ตอนที่แล้วบทที่ 28 ลางสังหรณ์ของสือเสี่ยวไป๋
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 เล่นเกมอีกแล้วหรอ?

บทที่ 29 เข้าห้องน้ำนายจะตามไปด้วยไหม


บทที่ 29 เข้าห้องน้ำนายจะตามไปด้วยไหม

 

ในสนามอบรมเด็กใหม่มีอาคารเหล็กอยู่ห้าหลัง โดยอาคารที่ใหญ่ที่สุดก็คืออาคารเรียนที่อาจารย์ซีซือใช้สอนเป็นประจำ

 

โครงสร้างภายในของอาคารเรียนนั้นคล้ายกับห้องทดสอบเด็กใหม่อย่างมาก คือมีที่นั่งขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เพียงแต่ที่นั่งทั้งสองฝั่งนี้กลับเป็นเก้าอี้ลาดเอียงมาบรรจบกันเป็นรูปตัว V ตรงกลางระหว่างที่นั่งตัว V มีแท่นบรรยายคล้ายโพเดี้ยมสูงตั้งอยู่ตัวหนึ่ง และผนังที่ตั้งถัดจากแท่นบรรยายไม่ไกลคล้ายเป็นจอภาพขนาดยักษ์

 

หลังจากที่สือเสี่ยวไป๋ออกจากห้องทำงานของซีซือก็ตรงมายังห้องเรียนกับพวกหลิงฉุนเลย เวลานี้ในห้องเรียนมีเพียงไม่กี่คน เวลาผ่านไปไม่นานคนที่ออกไปพักก็เริ่มทยอยกลับเข้ามา

 

หลิงฉุนเอาแต่หาเรื่องมาคุยกับสือเสี่ยวไป๋ไม่หยุด สือเสี่ยวไป๋ที่เพิ่งผ่าน “การข่มเหง” ของซีซือมาจึงรู้สึกรำคาญหลิงฉุนอยู่หน่อยๆ แต่ว่าเขาจะไปตำหนิหลิงฉุนไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร “นิสัยคน” ก็เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาได้

 

แต่ไม่ว่าอย่างไร ก้าวแรกของการปิดบังตัวตนก็ได้สำเร็จไปแล้ว สือเสี่ยวไป๋ในตอนนี้มีชื่อว่าถู่ต้าเฮย

 

คนที่เข้ามายังห้องเรียนส่วนใหญ่เมื่อเห็นสือเสี่ยวไป๋ที่เป็นคนแปลกหน้า บางคนเข้ามาถามซึ่งหลิงฉุนก็ช่วยสือเสี่ยวไป๋อธิบายก่อนเสมอ ผู้คนเมื่อได้ฟังคำอธิบายต่างก็ครุ่นคิดพิจารณา ความจริงแล้วมีคนบางกลุ่มเริ่มสงสัยว่าถู่ต้าเฮยคนนี้ แท้จริงก็คือสือเสี่ยวไป๋ที่โดดอบรมไปหลายวัน แต่ในเมื่ออาจารย์ซีซือได้พิสูจน์ตัวตนของเขาอย่างชัดเจนแล้ว อีกทั้งพวกเขาต่างไม่รู้ว่าแท้จริงสือเสี่ยวไป๋หน้าตาเป็นอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ

 

การปิดบังตัวตนของสือเสี่ยวไป๋เป็นไปตามที่หลิงฉุนคาดการณ์ไว้ ถึงจะมีเรื่องน่าแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยง

 

ช่วงเวลาพักเที่ยงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว บรรดาเด็กใหม่ต่างก็ทยอยกลับเข้าห้องเรียน

 

“เด็กใหม่หน่วยผู้ทำลายในห้องเรียนตอนนี้มีทั้งหมดเจ็ดสิบสามคน ผู้ชายหกสิบสามคน และผู้หญิงสิบคน ไม่มีใครอายุต่ำกว่าสิบปี อายุสิบปีถึงสิบห้าปีมีห้าสิบสองคน อายุสิบห้าปีถึงยี่สิบปีมียี่สิบคน และมีหนึ่งคนที่อายุยี่สิบปีขึ้นไป”

 

หลิงฉุนพูดเรื่องตัวเลขที่ชวนให้สือเสี่ยวไป๋เวียนหัวออกมาเป็นชุด แต่สุดท้ายก็พูดสรุปว่า “คุณภาพของเด็กใหม่รอบนี้ของหน่วยผู้ทำลายค่อนข้างจะธรรมดา นอกจากสือเสี่ยวไป๋คนเดียวแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นพวกปะปนเป่าอวี๋[1]

 

สือเสี่ยวไป๋ได้ยินประโยคนี้ก็แอบยกนิ้วโป้งให้หลิงฉุนเพื่อนตัวน้อยของเขาคนนี้อยู่ในใจ เขาชอบคนจริงใจแบบนี้ที่สุด

 

สือเสี่ยวไป๋มองดูโดยรอบ จู่ ๆ ก็พบว่าบรรดาเด็กใหม่ที่นั่งฝั่งขวาต่างพากันนั่งเรียงกันครบแถว ดูท่าน่าจะเป็นทีมเดียวกัน คิดดูแล้วคนพวกนั้นน่าจะเป็นเด็กใหม่ทีมสีฟ้า แต่ที่นั่งทางฝั่งตนนั้นกลับแยกกันนั่งเป็นสองกลุ่ม ดูท่าน่าจะเป็นสองกลุ่มที่แตกแยกกันของทีมสีแดงอย่างที่หลิงฉุนเคยบอก

 

ทันใดนั้น สายตาของสือเสี่ยวไป๋ก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของคนผู้หนึ่ง เป็นคนที่ร่างกายไม่ได้สูงเท่าไรนัก แต่ดูแล้วค่อนข้างจะแข็งแรง หน้าตาคมคาย ท่าทางสุขุมคล้ายกับดาบคมที่ซ่อนอยู่ในฝัก ในใจของสือเสี่ยวไป๋พลันรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะในเวลานี้คนผู้นั้นนั่งอยู่ที่มุมๆ หนึ่งเพียงลำพัง รอบข้างไม่มีใครนั่งด้วย ดูเหมือนว่าไม่มีใครคบ ราวกับว่าแยกตัวออกมาจากคนทั้งสองกลุ่มของทีมสีแดง

 

หลิงฉุนมองตามสายตาของสือเสี่ยวไป๋ไปเห็นคนผู้นั้นเข้าจึงเอ่ยว่า “คนนั้นชื่อว่าเซี่ยงอู่ เป็นกลุ่มที่สามของทีมสีแดง”

 

สือเสี่ยวไป๋เอ่ยอย่างไม่ยากเชื่อ “คนเดียวเหรอ?”

 

แค่คนเดียวจะเป็นกลุ่มได้ยังไง?

 

หลิงฉุนพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจพลางกล่าว “กลุ่มทั้งสองของทีมสีแดงมีกลุ่มละสิบห้าคนพอดี ตอนลงคะแนนตัดคนออกต่างฝ่ายต่างก็สูสี แต่ว่าเซี่ยงอู่เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ถือว่าเป็นคนของสองกลุ่มใหญ่ ดังนั้นคะแนนเสียงของเขาจึงมีผลต่อการแพ้-ชนะของคะแนนโหวตได้ เขาเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก ไม่ยอมเข้าร่วมกับกลุ่มใดในสองกลุ่มใหญ่ เหตุนี้เลยถูกแยกให้อยู่โดดเดี่ยวแบบนั้น”

 

พวกแตกต่างที่ไม่ยอมเข้าร่วมกลุ่ม แต่กลับมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในสงคราม เห็นได้ชัดว่ากลุ่มใหญ่ทั้งสองของทีมสีแดงต่างมองเขาเป็นหนามยอกอก

 

หลิงฉุนกล่าวอย่างเสียใจ “เดิมทีกลุ่มที่สามมีสมาชิกสามคน พวกเขาเรียกแทนกันว่าเป็นสามพี่น้อง มีพลังความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจมาก ทว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมเข้าร่วมกับสองกลุ่มใหญ่ พวกเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมน่ารังเกียจของการเห็นต่างในทีมเดียวกัน ผลก็คือการแข่งขันในสองรอบก่อน พวกเขาก็ถูกสมาชิกจากสองกลุ่มใหญ่โหวตออกไปสองคน หากว่าในรอบสามนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เซี่ยงอู่จะต้องถูกกำจัดออกแน่นอน”

 

เย่เจียเฉวียนกล่าวเสียงหม่น “ข้าว่าไม่ยุติธรรมเลย ข้าว่าสามพี่น้องล้วนไม่ผิด ที่จริงการโหวตคะแนนเสียงเพื่อคัดออกไม่ควรจะร่วมมือกันพุ่งเป้าไปที่ใคร”

 

หลิงฉุนถอนหายใจกล่าวว่า “ทุกคนต่างก็ลงคะแนนตามความสมัครใจของตัวเอง จนได้ผลคะแนนที่ยุติธรรมที่สุด เหตุผลนี้ออกจะสมบูรณ์ แต่ว่าความจริงกลับโหดร้ายยิ่งนัก ภายใต้กติกาลงคะแนนเสียงเพื่อคัดออกของอาจารย์ซีซือนั้น คนที่อยู่คนเดียวจะเป็นเป้าให้ถูกกำจัดออก สำหรับพวกเราที่ไม่แข็งแกร่งพอ ไม่ว่าจะเข้าร่วมกลุ่มหรือไม่ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ตัวเลือกเดียวที่พวกเราจะเลือกได้มีเพียงเข้าร่วมกลุ่มใดสักกลุ่ม”

 

“ถึงแม้ว่าซ่งเซียวจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทีมสีแดง แต่กลับเผด็จการที่สุด คนที่เข้าร่วมกลุ่มกับเขาต่างก็ต้องทำตามการตัดสินใจของเขา เท่ากับว่าเขาเลือกจะตัดใครออก พวกนั้นก็ต้องทำตาม ส่วนหานเฟิงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่มีเจตนาไปลิดรอนสิทธิเรื่องคะแนนเสียงของคนในกลุ่ม ในทีมของหานเฟิงเขาจะเลือกคัดคนออกหลังจากลงคะแนนเสียงในกลุ่มเรียบร้อยแล้ว”

 

“ต้าเฮย นายต้องคิดทบทวนดีๆ นายในตอนนี้คล้ายกับสามพี่น้องตระกูลเซี่ยงคนก่อนมาก พูดได้ว่าการเลือกของนายจะเป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวของกลุ่มใหญ่ซ้ายขวาได้เลย ความเห็นส่วนตัวของฉันหวังให้นายเข้าร่วมกลุ่มของหานเฟิง”

 

สือเสี่ยวไป๋ฟังแล้วก็จมดิ่งอยู่ในภวังค์ มิน่าล่ะตั้งแต่ที่เขาเดินเข้าห้องเรียนมาจนถึงตอนนี้รู้สึกได้ว่ามีสายตาไม่น้อยจับจ้องมาที่เขา สายตาของคนที่เข้ามาถามไถ่ว่าเขาเป็นใครก็ยิ่งแปลก ที่แท้เขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากผลไม้เนื้อหอมดีๆ นี่เอง

“เห้อ ไม่ว่าข้าจะไปที่ใดล้วนเป็นจุดสนใจทั้งนั้น!”

 

สือเสี่ยวไป๋อุทานเสียงยาว อดไตร่ตรองคำพูดของหลิงฉุนไม่ได้ เปรียบกลุ่มของซ่งเซียวและหานเฟิงซ่งเซี่ยวเหมือนกับผู้ปกครองตามระบบคอมมิวนิสต์ ส่วนอีกคนคือผู้ปกครองตามรัฐธรรมนูญ จากความรู้สึกส่วนตัวแล้วสือเสี่ยวไป๋โอนเอียงไปทางหานเฟิงมากกว่า

 

ทว่าฉือเสี่ยวไป่กลับมองไปยังเงาของชายโดดเดี่ยวผู้นั้นอย่างไม่รู้ตัว

 

ภายใต้กติกาการคัดออกที่โหดร้ายแบบนี้ เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่ สิทธิในการออกเสียงของพวกเขาจะรวมตัวกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ส่วนคนที่โดดเดี่ยวกลับไม่มีแรงสักนิดที่จะคัดค้านพลังตรงหน้า

 

ทุกคนต่างก็เห็นแก่ตัว ไม่มีใครอยากโดนคัดออกหรอก ดังนั้นการกอดขาของผู้ที่แข็งแกร่งไว้ให้แน่นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา เห็นชัดว่าซ่งเซียวและหานเฟิงต่างก็เป็นขาใหญ่สองข้างที่ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

 

สมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มของซ่งเซียวและหานเฟิงมีจำนวนสิบห้าคนเท่ากันพอดี คะแนนเสียงของพวกเขาเป็นความสมดุลที่น่าเวทนา ขอเพียงได้คะแนนเพิ่มอีกแค่คนเดียว ความสมดุลนี้ก็จะถูกทำลายลง พวกเขาก็จะค่อยๆ กลืนกินสมาชิกของอีกกลุ่มเพื่อรักษาสมาชิกในกลุ่มของตัวเองไม่ให้ถูกกำจัดออก

 

สามพี่น้องตระกูลเซี่ยงที่อยู่นอกกลุ่มใหญ่ทั้งสอง เห็นชัดว่าหากเลือกเข้าร่วมกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งพวกเขาก็ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่พ่ายแพ้เช่นนี้ ทั้งยังสามารถเหยียบให้อีกฝ่ายจมสู่ขุมนรกได้อีกด้วย แต่สามพี่น้องตระกูลเซี่ยงกลับไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมกลุ่มใหญ่ทั้งสอง ทว่ายอมที่จะถูกกำจัดออกไปทีละคน

 

ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้นะ? ทำไมถึงได้โง่เง่าแบบนี้? พวกเขากำลังยืดถืออะไรอยู่กันแน่?

 

สือเสี่ยวไป๋มองดูเซี่ยงอู่ที่นั่งหลบมุมอย่างโดดเดี่ยว ชั่วครู่ก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวเบาๆ

 

“ข้า...” สือเสี่ยวไป๋ลุกขึ้นยืน

 

“ข้ารู้แล้ว!”

 

หลิงฉุนรีบเปล่งเสียงดังขึ้นขัดจังหวะ ลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปจับหัวไหล่ของสือเสี่ยวไป๋ไว้ ด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต้าเฮย ฉันรู้ว่านายไม่อยากเข้าร่วมกับกลุ่มใหญ่ทั้งสองกลุ่มเลย และก็รู้ด้วยว่านายอยากจะช่วยเซี่ยงอู่! ฉันก็รู้สึกเหมือนกันกับนาย แต่ว่าจะต้องคิดถึงอีกเรื่องให้ดี หากนายและเซี่ยงอู่มีชื่ออยู่นอกลิสต์เหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นคนที่จะถูกคัดออกในรอบต่อไปก็มีความความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นนาย ต้าเฮย หรือว่านายเต็มใจจะถูกคัดออกทั้งที่เพิ่งจะเข้ามางั้นเหรอ?”

 

“ข้า...” สือเสี่ยวไป๋หย่นคิ้วเบาๆ

 

หลิงฉุนรีบพูดตัดบท “ต้าเฮย นายในตอนนี้เข้าร่วมกับกลุ่มของหานเฟิง ถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือเซี่ยงอู่นะ หลังจากที่นายเข้าร่วมกลุ่มแล้ว อำนาจของกลุ่มหานเฟิงก็จะมีสิบหกคน จำนวนคนมากกว่ากลุ่มซ่งเซียวอยู่หนึ่งคน ในรอบหน้าพวกเราทั้งสิบหกคนจะลงคะแนนคัดสมาชิกของซ่งเซียวออก แบบนี้ถึงจะช่วยหยุดชะตากรรมที่ต้องถูกคัดออกของเซี่ยงอู่ได้!”

 

“เห้อ ข้า...” สือเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ

 

หลิงฉุนพูดขัดอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ต้าเฮย ฉันรู้ดีว่านายไม่ชอบเข้าร่วมอำนาจของคนอื่น และยิ่งว่านั้นคือไม่ชอบร่วมลงคะแนนเสียงกำจัดใครออก ฉันรู้ว่านายสนับสนุนความถูกต้อง ปรารถนาความยุติธรรม ศรัทธาความเป็นอิสระ แต่ว่า ฉันอยากให้นายตั้งใจทบทวนให้ดีสักหน่อย หากว่านายเข้าร่วมกลุ่มของหานเฟิง ไม่ได้หมายความว่าต้องยอมทำตาม และไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงมโนธรรม แต่เป็นแนวทางที่มีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่อย่างหนึ่ง ที่ไม่เพียงสามารถปกป้องไม่ให้ตัวเองถูกคัดออกแล้ว แต่ยังสามารถช่วยเหลือเซี่ยงอู่ได้ในเวลาเดียวกัน”

 

“ต้าเฮย การจะอยู่หรือไปของนายและเซี่ยงอู่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในตอนนี้ของนายแล้ว!”

 

มือทั้งสองของหลิงฉุนวางลงบนไหล่ของสือเสี่ยวไป๋ ความรู้สึกวิตกวูบไหวในลูกตาสีดำอ่อนของเขา ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขมึง กลัวว่าจะได้ยินคำตอบเอาแต่ใจจากปากสือเสี่ยวไป๋

 

ในตอนนี้บรรดาเด็กใหม่ที่สนใจสือเสี่ยวไป๋ต่างพากันจดจ้องมาที่เขา เด็กใหม่ของกลุ่มหานเฟิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลต่างก็เงี่ยหูตั้งตารอฟังคำตอบ เมื่อฟังจากบทสนทนาของคนทั้งสองแล้ว เด็กใหม่ที่ชื่อว่าถู่ต้าเฉยผู้นี้ คล้ายกับกำลังสร้างภาพลวงตาหลอกศัตรูอยู่ใช่ไหม?

 

“ข้า...”

 

สือเสี่ยวไป๋ยักไหล่กล่าวอย่างไร้ความอดทนว่า “ข้าก็แค่จะไปเข้าห้องน้ำ ต้องตกใจขนาดนี้เลยหรอ?”

 

หลิงฉุนได้ฟังถึงกับอึ้งไปทันที อุตส่าห์สรรหาถ้อยคำสวยหรูมาโน้มน้าวสารพัด แม่-งไร้ประโยชน์ทั้งนั้น!

 

--------------------------------------------------------------

 

 

 

 

 

 

[1] ปะปนเป่าอวี๋ หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถแปลกปลอมเข้าไปปนอยู่ในหมู่คนมีความสามารถ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด