ตอนที่แล้วบทที่ 29 ผู้อำนวยการเฝิง ฉืออี่หนิงเหมาะจริงๆ เหรอ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 ซ่งฉู่อี๋เห็นเธออยู่กับฟู่อวี้

บทที่ 30 ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่เห็นสนใจเลยสักนิด


บทที่ 30 ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่เห็นสนใจเลยสักนิด

 

อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการเฝิงก็เป็นพวกจิ้งจอกเฒ่า ในใจเขารู้สึกไม่พอใจ แต่กลับแสดงสีหน้าเป็นเสียดาย “จั่วเชียน ผมเข้าใจนะว่าคุณกับฉางฉิงน่ะสนิทกัน บอกตามตรง เรื่องบทนางรอง ทีแรกผมเองก็นึกถึงฉางฉิงเป็นคนแรก แต่ตอนหลังพอผมได้อ่านบทดู ทั้งหัวหน้ากองบรรณาธิการเฉาและหัวหน้าทีมผู้กำกับต่างก็เห็นว่าฉางฉิงหน้าตาสวยเกินไป แต่ละครเรื่องนี้เป็นละครแนวอินดี้ ผมกลัวว่าดีไม่ดีอาจจะทำให้ฉางฉิงได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเอา”

 

“ใช่ ถ้าไม่อย่างงั้นก็ให้ฉางฉิงแสดงบทนางรองเบอร์สามก็ได้ น่าเสียดายที่บทนางรองเบอร์สอง ทางซ่างเหว่ยเขาจองไว้แล้ว” หัวหน้ากองบรรณาธิการเฉายิ้มพลางเสนอความเห็น

 

จั่วเชียนฉุนกึก ฉางฉิงมีประสบการณ์สูงกว่าฉืออี่หนิงมาก ถ้าให้ฉางฉิงรับบทนางรองเบอร์สาม แบบนี้คนอื่นไม่หัวเราะกันตายเลยเหรอไง

 

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้ชอบแสดงละครสักเท่าไร ขอบคุณหัวหน้ากองบรรณาธิการเฉาสำหรับความหวังดีนะคะ” ฉางฉิงรู้ดีว่าถึงจะโต้เถียงกันต่อไป ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เธอขยิบตาให้จั่วเชียนทันที แล้วตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ

 

ริมฝีปากสีแดงสดของฉืออี่หนิงเผยรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มทันที “อาจารย์จั่ว ดูสิคะ อาจารย์หวังดีอยากจะช่วยช่วงชิงบทให้ แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่เห็นจะสนใจเลยสักนิด”

 

จั่วเชียนมองอี่หนิงด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย

 

ฉางฉิงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด

 

ในห้องประชุมเงียบสนิท อย่างไรเสียผู้อำนวยการเฝิงก็ไม่อยากผิดใจกับจั่วเชียน เขาทำหน้าเย็นยะเยือกใส่เป็นการเตือนให้ฉืออี่หนิงเงียบปาก จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย ให้ทุกคนเสนอชื่อผู้ที่จะรับบทนางรองเบอร์สาม

 

กว่าจะประชุมเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยง ตอนที่เดินออกจากห้องประชุม บางคนก็ดีใจ บางคนก็หน้าเศร้า

 

ฉางฉิงเก็บสมุดโน้ตและเตรียมจะเดินออกไป แต่แล้วฉืออี่หนิงก็เดินมาตรงหน้าเธอพลางยิ้มอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ฉางฉิง...พี่ฉางฉิง ทำไมถึงปฏิเสธบทนางรองเบอร์สามล่ะคะ ที่จริงบทนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าพี่ร่วมแสดงด้วย เราก็จะได้อยู่ในกองละครเดียวกัน เราทั้งคู่ต่างก็ทำงานให้กับสถานี เวลาอยู่ที่กองถ่าย ฉันจะช่วยดูแลพี่แน่นอนค่ะ”

 

ฉางฉิงสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วยิ้มตาหยี “ขอบใจในน้ำใจของเธอด้วยนะ แต่ฉันขอแนะนำให้เธอเอาเวลานี้ไปฝึกฝนการแสดงของตัวเองดีกว่า กว่านอิงกับเคอหย่งหยวนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์ทั้งคู่ ถึงเวลานั้นเธอก็อย่าไปถ่วงกองละครคนอื่นเขาจนทำให้สถานีเราต้องอับอายขายหน้าล่ะ เฮ้อ ฉันเป็นห่วงจริงๆ เลยเนี่ย ด้วยฝีมือความสามารถของเธอ ปกติแค่อัดรายการวาไรตี้ในสถานี พวกชาวเน็ตก็เมาท์ให้แซ่ดว่าเธอน่ะเสแสร้ง”

 

เจิ้งเหยียนหัวเราะ “พรึ่ด” ออกมา แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ฉันเองก็เป็นห่วงเหมือนกัน”

 

“พวกเธอ...” ฉืออี่หนิงโกรธจนหน้าแดงก่ำ

 

แต่ฉางฉิง เจิ้งเหยียนและคนอื่นๆ กลับเดินออกจากห้องโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง

 

จั่วเชียนยืนรอฉางฉิงอยู่ที่หน้าห้องประชุม ใบหน้าที่สุภาพเรียบร้อยดูเคร่งขรึม “ฉางฉิง ที่จริงคนอื่นในสถานีต่างก็สนับสนุนคุณ เพียงแต่ผู้อำนวยการเฝิงกดดันพวกเขา”

 

“ฉันรู้ค่ะ” ฉางฉิงยักไหล่อย่างจนปัญญา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนนี้ฉันขอจดจ่อกับการเป็นพิธีกรดีกว่า ส่วนเรื่องถ่ายละครเอาไว้ค่อยว่ากัน”

 

เมื่อเห็นว่าเธอดูจะไม่อยากถ่ายละครจริงๆ จั่วเชียนจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

 

_ _ _ _ _ _ _ _

 

ตอนเย็นฉางฉิงซื้อผลไม้กับดอกไม้แล้วจึงไปโรงพยาบาล เธอมองซ้ายมองขวาแล้วก็เจอห้องคนไข้ พอเข้าไปเห็นเสิ่นลู่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เธอก็ชะงักงัน น้ำตารื้นขึ้นมาเหมือนมีทรายเข้าตา

 

เสิ่นลู่ในอดีตเป็นคนสวยขนานแท้ กิริยาท่าทางสุภาพเรียบร้อยและประพฤติตัวเหมาะสม แต่บัดนี้แก้มซูบตอบ สีหน้าซีดเซียว ผมยาวดำขลับก็ไม่มีอีกแล้ว แต่กลับเป็นหมวกสีเทาแทน

 

“ฉางฉิง โตเป็นสาวขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” เสิ่นลู่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกวักมือเรียกเธอ “มานี่เร็ว เดี๋ยวนี้หนูสวยจนป้าแทบจะจำหนูไม่ได้แน่ะ”

 

“คุณป้า คุณป้าไม่สบาย...ได้ยังไงคะ” ฉางฉิงเช็ดน้ำตาและกุมมือข้างหนึ่งของเสิ่นลู่ “อาหารการกินที่อเมริกาไม่ดีหรือเปล่าคะ”

 

“นั่นน่ะสิ ไม่แน่ว่าถ้าอยู่ที่หยางโจว สุขภาพร่างกายอาจจะยังแข็งแรงอยู่ก็ได้” เสิ่นลู่พูดล้อเล่นด้วยสีหน้าซึมเศร้า “เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ตอนนั้นหนูยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย เป็นหัวแก้วหัวแหวนของเราทั้งสองครอบครัว”

 

ฉางฉิงหน้าแดง “จริงสิ คุณป้าไม่สบายแบบนี้ ทำไมคุณลุงไม่เห็นมาล่ะคะ”

 

“เรา...หย่ากันหลายปีแล้วจ้ะ” เสิ่นลู่แววตาเศร้าหมอง

 

ฉางฉิงนิ่งงัน

 

“ก๊อกๆ” ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องคนไข้ก็ดังขึ้นสองที แล้วประตูก็ถูกผลักเปิดออก

 

ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาสวมชุดสูทแฮนด์เมดสีดำราคาแพงหูฉี่ กิริยาท่าทางสง่าผ่าเผย ดูมีรัศมีเฉิดฉายมาก แต่หลังจากเห็นคนที่นั่งอยู่ในห้อง ดวงตาดำขลับก็ฉายแววอ่อนโยนขึ้นมา

 

.........................................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด