ตอนที่แล้วบทที่ 30 ช่วยให้หลุดพ้นหรือว่าทอดทิ้งดี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 สติแตก

บทที่ 31 ฟื้นขึ้นมา


บทที่ 31 ฟื้นขึ้นมา

 

ซย่าน่ายังคงสลบไสลอยู่ในห้องนอน ส่วนเย่เลี่ยนนั่งอยู่ที่ข้างเตียง ดวงตาที่เปล่งประกายอย่างแปลกประหลาดจ้องมองซย่าน่าเขม็ง

 

แน่นอนว่าเย่เลี่ยนไม่กินอาหารธรรมดาทั่วไปพวกนี้ หลิงม่อเอามาเพื่อหลอกตบตาคนอื่นเท่านั้นเอง

 

แต่ในเมื่อเขาบอกไปว่าเอาอาหารมาให้ เขาจึงต้องอยู่ที่นี่สักพักถึงจะดูไม่ผิดปกติ แล้วหลิงม่อก็ถือโอกาสนี้เดินไปหาซย่าน่าและสังเกตดูปฏิกิริยาของเธออย่างละเอียดอีกครั้ง

 

สำหรับคนที่กลืนกินก้อนไวรัสสองก้อนติดต่อกันแล้ว ปฏิกิริยาของซย่าน่าดูสงบนิ่งเหลือเกินจริงๆ เธอหายใจสม่ำเสมอกัน สีหน้าดูปกติและไม่มีความเจ็บปวดทรมานเลยแม้แต่น้อย แต่แน่ใจได้อยู่อย่างหนึ่งคือภายใต้ความสงบนิ่ง พายุไวรัสจะต้องกำลังพัดโหมอยู่ในร่างกายของซย่าน่าแน่นอน แต่ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากที่พายุพัดโหมขึ้น จะทิ้งอะไรฝากไว้กับซย่าน่าบ้าง

 

หลังจากสังเกตดูซย่าน่าอยู่สิบกว่านาที หลิงม่อก็กลับมาที่ห้องรับแขก เวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้มลงแล้ว แล้วเพื่อความปลอดภัย หลิงม่อจึงดึงม่านหน้าต่างตรงระเบียงลงมาทั้งหมด ส่วนประตูห้องก็ใช้เฟอร์นิเจอร์ขวางเอาไว้ ทีนี้ถึงแม้จะถูกจู่โจม ก็ยังยื้อเวลาไว้ได้สักพักหนึ่ง

 

ทั้งหวังเฉิงและหลิวอวี่หาวต่างก็ดูตึงเครียดขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้ว การพักค้างแรมในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและยังไม่ได้เก็บกวาดพวกซอมบี้นี้ มันออกจะชวนผวาอยู่สักหน่อย ใครจะรู้เล่าว่าจะมีซอมบี้เดินผ่านด้านนอกประตูตอนไหนน่ะ

 

“อย่าทำเสียงดังนักนะ” สีหน้าของหลิงม่อดูสงบนิ่งมาก แล้วก็แค่พูดกำชับเสียงเรียบหนึ่งประโยค

 

“แล้วคืนนี้จะจัดเวรยามกันยังไงครับ” เห็นได้ชัดว่าหลิวอวี่หาวมองว่าหลิงม่อเป็นเสาหลัก หลังจากพยักหน้า เขาก็เอ่ยถามขึ้นทันที

 

หลิงม่อครุ่นคิดเล็กน้อยและตอบว่า “ผลัดเวรกันคนละสามชั่วโมงก็แล้วกัน ส่วนซย่าน่ายกให้เย่เลี่ยนเป็นคนเฝ้า ตอนที่ฉันเฝ้าเวร ฉันก็จะแวะไปดูเธอด้วย”

 

“ไม่ต้องหรอกครับ ให้ผมกับหวังเฉิงผลัดเวรกันเถอะ พี่หลิง พี่กับพี่เย่เลี่ยนเฝ้าซย่าน่าก็พอแล้วครับ” หลิวอวี่หาวส่ายหัวช้าๆ พลางพูด “พี่ทั้งต้องเฝ้าเวร ทั้งต้องเฝ้าซย่าน่า มันเหนื่อยเกินไป ตอนนี้ผมกับหวังเฉิงเองไม่มีอะไรที่จะทำได้ ที่ทำได้คงมีแค่สิ่งนี้”

หวังเฉิงยืนพยักหน้าอยู่ข้างๆ เช่นกัน บ่งบอกว่าเขาไม่มีความเห็นแย้งใดๆ เมื่อเห็นพวกเขายืนกรานแบบนี้ หลิงม่อก็เลยจำต้องตกลงอย่างเสียไม่ได้

 

อันที่จริงการเฝ้าเวรไม่ใช่งานง่ายสบายๆ!

 

เมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ก็เริ่มมีเสียงต่างๆ นานาดังขึ้นภายในตึกใหญ่ที่เงียบสงัดนี้ บางครั้งถึงกับได้ยินเสียงดังลอยมาจากเหนือศีรษะ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสียงความเคลื่อนไหวที่ดังมาจากข้างนอก การที่นั่งอยู่ในห้องที่มืดมิดเพียงคนเดียวและฟังสารพัดเสียงที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ความหวาดกลัวภายในใจกลับค่อยๆ แผ่ขยายขึ้นทีละน้อย มันช่างเป็นความทรมานที่ยืดเยื้อยาวนานเสียจริงๆ!

 

บางครั้งมีเสียงดังนิดหน่อยลอยมา คนที่เฝ้าเวรก็ตกใจสะดุ้งโหยงแล้ว จากนั้นก็แยกแยะด้วยความตื่นเต้นว่าเสียงนี้อยู่ห่างจากบริเวณที่ตัวเองอยู่แค่ไหน แล้วมีอันตรายหรือไม่...

 

ทว่าแม้แต่หวังเฉิงก็คิดว่าแม้ว่าเขาจะต้องนั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่คนเดียวในห้องรับแขก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ด้วยกันกับซย่าน่าคนปัจจุบัน ดังนั้นเขาไม่เพียงจะเสนอตัวเฝ้าเวรกะแรกเท่านั้น แต่ยังขนย้ายตั่งไปนั่งบริเวณใกล้ๆ กับประตูด้วย เพื่อจะได้ไม่พลาดเสียงอะไรไป อย่างไรเสียหากเกิดอะไรขึ้น คนที่จะตายเป็นคนแรกก็คงเป็นตัวเขาเองนี่แหละ

 

แม้ว่าหลิวอวี่หาวจะมีเรื่องกลัดกลุ้มมากมาย แต่หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจนเกือบหมดเรี่ยวหมดแรง เพียงไม่นานเขาก็หลับผล็อยไปบนโซฟา

 

ส่วนหลิงม่อก็ขนย้ายเก้าอี้โซฟาไปไว้ในห้องนอน เขานั่งชิดติดมุมห้องและหลับตางีบลง วันนี้หลิงม่อเองก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนกัน เขาไม่อาจเทียบกับซอมบี้ได้ หากไม่รีบพักผ่อน พละกำลังก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมา ซึ่งการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่งในช่วงวันสิ้นโลก อย่างไรก็ตามถ้าเผชิญหน้ากับซอมบี้จำนวนน้อย ยังสามารถสู้รบตบมือได้ แต่หากเจอซอมบี้ฝูงใหญ่ ก็จะเป็นการแข่งขันทางด้านความว่องไวและพละกำลัง

 

แม้ว่าจะไม่ได้หลับไปจริงๆ แต่ช่วงระหว่างที่งีบหลับ หลิงม่อก็เข้าสู่ภาวะหลับลึกเป็นระยะเวลาสั้นๆ อยู่บ่อยครั้ง จากนั้นก็จะตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ในช่วงวันสิ้นโลกบรรดาผู้รอดชีวิตต่างก็คงจะนอนแบบนี้ได้เช่นกัน เพียงแต่หลิงม่อเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ซึ่งมันก็เนื่องมาจากความสามารถพิเศษของเขา นั่นคือการควบคุมหุ่นซอมบี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพลังจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แถมยังผ่านการวิวัฒนาการมาแล้วหนึ่งครั้ง

 

สำหรับหลิงม่อแล้ว คำว่าพลังจิตคงจะเป็นคำเรียกรวมของพวกสมาธิ การสังเกตอะไรทำนองนี้ ความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขาก็คือการแบ่งแยกพลังจิตของตัวเองส่วนหนึ่งมาใช้ในการควบคุมซอมบี้ที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะและกระทำสิ่งต่างๆ โดยอาศัยแต่สัญชาตญาณ การทำสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ การรบราฆ่าฟันเอาเป็นเอาตายนั้นเน้นที่ความรวดเร็วในการตอบสนองของทางประสาทและร่างกาย หากไม่มีสมาธิ แล้วจะตามการเคลื่อนไหวของซอมบี้ทันได้อย่างไร

 

ดังนั้นเริ่มแรกหลิงม่อจึงควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ทำการต่อสู้ตลอด ส่วนตัวเขาหลบอยู่หลังฉาก ภายหลังถึงค่อยพุ่งออกไปต่อสู้เองภายใต้การคุ้มกันของหุ่นซอมบี้ จนกระทั่งเมื่อเข้าควบคุมเย่เลี่ยน หลิงม่อก็เริ่มค่อยๆ รู้ว่าจะร่วมสู้รบด้วยกันกับหุ่นซอมบี้อย่างไร ซึ่งในช่วงระหว่างนี้พลังจิตของหลิงม่อได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ ดังนั้นตอนที่เย่เลี่ยนเกิดวิวัฒนาการ หลิงม่อที่ได้รับผลกระทบก็ได้ยกระดับพลังจิตด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดการวิวัฒนาการขึ้นตอนที่ลองควบคุมซอมบี้กลายพันธุ์สองตัวพร้อมกัน

 

การวิวัฒนาการของพลังจิตเป็นแนวความคิดที่ค่อนข้างคลุมเครือ มีเพียงพลิงม่อเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่เขาควบคุมเย่เลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ควบคุมเธอให้ต่อสู้ เขาจะต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นเย่เลี่ยนก็จะมีแนวโน้มหลุดจากการควบคุมได้ง่ายมาก นอกจากนี้แม้ว่าการตอบสนองทางประสาทของหลิงม่อจะรวดเร็ว แต่เวลาที่เขาถ่ายทอดคำสั่งไปให้เย่เลี่ยน การตอบรับของอีกฝ่ายกลับค่อนข้างเชื่องช้าอยู่เสมอ หากเปรียบหลิงม่อเป็นศูนย์บัญชาการ ถ้าอย่างนั้นพลังจิตของเขาก็เป็นเหมือนศูนย์กลางการเชื่อมต่อ แล้วในกระบวนการการส่งต่อข้อมูล เนื่องจากศูนย์กลางการเชื่อมต่อนี้ไม่แข็งแกร่งพอ จึงมักจะเกิดความล่าช้าอยู่เสมอ

 

แต่หลังจากเกิดวิวัฒนาการ ศูนย์กลางการเชื่อมต่อนี้ก็ยกระดับขึ้นทันที ส่วนการถ่ายทอดคำสั่งก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วและมีความเสถียรมากขึ้น

 

อย่างเช่นตอนนี้ ในความรู้สึกของหลิงม่อ เย่เลี่ยนเป็นเหมือนร่างแยก เวลาที่ควบคุมเธอนั้น ไม่มีอุปสรรคกีดขวางเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าหลิงม่อไม่ได้มีความคิดที่จะให้เธอเป็นร่างแยกจริงๆ ความจริงแล้วในการต่อสู้หลิงม่อคอยฝึกฝนพัฒนาความสามารถของตัวเองอย่างตั้งใจอยู่ตลอด ไม่ใช่เอาแต่พึ่งพาอาศัยเย่เลี่ยนทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นแนวหน้า ส่วนเย่เลี่ยนเป็นกำลังเสริม แม้ว่าคนธรรมดากับซอมบี้จะมีความแตกต่างกันมาก แต่ก็ไม่ถึงกับตอบโต้กลับไม่ได้เลย

 

สาเหตุที่คนเรารู้สึกหวาดกลัวซอมบี้เป็นเพราะว่าทันทีที่พวกมันเจอเหยื่อ ก็จะเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสสักแค่ไหน พวกมันก็ไม่มีวันถอยกรูด แต่คนธรรมดาต่างก็กลัวหัวหด กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็พอเห็นซอมบี้ ตัวเองก็ขี้ขลาดตาขาวไปเสียก่อน จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป แต่สำหรับหลิงม่อที่สู้รบตบมือกับพวกซอมบี้อยู่ตลอดและแม้กระทั่งอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันกับซอมบี้แล้ว ซอมบี้ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น!

 

หากตัดความได้เปรียบเรื่องจำนวนของซอมบี้ทิ้งไป เมื่อเจอซอมบี้อยู่ตัวเดียวโดดๆ ที่จริงแล้วคนธรรมดามีความเหนือกว่า! ซอมบี้พึ่งอาศัยแต่สัญชาตญาณอย่างเดียว พวกมันจึงดูดุร้ายน่ากลัว แต่นี่ก็เป็นจุดอ่อนของพวกมันพอดี ส่วนคนธรรมดารู้จักใช้เทคนิคในการต่อสู้ ไม่ได้หลับหูหลับตาเข้าโจมตี

ทว่าหลิงม่อเองก็รู้ว่านี่เป็นเพียงความคิดของเขาเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังคงจำเป็นต้องเกาะกลุ่มกัน ถึงจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เพราะในเมืองขนาดใหญ่เช่นนี้มีซอมบี้อยู่มากมายเหลือเกิน คนบ้าหนึ่งคนไม่น่ากลัว แต่ถ้าเป็นคนบ้าฝูงใหญ่ล่ะ คนบ้ากระหายเลือดเป็นล้านๆ เดินเตร่อยู่ในเมืองนี้ ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวสยดสยองเสียนี่กระไร!

 

แม้แต่ตัวหลิงม่อเอง ถึงจะมีความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ อีกทั้งมีซอมบี้กลายพันธุ์อย่างเย่เลี่ยนอยู่ข้างกาย แต่หากเจอเข้ากับซอมบี้จำนวนมาก เขาก็ได้แต่วิ่งหนีตายอย่างเดียว เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่บริเวณประตูหมุนของอาคารพาณิชย์ ถึงแม้จะอาศัยความได้เปรียบทางสภาพแวดล้อมกำจัดซอมบี้ฝูงนั้นได้อย่างราบคาบ แต่ก็มีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นกับคนในกลุ่ม หลิงม่อลองถามตัวเองว่าในสถานการณ์เช่นนั้น หากมีแค่เขากับเย่เลี่ยน ก็คงจะรับมือกันไม่ไหว หากไม่มีซย่าน่าที่ต่อสู้อย่างบ้าเลือดล่ะก็...

 

“เอ๋?”

 

ทันใดนั้นความรู้สึกที่น่าพิศวงก็ปลุกหลิงม่อให้ตื่นขึ้นเต็มตา เขาเหวี่ยงผ้าห่มบนตัวออกและลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นหันไปมองซย่าน่าที่นอนอยู่บนเตียง

 

จู่ๆ ซย่าน่าที่อยู่ภายใต้การจับตามองของเย่เลี่ยนก็ลืมตาขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด...

 

............................................................................................................................................................

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด