่ายออกไป 17,800 เหรียญทองซึ่งนับว่ามากทีเดียวสำหรับเด็กหนุ่มที่ออกเดินทางเพียงลำพัง

“เอาล่ะ...เรากลับกันเถอะ วันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว”

ทั้งสามมุ่งหน้ากลับจวนแม่ทัพทันที หยางอี้ยังคงไม่ลดการระวังตัวลง แต่เมื่อถึงถนนทางกลับจวนพวกคนที่แอบติดตามก็จากไปทันที

เมื่อกลับมาถึงจวนแม่ทัพ เสี่ยวปิงก็แยกกลับไป ส่วนหยางอี้ก็แยกกับเพ่ยเพ่ยเพราะมีเรื่องต้องคุยกับเฟยหลง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงโถงจวนแม่ทัพ ซึ่งเฟยหลงกำลังนั่งตรวจตราเอกสารอยู่

“ท่านลุง วันนี้มีคนแอบสะกดรอยตามพวกเรา” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฟยหลงขมวดคิ้ว

“หืม..ข้าไม่คิดว่ามันจะเริ่มเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”

“ข้าคิดว่ามันเพียงมาสังเกตการณ์มากกว่า น่าจะยังมิลงมืออันใด ดูแล้วมันคงมีแผนที่กำลังรอดำเนินการอยู่เป็นแน่”

“ข้าและท่านเจ้าเมืองก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้เรายังทำอะไรมิได้มาก ทำได้เพียงเตรียมการรับมือให้ดีที่สุด หากเกิดอะไรขึ้นจะได้รับมือได้ทัน!”

“อืม...หากเป็นเช่นนั้นก็ดี ท่านลุง ข้าจะปิดด่านฝึกตนสักพัก หากมีเหตุอันใดท่านสามารถเรียกข้าได้ทุกเมื่อ”

“หืม...เจ้าจะปิดด่าน? ฮ่าๆ คงมิใช่ว่าต้องการหนีจากแม่หนูสองคนนั่นหรอกนะ” เฟยหลงหัวเราะออกมา ส่วนหยางอี้ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆตอบกลับไป

“เรื่องนั้นก็มีส่วน แต่ข้าต้องการเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด เพราะหลังออกจากเมืองพยัคฆ์เมฆาข้าจะเข้าสู่ป่าดับดารา” เมื่อได้ยิน เฟยหลงพลันคิ้วกระตุก ก่อนจะกล่าวเตือนออกมา

“หลานชาย เจ้าอย่าได้เร่งรีบเกินไปนัก ป่าดับดารานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  ที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสูงมากมาย แม้ผู้มีปราณก่อตั้งจิตก็ยังมิใช่เรื่องง่ายที่จะรอดกลับมาหากเข้าไปภายในนั้น!”

“ข้าเข้าใจท่านลุง หากไม่ไหวข้าจะเร่งถอยกลับมา” เหตุที่หยางอี้มั่นใจนั้นเพราะตอนนี้เขาใกล้จะถึงขอบเขตขั้นที่สองของย่างก้าวมายาสวรรค์แล้ว หากไปถึงขั้นสองแม้จะสู้ไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่าจะหลบหนีได้ทัน

“เฮ้อ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ข้าจะสั่งห้ามไม่ให้แม่หนูทั้งสองไปรบกวนเจ้า”

“ขอบคุณท่านลุง เช่นนั้นข้าขอตัว”

กล่าวจบหยางอี้ก็มุ่งหน้ากลับห้องทันที เขานำหินดำออกมาตรวจสอบดูอีกครั้งแต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ

“เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหมกมุ่นอยู่กับเจ้านี่ ข้าต้องเร่งเพิ่มพลังปราณเป็นอันดับแรก...ดูแล้วอีกไม่นานคงมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเป็นแน่!”

กล่าวจบ หยางอี้นำดวงจิตอสูรของราชาหมาป่าทมิฬออกมา และเริ่มดูดซับทันที หลังจากดูดซับพลังไว้หมดแล้ว หยางอี้ก็เริ่มโคจรลมปราณเพื่อเข้าสู่มิติพิเศษและย่อยพลังจากดวงจิตอสูรทันที ภายในมิติพิเศษนั้นเขานั่งโคจรลมปราณอย่างช้าๆแต่มั่นคงหมุนวนไปตามกระแสของร่างกาย ลมปราณเริ่มหมุนวนตามจุดชีพจรก่อนจะกลับเข้ามาสู่ตันเถียนของเขา

ด้านนอกมิติพิเศษนั้นร่างของชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่บนเตียงเข้าสู่สภาวะไร้สำนึก ลมปราณธรรมชาติโดยรอบต่างถูกดูดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากมีใครมาเห็นจะต้องตกใจเป็นแน่ การที่คนหนึ่งคนจะทำการบ่มเพาะพลังปราณ จะต้องโคจรพลังไปทั่วร่างก่อนจะวนกลับมาสู่ตันเถียน และเมื่อพลังลมปราณในตันเถียนมีมากพอจนล้นทะลัก มันจะถูกย่อยและบีบอัดจนเกิดเป็นพลังปราณใหม่ที่เข้มข้นกว่าเดิม นั่นคือการก้าวข้ามระดับชั้น! ดังนั้นการโคจรลมปราณต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ด้วยความเร็วของการโคจรลมปราณของหยางอี้ตอนนี้เร็วกว่าคนธรรมดาถึงสิบเท่า!

แต่ร่างกายของเขากลับมิได้รับความเสียหายแต่อย่างไร เพราะด้วยมุกมิติราชันที่อยู่ภายในร่างนั้นช่วยเร่งปฏิกิริยารับรู้ให้มากขึ้น ซึ่งทำให้หยางอี้ที่อยู่ภายในมิติพิเศษนั้นยังคงรับรู้อย่างปกติ แต่ภายนอกมุกมิติราชันนั้นจะบีบอัดข้อมูลทุกอย่าง แล้วเป็นตัวเชื่อมส่งเข้ามาสู่ร่างกายของหยางอี้ที่ภายนอก นั่นเป็นเหตุว่าถึงแม้เขาจะมิได้เข้าไปยังมิติพิเศษด้วยกายหยาบแต่กายหยาบก็ยังมีการพัฒนาขึ้นเช่นกัน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด