ตอนที่แล้วบทที่ 29 เข้าห้องน้ำนายจะตามไปด้วยไหม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 ที่แท้นายมันก็คือปีศาจ?

บทที่ 30 เล่นเกมอีกแล้วหรอ?


บทที่ 30 เล่นเกมอีกแล้วหรอ?

 

ในความเป็นจริงแล้ว สือเสี่ยวไป๋ไม่ได้อยากจะเข้าห้องน้ำหรอก แม้ว่าเหตุผลที่เขายืนขึ้นมาจะไม่เหมือนกับที่หลิงฉุนได้คาดเดาไว้ซะทั้งหมด แต่ก็ผิดไปไม่มาก

 

เขาไม่อยากเข้าร่วมกลุ่มของหานเฟิงและซ่งเซียว และเขาก็ไม่อยากก้าวออกมาช่วยเซี่ยงอู่ เขาเพียงคิดอย่างบริสุทธิ์ใจว่า การลงคะแนนเสียงควรจะเคารพการตัดสินใจของแต่ละคน การที่เกาะกลุ่มกันเพื่อที่จะอยู่รอดปลอดภัยยังพอเข้าใจได้ แต่การรวมกลุ่มกันเพื่อจำกัดความอิสระของคนแต่ละคน สือเสี่ยวไป๋คิดว่าไม่เหมาะกับวิถีการปกครองโดยราชธรรมของเขา

 

ดังนั้นที่จริงแล้วสือเสี่ยวไป๋ยืนขึ้นเพราะอยากจะเดินไปยังที่นั่งอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อเซี่ยงอู่ยังสามารถอยู่อย่างเอกเทศได้ เขาสือเสี่ยวไป๋ทำไมจะอยู่แบบนั้นบ้างไม่ได้? เขาจะตีตัวออกห่างจากคนอื่น!

 

ทว่าหลิงฉุนได้ห้ามเขาไว้ อีกทั้งยังพูดโน้มน้าวซะจนเขายอมแพ้

 

สือเสี่ยวไป๋คิดไม่ออกแล้วว่าคำพูดไหนที่ทำให้เขาล้มเลิกความคิดโง่ๆ นั้น แต่ในใจของสือเสี่ยวไป๋รู้ดี เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขายอมแพ้ก็เพราะความกลัว เขากลัวจะถูกคัดออก

 

ไม่ว่าจะเป็นการปิดบังตัวตน หรือว่าจะเป็นการใช้ข้ออ้าง “ไปเข้าห้องน้ำ” และรับปากเข้าร่วมกลุ่มของหานเฟิง สำหรับสือเสี่ยวไป๋แล้วล้วนเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจ จากนิสัยของเขาแล้ว การหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไม่...” ถึงจะสมกับเป็นเขามากกว่า

 

แต่สือเสี่ยวไป๋ที่ไม่เกรงกลัวบารมีใครหน้าไหน กลับกลัวความอ่อนแอที่สุด เขากลัว กลัวว่าตัวเองจะเป็นผู้อ่อนแอไปตลอด

 

ได้ยินคนอื่นเอาแต่พูดว่าสือเสี่ยวไป๋เป็นอัจฉริยะ คุณสมบัติของสือเสี่ยวไป๋นั้นเลิศเลอขนาดไหน แต่สือเสี่ยวไป๋กลับรู้ดีกว่าใครๆ เขาเป็นคนอ่อนแอคนหนึ่ง ต่อให้ทะลวงสู่ขั้นปฐมจิตชั้นหนึ่งแล้ว สือเสี่ยวไป๋ก็ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหมัดของเย่เจียเฉวียน ความลึกลับของหลิงฉุน แรงกดดันของซีซือ ทั้งหมดนั่นล้วนทำให้สือเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าตัวเขาเองอ่อนแอเกินไป

 

ไม่ใช่ว่ากลัวหมัดของเย่เจียเฉวียน และก็ไม่ใช่ว่าจะยอมจำนนต่อแรงกดดันของซีซือ สือเสี่ยวไป๋เพียงแต่ร้อนใจว่า เมื่อไหร่ตัวเขาจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อไหร่ที่ตัวเขาจะสลัดความอ่อนแอทิ้งไปได้

 

และการอบรมเด็กใหม่ โอกาสที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้น สือเสี่ยวไป๋ไม่อยากให้มันหลุดมือไป เขาอยากตะครุบไว้ให้มั่น ยอมแลกทุกอย่างโดยไม่เสียดาย

 

ถึงตอนนี้ สือเสี่ยวไป๋ยอมแล้ว ยอมปิดบังตัวตนอีกทั้งยังเข้าร่วมกลุ่มของหานเฟิง นี่เป็นการประนีประนอมอันน้อยครั้งของสือเสี่ยวไป๋

 

เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จ เขาก็กลับมายังที่นั่ง อารมณ์ของสือเสี่ยวไป๋หนักอึ้ง ทั้งๆ ที่โอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นนั้นอยู่แค่เอื้อม แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงไม่ยินดีแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าในใจมีอะไรได้หล่นหายไป

 

สือเสี่ยวไป๋นิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ แต่รอบด้านกลับมีเสียงดังจ๊อกแจ๊กขึ้นมา เสียงต่างๆ นนา นั้นลอยเข้าหู เสียงของหลิงฉุนดังวนเวียนอยู่ข้างหูอยู่ตลอด ตอนนี้สือเสี่ยวไป๋รู้สึกรำคาญอย่างที่สุด ราวกับว่ามีของร้อนเดือดพลุกพล่านอยู่ในร่างกาย จนทำให้เส้นประสาททุกเส้นของเขากระตุกไม่หยุด

 

สือเสี่ยวไป๋ปรายตามองมุมที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวมุมนั้นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ผู้ชายที่มีชื่อว่าเซี่ยงอู่คนนั้น นั่งนิ่งๆ เงียบๆ อยู่ตรงนั้น ราวกับว่าถูกอากาศพันธนาการไว้ ราวกับว่าเวลาได้กักขังตัวเขาไว้

 

แต่สือเสี่ยวไป๋กลับมองเห็นความอิสระบนตัวเขา

 

อิสระที่บินไม่ได้ ก็เป็นอิสระเหมือนกันนี่นา!

 

“ดูท่าจะป่วยเสียแล้ว”

 

สือเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ ค่อยๆ หลับตาลง เขาต้องการการพักผ่อน เพราะว่าเขากำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่

 

......

 

 

 

เวลาการพักผ่อนของสือเสี่ยวไป๋ยืดยาวออกไปได้ไม่นานนัก ซีซือค่อยๆ เดินเข้าในห้องเรียน จังหวะที่เขาเยื้องย่างเข้ามา ทุกคนต่างปิดปากเงียบสนิท เงียบเหมือนกับจั๊กจั่นหน้าหนาว[1] เสียงดังเอะอะทั้งหมดได้เงียบลง

 

สือเสี่ยวไป๋ลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สายตาสบเข้ากับดวงตาหรี่เล็กของซีซือ พลันหนาวจนขนลุกชัน ราวกับสัตว์น้อยที่ตกใจจนเกือบจะกระโดดหนี

 

โชคดีที่หลิงฉุนที่อยู่ข้างๆ จับไหล่ของเขาไว้ทัน สือเสี่ยวไป๋ถึงได้สงบลงจากแรงกดดันที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของซีซือ

 

“ไอ้โรคจิตนั่นต้องตั้งใจแน่ๆ ข้าเกือบจะตกหลุมมนต์ลวงตาของเขาซะแล้ว!”

 

สือเสี่ยวไป๋สบถในใจ ความรู้สึกกดดันในใจค่อยๆ ลดลงอย่างไม่รู้ตัว

 

ซีซือเดินไปทางเวทีสูงกลางห้องช้าๆ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแจ่มชัดในห้องเรียนที่เงียบสงัด ราวกับเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงหัวใจเต้นของทุกคน ราวกับว่าจังหวะเต้นของหัวใจทุกคนคล้อยตามจังหวะการก้าวเดินของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้

 

ในห้องเรียนสะท้อนให้เห็นระเบียบวินัยอันเคร่งครัดอย่างชัดเจน

 

“รีแลกซ์ ไม่ต้องเกร็ง วันนี้อาจารย์อารมณ์ดี” ซีซือพูดขึ้นเบาๆ

 

หลังจากเสียงของซีซือจบลง เสียงผ่อนหายใจอย่างผ่อนคลายก็ดังขึ้นในห้องเรียน สือเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าร่างกายที่เครียดเขม็งของเย่เจียเฉวียนข้างๆ เขาได้ผ่อนคลายลงแล้ว

 

ถ้าหากไอ้โรคจิตนี่อารมณ์ไม่ดี จะเกิดอะไรขึ้น?

 

สือเสี่ยวไป๋วูบคิดถึงข้อนี้อย่างช่วยไม่ได้

 

“เวลาที่อาจารย์ซีซืออารมณ์ไม่ดีมักจะชอบเล่น ‘เกม’ ส่วนรายละเอียดของเกมนั้น รอวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดี นายก็จะได้เห็นเอง ฉันไม่พูดดีกว่า” หลิงฉุนเข้ามาใกล้หูของสือเสี่ยวไป๋ เอ่ยด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน น้ำเสียงหวาดกลัวอย่างชัดเจน

 

สือเสี่ยวไป๋ตะลึงไปเล็กน้อย เกิดความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นในใจลึกๆ เกมที่ทำให้ทุกคนหวั่นวิตก ดูท่าคงไม่ใช่เกมธรรมดาๆ แน่

 

ถึงแม้ว่าเด็กใหม่ในห้องเรียนจะผ่อนคลายลงแล้ว แต่ยังคงรักษาความเงียบอยู่ ระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด

 

“เอาหล่ะ ของเล่นที่น่ารักทั้งหลาย เรามาเรียนต่อจากภาคเช้ากันเถอะ”

 

ซีซือตบมือสองสามครั้ง ดวงตามองปราดไปยังทุกคน ใบหน้าของเหล่าเด็กใหม่ที่ถูกเรียกว่า “ของเล่น” ล้วนแสร้งทำท่าทางตั้งใจฟัง ไม่กล้าเผยท่าทีไม่พอใจ

 

ซีซือหยุดเล็กน้อย แล้วเริ่มการสอน

 

“หลายวันมานี้พวกเราเอาแต่ถกเรื่องต่อสู้ ที่จริงแล้วการต่อสู้ไม่ได้มีแค่พลังหลักสี่อย่าง โจมตี ป้องกัน ไหวพริบ และ พลังจิตพิเศษ แต่ผู้ที่ไม่มียีนพลังจิตพิเศษเลยอย่างพวกนายมีแค่สามอย่าง การต่อสู้ของพวกนายแพ้ผู้มีพลังจิตพิเศษไปข้อหนึ่งตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ว่าฉันสามารถบอกกับพวกนายอย่างมาดมั่นว่า การที่ผู้มีพลังจิตจะเอาชนะผู้มีพลังจิตพิเศษได้นั้นไม่ยาก เพราะว่า ‘พลังจิตพิเศษ’ ใดล้วนมีปัจจัยสามข้อ ความสามารถ เงื่อนไขและข้อจำกัด ถ้าหากพวกนายสามารถมองเงื่อนไขการใช้และข้อจำกัดจุดอ่อนของพลังจิตพิเศษฝ่ายศัตรูออก เช่นนั้นสิ่งที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ก็ยังคงเป็นการโจมตี การป้องกันและไหวพริบ สามอย่างนี้ และสามอย่างนี้ล้วนต้องพึ่งพลังวิญญาณ พวกพลังจิตพิเศษเมื่อเทียบการฝึกฝนพลังวิญญาณกับพวกนายแล้วเทียบไม่ติดแม้ครึ่ง!”

 

ซีซือกล่าวเป็นชุดต่อเนื่อง สุดท้ายก็ได้สรุปว่า “หรือพูดอีกอย่างว่า กระบวนการสามอย่างคือวิธีเดียวที่จะทำให้พวกนายเอาชนะผู้มีพลังจิตพิเศษได้ และเป็นความภูมิใจและศักดิ์ศรีที่พวกนายเท่านั้นถึงจะมี! พวกนายไม่เหมือนผู้มีพลังจิตพิเศษที่เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษ พวกนายเป็นเพียงคนธรรมดาที่แสนธรรมดา ไม่มีวงแหวนเรืองแสง เกิดมาก็แพ้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ต้องแพ้ราบคาบในการแก่งแย่งแข่งขันต่อๆ ไป พวกนายในเกมสนามนี้ที่ชื่อว่า ‘ชีวิต’ แค่เริ่มต้นก็เป็นผู้แพ้แล้ว!”

 

“แต่พวกนายพลิกกระดานได้ เพียงแค่ฝึกฝนการโจมตีที่ทรงพลัง การป้องกันอันแกร่งกล้า ไหวพริบอันฉับไว พวกนายก็มีสิทธิ์เอาชนะผู้มีพลังจิตพิเศษแล้ว และสิ่งเหล่านี้ อาจารย์จะสอนให้พวกนายอย่างหมดเปลือก!”

 

ซีซือเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน สำรวมท่าทีหยอกล้อเปลี่ยนเป็นสุขุมเคร่งขรึม น้ำเสียงในการพูดก็ปลุกเร้าให้กำลังใจ ราวกับอาจารย์ผู้มีจรรยาบรรณสูงส่งกำลังตั้งใจชี้แนะแนวทางให้นักเรียนของเขาอยู่

 

สือเสี่ยวไป๋พบว่าเด็กใหม่ทั้งหลายข้างกายเขาเริ่มสูดหายใจเร็วแรง นัยต์ตาโชติช่วงไปด้วยเปลวไฟอันฮึกเหิม เย่เจียเฉวียนกำหมัดแน่น

 

คำพูดของซีซือแพร่กระจายสะเทือนอารมณ์ของพวกเขา คำพูดสุดท้ายได้จุดความกระหายในใจลึกๆ

 

ท่าทางของสือเสี่ยวไป๋ก็ค่อยๆ จริงจังขึ้นมา การโจมตีที่ทรงพลัง การป้องกันอันแกร่งกล้า ไหวพริบอันฉับไว ที่ซีซือเอ่ยถึง เขาเองก็มีได้ใช่ไหม?

 

“แต่ก่อนหน้านั้นทั้งหมด พวกนายจะยืนหยัดไปถึงตอนสุดท้ายได้หรือไม่”

 

ซีซือเปลี่ยนทิศทางของคำพูดอย่างฉับพลัน ดวงตาค่อยๆ หรี่เล็กลง

 

“ช่างน่าเสียดายจริงๆ บ่ายวันนี้จะต้องกำจัดของเล่นที่น่ารักอีกชิ้นหนึ่งแล้ว”

 

รอยยิ้มงดงามผุดขึ้นบนใบหน้าของซีซืออีกครั้ง ขณะที่ใช้น้ำเสียงหยอกเย้าพูดคำว่า “เสียดาย” ทำให้คนอื่นรู้สึกเหน็บหนาว

 

ความหมายแฝงที่แท้จริงในคำพูดนั้นทำให้บรรดาเด็กใหม่ทีมสีแดงหวาดหวั่นจนลืมหายใจ บรรดาเด็กใหม่ทีมสีฟ้ากลับหัวเราะยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

นี่แค่วันที่สี่ของการอบรมเด็กใหม่ แต่วันนี้จำต้องกำจัดคนที่สามออก?

 

สือเสี่ยวไป๋รับรู้ได้ว่าตอนที่ซีซือกำลังพูดนั้น สายตาได้สอดส่องมาที่ตัวเขา แววตาทีเล่นทีจริงนั้นทำให้หัวใจของสือเสี่ยวไป๋เต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

 

“คงไม่ได้เพ่งเล็งข้าอีกแล้วใช่ไหม?”

 

ในใจสือเสี่ยวไป๋สัมผัสได้ถึงลางร้าย

 

“อ้อ ใช่แล้ว วันนี้มีเด็กใหม่ที่โดดอบรมไปหลายวันมาเข้าเรียน อาจารย์คิดเกมสนุกๆ ให้เขาเล่นได้เกมหนึ่งพอดี”

 

ซีซือเผยรอยยิ้มชั่วร้าย มองมาที่ๆ สือเสี่ยวไป๋ แล้วกล่าวว่า “ถู่ต้าเฮยมาที่เวทีสิ ให้พวกเราได้เล่นเกม...ยากนิดหน่อยนี้กัน”

 

ทุกคนได้ยินดังนั้น จึงมองตามสายตาของซีซือก็พบสือเสี่ยวไป๋ที่รูปร่างหน้าตาธรรมดานั่งอยู่ ในใจพลันเกิดความรู้สึกสงสารอย่างที่สุด

 

“เกม” ที่อาจารย์ซีซือว่า ไม่ใช่ “เกมเล็กๆ” อีกทั้งยังใช้คำขยายว่า “ยากนิดหน่อย” นี้

 

บรรดาเด็กใหม่โชคร้ายที่มีประสบการณ์กับ “เกมธรรมดา” มาแล้ว แทบเดาไม่ออกเลยว่า “เกมที่ยากนิดหน่อย” ของอาจารย์ซีซือนั้นจะฟั่นเฟือนขนาดไหน?

 

--------------------------------------------------------------------------

 

[1] เงียบเหมือนกับจั๊กจั่นหน้าหนาว หมายถึง เงียบกริบ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด