ตอนที่แล้วบทที่ 26 ยอดอ่อนโผล่พ้นผืนดิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 28 โอวหยางหย่งซูผู้โดนหลอก

บทที่ 28 บัณฑิตสำนักไท่เสวียหลอกยากนัก


บทที่ 28 บัณฑิตสำนักไท่เสวียหลอกยากนัก

 

อาจารย์กัวเป็นคนดีเหลือเกิน ปกติแล้วขอเพียงทำการบ้านที่เขาสั่งจนเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไม่ใส่ใจนิสัยแปลกประหลาดของลูกศิษย์เลยแม้แต่น้อย

 

เมื่อแรกเริ่มเถี่ยซินหยวนยังนึกว่ามาเรียนหนังสือกับอาจารย์ท่านนี้แล้ว ชีวิตคงจมอยู่ในความมืดมนมองไม่เห็นแสงแห่งความหวังเป็นแน่

 

ปรากฏว่าเขาคิดผิดเสียแล้ว...

 

อาจารย์ท่านนี้เข้มงวดกับการเล่าเรียนของลูกศิษย์อย่างมาก แต่เขาไม่มีข้อเรียกร้องเรื่องการบ่มเพาะคุณธรรมของลูกศิษย์สักเท่าไร ฉะนั้นการเรียนหนังสือกับอาจารย์กัว ถ้าหากเจ้ารับผิดชอบทำการบ้านเรียบร้อย ก็จะได้รับความโปรดปรานจากเขา

 

เถี่ยซินหยวนเคยนึกว่าอาจารย์เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นอาจารย์ที่ดี และดูเหมือนว่าอาจารย์กัวไม่เคยมีความคิดจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการสอนเลยสักนิด

 

วันนี้เถี่ยซินหยวนอ่านความเรียง ‘รากฐานแห่งมรรคา’ จากตำราชื่อ ‘สารัตถะแห่งความเรียง’ ซึ่งความเรียงบทนี้เป็นผลงานของหานเหวินเจิ้งกง[1]ในสมัยราชวงศ์ถังยุคก่อน[2]

 

อาจารย์กัวไม่เรียกร้องให้เถี่ยซินหยวนเข้าใจแก่นแท้ของความเรียง เพียงแต่พร่ำบอกครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเถี่ยซินหยวนจะต้องท่องประโยคที่เกี่ยวกับ ‘เมตตาธรรม’ ในความเรียงบทนี้จนจำขึ้นใจให้ได้

 

เถี่ยซินหยวนเคยเอ่ยปากถามแล้ว ลูกศิษย์แต่ละคนจะได้อ่านความเรียงคนละบทไม่ซ้ำกัน เมื่อเด็กคนหนึ่งเริ่มเรียนรู้ตัวอักษรแล้ว ท่านอาจารย์จะเลือกสรรความเรียงบทหนึ่งเป็นรากฐานในการตั้งตัวเรียนรู้ของพวกเขา เด็กทุกคนต้องจดจำเนื้อหาในความเรียงที่ได้รับมาเอาไว้ให้ดีที่สุด เหมือนที่อาจารย์เคยกล่าวว่า ต่อให้วันนั้นเป็นวันตายของเจ้า เมื่อมีคนถามถึงความเรียงที่ใช้ตั้งตัว ต้องท่องออกมาได้อย่างไหลลื่นไม่มีตกหล่น ต้องทำให้ได้เช่นนี้ ความเรียงบทนั้นถึงสลักลึกอยู่ในใจของพวกเจ้า

 

เมื่อเจ้าคิดทำการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกผิดดีชั่ว ล้วนอาศัยสิ่งที่เจ้าจดจำมาชี้ทางว่าควรทำอย่างไร

 

คำสอนจอมปราชญ์...มีค่าดั่งทอง!

 

จนกระทั่งตอนนี้เถี่ยซินหยวนถึงเข้าใจว่า อาจารย์กัวไม่ใช่พวกถุงสุราห่อข้าวแต่อย่างใด เขาต้องการให้หลักคุณธรรมอันยิ่งใหญ่มีบทบาทในการกำหนดทิศทางอนาคตของลูกศิษย์ตัวเอง

 

นี่เป็นวิธีการสอนหนังสือของครูบาอาจารย์ที่ลอบเกียจคร้าน หรือว่านี่อาจเป็นวิธีที่เหมาะสมแล้ว แม้จะไม่นับว่าประสบความสำเร็จมากนัก แต่ไม่ใช่จะผิดพลาดไปเสียทั้งหมด

 

บางทีเขาอาจทำถูกต้องก็ได้ คำสอนของปราชญ์ผู้รอบรู้ในกาลก่อนย่อมสำคัญกว่าอาจารย์ที่มีความรู้ระดับงูๆ ปลาๆ แน่

 

เถี่ยซินหยวนครุ่นคิดอยู่ในใจว่า วิธีการเช่นนี้อาจเป็นหนทางในการสร้างเนื้อสร้างตัวของท่านอาจารย์

 

ความเรียง ‘รากฐานแห่งมรรคา’ บทนี้ไม่ใช่บทที่เขาชอบสักเท่าไรนัก อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกชื่นชมมากมาย ความเรียงบทนี้เน้นย้ำความสำคัญของปราชญ์เมธีและอัจฉริยะในสังคมมากเกินไป หานชางหลี[3]เชื่อว่า ถ้าหากผู้คนในสมัยโบราณปราศจากการชี้แนะของจอมปราชญ์ บรรพบุรุษของเราคงไม่อาจมีบ้านให้อยู่อาศัย อาจขาดเสื้อผ้าที่สวมใส่ป้องกันความหนาวเย็น ขาดอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้กับสัตว์ร้าย ท้ายที่สุดจบชีวิตลงในทุ่งหญ้าหรือป่ารกร้างเปล่าเปลี่ยว...

 

แต่เถี่ยซินหยวนเข้าใจดีว่าพัฒนาการของสังคมล้วนอาศัยแรงงานของมนุษย์ ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า อาวุธต่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติผ่านการลงแรงทำงานของมนุษย์ ไม่ใช่ว่ามีจอมปราชญ์ท่านใดตบศีรษะแล้วจะคิดออกมาได้ในทันที

 

แน่นอนว่า เถี่ยซินหยวนย่อมไม่แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับอาจารย์ในเรื่องนี้ เขาเลือกวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุด นั่นคือเพียรพยายามท่องจำความเรียงบทนี้ให้ได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งหลังจากคัดลอกไปห้ารอบเต็มๆ อาจารย์จึงอนุญาตยอมให้กลับบ้านก่อนได้

 

สุ่ยจูเอ๋อร์นั่งรออยู่หน้าสำนักแรกศึกษาเนิ่นนานแล้ว นั่งกอดเจ้าจิ้งจอกพลางบ่นพึมพำคนเดียวอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นเถี่ยซินหยวนเดินออกมา ก็กระโดดด้วยความดีใจก่อนวิ่งมาหา จับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังจับมือแกว่งไปมาโดยแรงด้วย

 

“ไม่มีเงินก็ไม่ได้เรียน ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือหาเงินเสียก่อน เอาไว้พวกเราหาเงินได้มากพอแล้ว เจ้าก็จะได้ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา”

 

สุ่ยจูเอ๋อร์ทำท่าทางกระบิดกระบวนอยู่ครู่ใหญ่ ก็ล้วงเอาเหรียญเงินหนึ่งอีแปะออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ชูสูงๆ ให้เถี่ยซินหยวนดู

 

เถี่ยซินหยวนเอามือหยิกใบหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำลายของสุ่ยจูเอ๋อร์แล้วกล่าวว่า “เคยบอกแล้วว่าไม่ให้เจ้าพกเงินเอง ทำไมไม่เชื่อฟังข้า”

 

ทันใดนั้นสุยจูเอ๋อร์กลับมีน้ำตาไหลทะลักออกมา ร้องไห้เสียงดังจนหายใจแทบไม่ทัน นิ้วมือน้อยๆ ชี้ไปที่หน้าประตูแล้วกล่าวว่า “เมื่อกี้มีท่านน้าคนหนึ่งซื้อขนมเจิงปิ่งให้ข้า...”

 

“อ้อ เช่นนั้นก็ช่างเถิด รออีกเดี๋ยวข้าจะหาเงินเพิ่มสักหน่อย แล้วซื้อขนมหมี่เกา[4]ให้เจ้ากินนะ”

 

“ไม่เอาขนมหมี่เกา!”

 

สุ่ยจูเอ๋อร์ที่กำลังร้องไห้โฮรีบปฏิเสธโดยพลัน

 

“ถึงไม่กินขนมหมี่เกา เงินแค่นี้ก็ไปเรียนหนังสือไม่ได้หรอก เอาไว้ไปถึงหน้าประตูสำนักไท่เสวีย ได้เวลาที่เจ้าต้องร้องไห้ ต้องร้องไห้เสียงดังๆ หน่อยล่ะ ถ้าหากข้าโดนพวกบัณฑิตนั่นจับถอดกางเกงแขวนหน้าประตูอีก ข้าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว”

 

“ถอดของสุ่ยจูเอ๋อร์สิ สุ่ยจูเอ๋อร์ไม่กลัวหรอก”

 

“เหลวไหล เด็กเล็กๆ ไร้เดียงสาอย่างเจ้า ใครเขาจะอยากแกล้งถอดกางเกงเล่า เอานี่... ขนมหมี่เกา ไว้ตอนบ่ายหาเงินได้แล้ว พวกเราจะไปกินเกี๊ยวหุนตุนที่บ้านของเสี่ยวฮวากัน”

 

เมื่อเดินผ่านร้านขายขนมหมี่เกา เถี่ยซินหยวนจ่ายเงินไปสามอีแปะซื้อขนมมาชิ้นหนึ่งแล้วยัดใส่มือของสุ่ยจูเอ๋อร์ พวกเขาเดินไปกินไปก็มาถึงหน้าประตูสำนักไท่เสวียจนได้

 

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ถึงเวลาพักรับประทานอาหารของบัณฑิตสำนักไท่เสวียแล้ว บัณฑิตที่มีฐานะยากจนขัดสนเงินทองย่อมกินอาหารที่จัดเตรียมไว้ภายในสำนัก แม้ว่ารสชาติจะไม่อร่อยถูกปาก แต่สามารถกินรองท้องได้ไม่มีปัญหาอะไร

 

เถี่ยซินหยวนได้ยินมานานแล้วว่าในสำนักไท่เสวียมีอาหารชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘หมั่นโถวไท่เสวีย[5]’ เขาเคยหลอกบัณฑิตสำนักไท่เสวียจนได้ลองชิมชิ้นหนึ่ง ว่ากันตามตรงก็คือซาลาเปาไส้เนื้อหมูดีๆ นี่เอง บางทีก็เป็นเนื้อแพะที่มีกลิ่นคาวฉุนกึกปะทะจมูก มีเพียงสววรค์ที่รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเรียกหมั่นโถวชนิดนี้เป็นอาหารรสเลิศ ทั้งยังตรัสด้วยความพอพระทัยว่าอะไรนะ ‘ใช้อาหารนี้เลี้ยงดูปัญญาชน ก็ไม่มีสิ่งใดต้องละอายใจแล้ว’[6] แต่ว่าสุ่ยจูเอ๋อร์กลับชอบมาก เจ้าจิ้งจอกเองก็เช่นกัน

 

“หยวนเกอเอ๋อร์เอ๋ย...เจ้ามาอีกแล้วรึ ระวังจะโดนจับถอดกางเกงอีกนะ คราวนี้พี่สาวคงให้ยืมกระโปรงมาปิดแก้อายไม่ได้แล้ว”

 

เถี่ยซินหยวนหันไปยิ้มแยกเขี้ยวยิงฟันให้แม่นางผู้หนึ่งในหอนางโลมฝั่งตรงข้าม ความจริงพวกนางมีนิสัยใช้ได้เลยทีเดียว คราวก่อนถ้าหากไม่ได้พวกนางช่วยเหลือ เขาต้องขายขี้หน้าครั้งใหญ่เข้าแล้ว

 

มีบัณฑิตเดินผ่านเข้าออกประตูสำนักไท่เสวียมากมาย แต่ละคนเดินวางมาดหยิ่งผยองโดยไม่เคยก้มมองใต้ฝ่าเท้าของตน ถ้าหากไม่วางอุบายหลอกเอาเงินคนพวกนี้ คงผิดหลักการแห่งสวรรค์ไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว

 

เพียงแต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง เวลานี้บัณฑิตในเมืองหลวงหลงกลเขายากขึ้นทุกวัน เจ้าพวกนั้นเจอเขาสั่งสอนจนเฉลียวฉลาดกว่าเดิมมาก รวมถึงปราชญ์ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมต่างไม่พลาดท่าเสียทีให้เขาอีกต่อไป

 

คราวก่อนกลอุบายล้มเหลวเก้าครั้งติดต่อกันจนทำให้เขาต้องโดนจับถอดกางเกง กลายเป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งยิ่งนัก ฉะนั้นคราวนี้เถี่ยซินหยวนจะใช้กลหมากปริศนามาต่อกรกับพวกบัณฑิต เขาไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าพวกนั้นจะเอาชนะได้!

 

หมากรุกไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับชาวต้าซ่ง แต่ว่ามันแตกต่างจากหมากรุกในโลกอนาคตอยู่บ้าง ทุกวันนี้สิ่งที่เผยแพร่ทั่วไปในท้องตลาดก็คือกฎเกณฑ์ในการเดินหมาก เรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยร้อยสำนักประชันภูมิ บรรดาปัญญาชนต่างคลั่งไคล้การเดินหมากเป็นที่สุด

 

มีคำกล่าวว่า...ปัญญาชนยอมไม่หลับไม่นอนหนึ่งคืนเต็ม แต่มิอาจขาดการประชันหมากได้

 

เถี่ยซินหยวนเลือกมาย่อมเป็นหมากรุกอย่างที่วิธีการเดินเหมือนกับในโลกอนาคต หมากรุกจีนซึ่งประกอบด้วยตัวหมากทั้งหมดสามสิบสองตัว[7]นี้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางที่สุด

 

ส่วนหมากรุกเจ็ดแคว้น[8]ที่ซือหม่ากวงคิดค้นยามว่างจนเบื่อไม่มีอะไรทำ สมควรจัดว่าเป็นหมากนอกคอกโดยแท้ ปัญญาชนทั้งหลายจึงไม่กล่าวถึงให้เสียเวลา

 

ในฐานะผู้ที่แสร้งว่าชอบหมากรุกเมื่อชาติก่อน แม้จะไม่รู้กลหมากมากมายอะไร แต่กลหมากปริศนาใกล้รุกฆาตที่อัดแน่นเต็มท้องยังพอรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อยู่

 

เมื่อเขาหาตำแหน่งที่เป็นจุดเด่นสะดุดตาผู้คนได้แล้ว ก็นำกระดานหมากที่แกะสลักจากไม้ออกมาตั้งที่พื้น วางกลหมากบนกระดานรูปแบบ ‘ขุนรอเบี้ยคอย’[9] จากนั้นเถี่ยซินหยวนก็นั่งขัดสมาธิรอให้ปลามาติดเบ็ด

 

สุ่ยจูเอ๋อร์จับไม้ผูกธงผืนหนึ่งเอาไว้ บนนั้นเขียนว่า...ผู้ชนะสองในสามกระดานได้ห้าร้อยอีแปะ!

 

ฉะนั้นผู้คนมากมายจึงมารุมล้อมเถี่ยซินหยวนในเวลาไม่นาน การตั้งธงค้าขายไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวซ่ง แต่วันนี้มีเรื่องแปลกก็คือถึงกับมีคนตั้งธงประกาศศักดาหน้าสำนักไท่เสวียแหล่งรวมยอดฝีมือเชิงหมาก เช่นนี้เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ

 

แม้จะมีผู้คนมุงดูอยู่มาก แต่กลับไม่มีใครกล้าลงสนามประชันฝีมือ ไม่ว่าอย่างไรเถี่ยซินหยวนหรือสุ่ยจูเอ๋อร์ที่จับธงไว้ล้วนเป็นแค่เด็กเล็กๆ เท่านั้น ชนะแล้วอาจโดนดูถูกเหยียดหยามได้ หรือถ้าพ่ายแพ้ก็ยิ่งเสียหน้าเข้าไปใหญ่

 

บัณฑิตไท่เสวียรักษาชื่อเสียงของตนเยี่ยงชีวิต ไฉนเลยจะยอมอับอายขายหน้าเพื่อเงินห้าร้อยอีแปะ

 

“ไม่ว่าเป็นใคร ขอเพียงแก้หมากกระดานนี้สำเร็จ ก็จะได้เงินห้าร้อยอีแปะเป็นรางวัล”

 

“เจ้าหนูหลอกกันนี่ หมากดำเดินอีกก้าวเดียวก็จะชนะ หมากแดงทำอะไรไม่ได้เลย เจ้าถือหมากดำ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะหลงกล”

 

บัณฑิตสำนักไท่เสวียผู้หนึ่งกวาดสายตามองกระดานหมากอย่างเร็วๆ แล้วเอ่ยวาจาเหยียดหยามเถี่ยซินหยวน

 

เถี่ยซินหยวนกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะตอบว่า “ใครบอกท่านว่าจะถือหมากดำเล่า บนกระดานนี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้าถือหมากแดงเดินก่อน เป็นอย่างไร? กล้าเดิมพันหรือไม่?”

 

บัณฑิตผู้นั้นแหงนหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดัง เขาตบศีรษะเถี่ยซินหยวนแล้วกล่าวว่า “เจ้าหนู กลับไปเสียเถิด ถ้าหากข้าชนะเจ้าได้มาห้าร้อยอีแปะ ยังไม่รู้เลยว่ากลับไปแล้วจะโดนสหายร่วมเรียนเยาะเย้ยเช่นไรบ้าง”

 

หลังกล่าวจบประโยคก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินจากไปอย่างสง่างามยิ่งนัก

 

เถี่ยซินหยวนถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะส่งสายตาให้หลิงเกอเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลๆ เด็กน้อยรีบหยิบผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งออกมาจากมุมกำแพงทันที บนผ้าผืนนั้นเขียนด้วยหมึกสีดำเข้มใจความว่า ‘พวกบัณฑิตโง่งม ใครจะกล้าประชันกับข้า!’

 

เมื่อเจอป้ายพร้อมข้อความเรียกแขกเช่นนี้ บรรดาบัณฑิตสำนักไท่เสวียที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างเป็นดังตัวต่อที่โดนยั่วให้เกิดโทสะ เข้ามารุมล้อมเถี่ยซินหยวนพูดจาด่าทอเสียงหึ่งๆ ดังระงมไปหมด

 

เถี่ยซินหยวนกล่าวซ้ำๆ ไม่รู้กี่รอบแล้วว่า ไม่พอใจก็สู้กันสักตั้ง พวกบัณฑิตไท่เสวียกลับไม่ยอมลงสนามประชัน ได้แต่กล่าวประณามว่าเถี่ยซินหยวนทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ข้างๆ

 

เมื่อเจอเสียงเอะอะโวยวายประดังเข้ามาจนสับสนมึนงงไปหมด เถี่ยซินหยวนก็รู้สึกชิงชังการศึกษาของปัญญาชนในสมัยราชวงศ์ซ่งเสียจริงๆ บัณฑิตไท่เสวียพวกนี้ทำเรื่องสกปรกโสมมลับหลังได้สารพัด พอเป็นเรื่องเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัล ต่อให้เป็นบัณฑิตที่พฤติกรรมต่ำช้าที่สุดก็จะรักษาหน้าตาของตัวเองเอาไว้จนสุดกำลัง

 

มีบัณฑิตบางส่วนตะโกนเรียกบ่าวรับใช้เสียงดังลั่น เตรียมขับไล่ไสส่งพวกเถี่ยซินหยวนกลับไปเสีย พวกที่เคยพลาดท่าหลงกลเถี่ยซินหยวนมาก่อน ถึงกับแนะนำว่าให้จับเขาถอดกางเกงอีกครั้ง ต่อไปเจ้าหนูนี่จะได้ไม่มาก่อเรื่องหน้าสำนักไท่เสวียอีก

 

สายตาพลันเหลือบเห็นพวกฝูเกอเอ๋อร์โดนบ่าวรับใช้จับตัวไว้แล้ว เถี่ยซินหยวนก็ถอนใจออกมา เตรียมพาสุ่ยจูเอ๋อร์หนีไปจากตรงนี้

 

ชายอายุประมาณสามสิบกว่าปีสวมชุดลำลองธรรมดาเดินแหวกฝูงชนตรงเข้ามา เขาโบกมือให้ทุกคนอยู่ในความสงบ จากนั้นเคาะที่กระดานหมากแล้วถามว่า “เจ้าถือหมากแดงเดินก่อนจริงรึ?”

 

เถี่ยซินหยวนรู้สึกยินดียิ่งนัก เขากระวีกระวาดพยักหน้าตอบว่า “เป็นเช่นนี้จริงขอรับ!”

 

ชายผู้นี้เอามือเคาะหน้าผากแล้วกล่าวว่า “หมากแดงขยับอีกเพียงก้าวเดียวก็แพ้แล้ว หรือเจ้าหนูมีกลเม็ดเด็ดพรายอะไรให้หมากแดงฟื้นคืนชีพได้เล่า?”

 

เถี่ยซินหยวนยิ้มกว้างแล้วตอบว่า “ถ้าหากท่านแพ้ ต้องให้เงินข้าห้าร้อยอีแปะด้วยล่ะ!”

 

ชายผู้นี้โบกมือแล้วเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “เงินทองเป็นเรื่องเล็ก ข้าเพียงแต่แปลกใจว่าเจ้าจะคืนชีพให้หมากตัวเองเช่นไร หรือจะบอกว่าหมากแดงยังมีหนทางเอาชนะได้อีก?”

 

“เสมอกัน!”

 

ชายผู้นี้พยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าหากเจ้าเดินหมากตามกฎจริง สุดท้ายยังทำให้เสมอกันได้ ข้าก็จะยอมแพ้ แต่ว่า...”

 

“ถ้าหากข้าทำให้หมากกระดานนี้เสมอกันไม่ได้ ข้าจะให้ท่านห้าร้อยอีแปะ”

 

ชายตรงหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องให้เงินข้าหรอก ในเมื่อเจ้าก็เป็นผู้รู้หนังสือ ถ้าเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมา ยังต้องคัด ‘ตำราพันอักษร’ สิบรอบนะ”

 

เถี่ยซินหยวนพยักหน้าแล้วตอบว่า “คำไหนคำนั้น!”

 

ขณะกล่าวยืนยันคำมั่นสัญญา เขาก็ชิงขยับปืนใหญ่เดินข้างไปเส้นที่สี่...

 

----------------------------

 

[1] หานเหวินเจิ้งกง(韩文正公)หรือหานเหวินกง(韩文公)เป็นสมัญญา(谥号)ที่ตั้งให้หานอวี้(韩愈)ขุนนางและนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถังหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว

[2] ราชวงศ์ถังยุคก่อน(前唐)หมายถึงราชวงศ์ถังที่มีฮ่องเต้องค์สุดท้ายคือถังอายตี้(唐哀帝)ประมาณค.ศ. 904-907 ไม่ใช่ราชวงศ์ถังยุคหลังหรือโฮ่วถัง(后唐)ในสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร(五代十国)

[3] หานชางหลี(韩昌黎)อีกชื่อหนึ่งของหานอวี้(韩愈)

 

[4] ขนมหมี่เกา(米糕)เป็นหนึ่งในขนมของว่างดั้งเดิมของจีน มีประวัติความเป็นมายาวนาน ทำจากข้าวที่มีความเหนียวหนืดกว่าข้าวทั่วไป มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า rice cake (เค้กข้าว)

[5] หมั่นโถวไท่เสวีย(太学馒头)เป็นอาหารที่ทำขึ้นเลี้ยงดูอาจารย์และลูกศิษย์ในสำนักไท่เสวีย เป็นหมั่นโถวที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่ง จนถึงปัจจุบัน

[6] ใช้อาหารนี้เลี้ยงดูปัญญาชน ก็ไม่มีสิ่งใดต้องละอายใจแล้ว(以此养士,可无愧矣!)เป็นรับสั่งของฮ่องเต้ซ่งเสินจง(宋神宗)เมื่อครั้งเสด็จเยือนสำนักไท่เสวียและได้ชิมหมั่นโถวชนิดนี้

[7] หมากรุกจีนหรือเซี่ยงฉี(象棋)ประกอบด้วยหมากทั้งหมด 32 ตัว แบ่งออกเป็นหมากฝ่ายดำและฝ่ายแดงฝ่ายละ 16 ตัวได้แก่ พลทหาร(เบี้ย) 4 ตัว ปืนใหญ่ 2 ตัว รถศึก(เรือ) 2 ตัว ม้า 2 ตัว ช้าง 2 ตัว องครักษ์ 2 ตัว และแม่ทัพ(ขุน) 1 ตัว

[8] หมากรุกเจ็ดแคว้น(七国象戏/七国象棋)คิดค้นโดยซือหม่ากวง(司马光)สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ หมากแบ่งออกเป็น 7 ฝ่าย เรียกชื่อตามชื่อแคว้นทั้ง 7 ในยุคจ้านกั๋ว(战国)คือ ฉิน(秦)อยู่ทิศตะวันตก หาน(韩)และฉู่(楚)อยู่ทิศใต้ เว่ย(魏) และฉี(齐) อยู่ทิศตะวันออก ส่วนเยียน(燕)และจ้าว(赵)อยู่ทิศเหนือ มีโจว(周)เป็นขุมอำนาจอยู่ตรงกลางกระดาน หมายถึง โอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์โจว(周天子)หมากบนกระดานมีทั้งหมด 119 ตัว (+1 คือ โจว ) โดยแต่ละฝ่ายจะมีหมากฝ่ายละ 17 ตัว

[9] ขุนรอเบี้ยคอย(国静兵闲)สถานการณ์บนกระดานหมากที่ขุนและเบี้ยต่างเดินหน้าไม่ได้ ใครเดินล้วนเสี่ยงพ่ายแพ้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด