ตอนที่แล้วบทที่ 157 - ถ้าฉันเป็นคนเปิดมันคงเป็นประตูสู่นรกแน่ (5) [21/05/2562]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 159 - ฉันเป็นศูนย์กลางของโลก (1) [26/05/2562]

บทที่ 158 - ถ้าฉันเป็นคนเปิดมันคงเป็นประตูสู่นรกแน่ (6) [23/05/2562]


บทที่ 158 - ถ้าฉันเป็นคนเปิดมันคงเป็นประตูสู่นรกแน่ (6)

 

"ดังนั้นฉันก็เลยมาขอความเห็น... โอ้"

หลังจากที่อธิบายเรื่องราวของเธอให้ยูอิลฮานฟังแล้ว คังมิเรย์ได้อุทานขึ้นมาหลังจากที่เธอกำลังดื่มชาตรงหน้าลงไป

"ชานี่ยอดไปเลย นายทำให้มันหอมแบบนี้ได้ยังไง?"

"ฉันได้ใบชาที่มีค่ามากที่สุดมาจากเอลฟ์ในดาเรย์น่ะ มันมีชื่อว่าฟิวลิต้า"

แน่นอนว่ายังมีกระบวนการถังยักษ์ของเขาเพิ่มไปด้วย แต่ว่าที่เขาไม่อธิบายก็เพราะว่าเธอไม่น่าจะเข้าใจได้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องพูดไป กลับกันเขาได้คิดเรื่องข้อเสนอของคังมิเรย์แทน

"เธอบอกว่าจะให้ที่แวนการ์ดป็นศูนย์กลางความสนใจ..."

"ต่อให้ฉันไม่ทำอะไรมันก็น่าจะกลายเป็นแบบนั้น... ถ้าเราสามารถควบคุมการเกิดได้มันก็น่าจะราบรื่นกว่า แล้วก็มันมีเงื่อนไขสำหรับเรื่องทั้งหมดนี่ด้วย"

ดวงตาของคังมิเรย์ได้เป็นประกายขึ้นมา

"นายมีความสนใจที่จะขายอาวุธระดับสูงให้กับคนในโลกอื่นไหม?"

"เธอพูดถูก นี่มันเป็นเงื่อนไขที่ใหญ่มากเลยนะ"

ถ้าหากว่ายูอิลฮานปฏิเสธเงื่อนไขไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่มันจะไม่มีทางแก้ปัญหาเลย ดังนั้นยูอิลฮานได้ถมคำถามของเขาเองขึ้นมา

"ถ้าฉันร่วมมือกับเธอ เธอมั่นใจใช่ไหมว่าจะควบคุมการทะลักเข้ามาของผู้คนโลกอื่นได้?"

"ฉันรับประกัน"

คังมิเรย์ได้ประกาศออกมา

"อุปกรณ์ที่นายสร้างขึ้นมาจะต้องเป็นระดับ 'อีปิค' อย่างแน่นอน แค่ความจริงข้อนี้เพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะดึงดูดสายตาของผู้คนแล้ว แต่ว่าถ้านายเสนออุปกรณ์ในระดับตำนาน... ต่อให้มันแค่นานๆครั้งก็ตาม... ฉันขอรับประกันเลยว่าทุกๆคนจากโลกอื่นจะยอมสละเลือดเนื้อตัวเองเพื่อมันหากนายต้องการแน่ สำหรับพวกคนชั่วที่แอบลอบเขามาในโลกน่ะหรอ? ฝูงชนจะสังหารคนพวกนั้นให้นายเอง"

"เรื่องนี้มันสำคัญมาก..."

"นี่มันคือความจริง ตัวนายน่าทึ่งมากกว่าที่นายคิดซะอีก"

ยูอิลฮานได้ห่อตัวงไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้ความบ้าคลั่งที่เกินกว่าความเชื่อมั่นไปแล้วในสายตาของเธอ ยังไงก็ตามเธอก็ได้ตัดสินใจในคุณค่าของยูอิลฮานอย่างแม่นยำ 'คุณค่า' นี้คือสิ่งที่เธอได้เห็นมาจากเขาจนกระทั่งตอนนี้

ยูอิลฮานในฐานะผู้โดดเดี่ยวได้รู้สึกกดดันเอามากๆจากความศรัทธาที่มหาศาลมากๆของคังมิเรย์ที่เขาสัมผัสได้ แต่ว่าในตอนนี้เขาก็มีพรจากเทพแห่งช่างตีเหล็กแล้วมันจึงไม่ได้เป็นภาระอะไรมากเลบกับการทำอาวุธชั้นสูงเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามชิ้น ดังนั้นหากเขาทำแบบนี้เรื่องน่ารำคาญมันจะลดลงไป เขาก็คิดว่ามันก็ดีกับตัวเขาเช่นกัน

"เอางั้นล่ะกัน ฉันจะร่วมมือด้วย ฉันต้องทำอะไรมั้งล่ะ?"

"นายก็แค่ต้องทำอุปกรณ์ขึ้นมา นายไม่จำเป็นต้องทำมันเยอะหรอนะ แล้วก็จริงๆแล้วควรจะทำให้มันมีจำนวนน้อยแล้วนำไปประมูลด้วย ฉันจะจัดการส่วนที่เหลือเอง ฉันจะควบคุมคนบนโลกเรากับพวกคนจากต่างโลกเป็นอย่างดีเอง"

จากนั้นคังมิเรย์ก็ได้ใช้ซ้อมจิ้มลงไปในผลไม้ที่เธอไม่รู้จักบนจาน หลังจากนั้นดวงตาของเธอได้โค้งขึ้น

"นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้กินอะไรที่เข้มข้นและสดชื่น แถมยัง...น่าสนใจมาก นี่มันอะไรกัน?"

"นี่เป็นผลไม้จากที่ดาเรย์ที่อุดมสมบูรณ์ ฉันได้หั่นมันเป็นชิ้นๆแล้วก็ราดด้วยน้ำผึ้งที่เผ่าหมาป่าจากไคโรเอามาให้น่ะ"

แน่นอนว่าทั้งหมดนี่ก็เกิดขึ้นภายในถังยักษ์ด้วย แต่ว่าส่วนนี้ถูกเว้นเอาไว้ คังมิเรย์ได้ยื่มมือของเธอต่อไปที่ผลไม้

คุกกี้เองแน่นอนว่ามันถูกอบในเตาปกติ แต่ว่าเครื่องเทศและแป้งได้ถูกผสมภายในถังยักษ์...

"...อร่อย อร่อยมาก ฉันไม่เคยกินคุกกี้ที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย"

"ดีใจด้วย"

"นายทำไมใช่ไหม คุณยูอิลฮาน"

"ใช่แล้ว สกิลทำอาหารของฉันก็เพิ่มมากขึ้นเยอะเลย"

"เรื่องนั้นนายก็รู้ด้วย ขายพวกนี้ให้ฉันด้วยสิ"

"...ว่าไงนะ?"

เมื่อยูอิลฮานเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นดวงตาของมิเรย์กำลังหมุนอยู่ แม้ว่าตัวเธอจะสุภาพเรียบร้อยนอกสนามรบ แต่ว่าตัวเธอในตอนนี้ดูกำลังกระวนกระวายใจกับเศษคุกกี้ที่อยู่เต็มริมฝีปากของเธอ

"ฉันไม่เคยได้กินของว่างที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย บางทีอาจจะไม่เคยมีใครในต่างโลกได้เคยลองเช่นกัน มาทำแบรนด์อาหารขายของว่างโดยเฉพาะกันเถอะนะ! คุณอิลฮานสิ่งนี้ก็เป็นของที่พิเศษไม่แพ้กับอุปกรณ์เลย ฉันขอรับประกัน"

"ถึงงั้นไม่ว่ามันจะอร่อยแค่ไหน มันก็แค่ของว่างนะ..."

ของพวกนี้ไม่ได้ทำยากเลย ใบชา ผลไม้ แล้วก็แป้งคุกกี้ต่างก็เป็นของที่ผลิตได้เป็นจำนวนมากทั้งนั้น จริงๆแล้วยูอิลฮานก็ยังมีความคิดที่จะขายของพวกนี้ไปในตอนที่ลองครั้งแรกเหมือนกัน

ยังไงก็ตามมันก็ไม่เท่ากับคำพูดของคังมิเรย์ในตอนนี้ ไม่ว่ามันจะอร่อยมากแค่ไหน แต่ว่ามันจะเทียบกับอุปกรณ์ได้ยังไงกัน? นี่มันจะบ้าไปแล้วหรอ?

ยังไงก็ตามหากว่ายูอิลฮานจะขาดอะไรอยู่ก็คงจะเป็นประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในสังคมระดับบน การแค่อ่านหนังสือเขาไม่มีวันจะเข้าใจเรื่องจิตวิทยาเลยแม้ว่าจะตายไปก็ตามที แต่ในทางกลับกันคังมิเรย์เธอรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

"มันไม่ใช่แค่ของว่างธรรมดาน่ะ มันคือของว่างมหัศจรรย์! นี่คือของว่างที่พิเศษสุดและผลิตได้จำนวนน้อยมากๆที่มีเพียงแค่ในโลกเท่านั้น"

คังมิเรย์ได้พูดจบและจิบชาลงไปอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเธอก็หรี่ตาลง

"มันไม่ใช่แค่เท่าที่นายบอกด้วยใช่ไหมล่ะ? มันยังมีกระบวนการพิเศษอีกใช่ไหม?"

"ถูกแล้ว"

"ฉันรู้อยู่แล้ว นายไม่ได้มีแค่การสร้างอุปกรณ์ในฐานะช่างตีเหล็กเท่านั้น... อ่า อร่อยจัง ฉันจะต้องสร้างแบรนด์มันขึ้นมา"

"โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ใจเย็นๆก่อน"

คังมิเรย์ได้รับชามาอีกแก้วและจัดการจานของว่างจนว่าง แม้ว่ายูอิลฮานจะตกใจมากจากการที่เขาเคยคิดว่าเธอจะไม่ชอบกินอะไรมากซะอีก แต่ว่าเมื่อได้เห็นภาพลักษณ์ที่เธอกินคุกกี้แสนน่ารักแล้วเขาก็ยังยิ้มออกมาอย่างพอใจ

แม้ว่าเลียร่าจะดึงผมบนหัวเขาอยู่ก็ตามแต่เขาก็ไม่สนใจ

"ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ขอโทษด้วย"

"ไม่เป็นไรหรอก มันยังเหลืออีกเยอะ"

คังมิเรย์ที่ในที่สุดก็รู้ตัวว่าเธอทำอะไรลงไปหลังจากจัดการทุกอย่างหมดแล้วก็ได้รีบไอและปิดปากพูดออกมา

"ฉันก็สงสัยในการผลิตมันเหมือนกัน แต่ว่าฉันจะไม่ถาม ดังนั้นได้โปรดช่วยเอาใบชากับของว่างให้ฉันอีกหน่อยได้ไหมอะ?"

"พรูดดด"

น้ำตานางฟ้า แบรนด์ของว่างสุดหรูที่ได้แพร่กระจายชื่อเสียงออกไปอย่างกว้างขวางในฐานะแบรนด์ย่อยของแวนการ์ดได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว

หลังจากที่คังมิเรย์ได้รับคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องของแวนการ์ดกับน้ำตานางฟ้าจากยูอิลฮาน เธอก็ได้ติดต่อไปหาหัวหน้ากลุ่มแนวหน้าบางคนที่ร่วมมือกับเธอให้พวกเขาควบคุมทางเข้าออกกับต่างโลกที่เชื่อมกับโลกอยู่ พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ได้ทำให้กังนัมกลายมาเป็นศูนย์กลางของทุกๆโลก

เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันได้เกิดเงื่อนไขขึ้นมาสองอย่าง

อย่างแรกเลยแวนการ์ดจะทำการขายไอเทมให้กับคนจากต่างโลกที่มีบันทึกยืนยันการเข้าออกที่ชัดเจน แล้วก็ยังต้องเป็นคนที่ทำการลงทะเบียนกับตลาดการค้าอย่างเป็นทางการที่สร้างขึ้นในกังนัมเท่านั้น!

อย่างที่สองคือประเทศที่ได้ทำการบันทึกและจัดการผู้คนจากต่างโลกเป็นอย่างดีในฐานะคนสร้างและจัดการดูแลประตูมิติจะได้รับสิทธิท่ถูกต้องในการซื้ออุปกรณ์จากแวนการ์ด

มันไม่จำเป็นต้องโฆษณามากเลย คนที่มีความสามารถจะเปิดประตูมิติขึ้นบนโลกได้ต่างก็เคยซื้อไอเทมจากแวนการ์ดกันมาแล้วทั้งนั้น และคนที่เคยผ่านประตูมิติมาที่โลกก็น่าจะรู้ถึงตัวตนของแวนการ์ดหรือไม่ก็พอจะเขาในตัวตนของพวกเขาได้อยู่แล้ว

ดังนั้นที่เหลือก็ง่ายมากๆ นำนโยบายเข้ามาจัดการตำแหน่งของคนบนโลกอย่างละเอียดอ่อน

ถ้าหากว่ามีใครปฏิเสธถ้างั้นคนๆนั้นจะต้องถูกส่งกลับไปทันที และถ้าหากเกิดความผิดพลาดมันจะไม่ใช่แค่โลกนั้นแต่ว่าประเทศที่ทำการเปิดประตูมิติก็ยังจะถูกยกเลิกและกีดกันการค้าขายกับแวนการ์ด

เมื่อทั้งหมดนี้ได้ถูกประกาสยออกไปหลายๆประเทศที่ได้วางแผนมากมายจากมหาภัยพิบัติขั้นที่สองได้รู้สึกโกรธจนอยากจะฉีกกลุ่มเทพสายฟ้ากับแวนการ์ดเป็นชิ้นๆ แบรนด์อุปกรณ์พวกนี้กำลังจะทำให้โลกนี้และคนจากต่างโลกอยู่ในกำมือของพวกเขา

ปัญหาก็คือพวกประเทศต่างๆก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่แวนการ์ดต้องการ หากว่าพวกเขาไม่มีอุปกรณ์ของแวนการ์ดพลังโดยรวมของพวกเขาก็จะถูกประเทศอื่นๆทิ้งห่างไปแน่ และพวกเขาจะไม่มีวันต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่พัฒนาขึ้นทุกๆวันได้เลย

แวนการ์ดได้กลายไปเป็นตัวตนที่ขาดไปไม่ได้แล้วสำหรับในทุกๆประเทศ และคังมิเรย์ก็ยังรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

คังมิเรย์ได้ดำเนินการตามแผนโดยที่ไม่มีการเสียเลือดหรือน้ำตาใดๆ เธอไม่สนเลยสักนิดถึงตัวตนของประเทศอื่นๆ ที่เธอเล็กอยู่ก็แค่การทำให้ความวุ่นวายของมหาภัยพิบัติสงบลงและทำให้โลกนี้สงบสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แน่นอนคนที่ครอบครองไอเทมของแวนการ์ดอยู่แล้วก็สามารถจะลองขายไอเทมพวกนี้ด้วยตัวเองก็ได้ แต่ว่ายูอิลฮานก็ยังได้ประกาศออกไปแล้วว่าหากไอเทมของเขาถูกพบว่ามีการถูกขายซ้ำมันจะไม่ใช่แค่การยึดอาวุธคืนจากคนๆนั้น แต่ว่าประเทศที่คนๆนั้นอยู่ก็จะถูกปฏิเสธที่จะเป็นคู่การค้ากับแวนการ์ดด้วย

ไม่มีใครที่อยากจะลองไปฆ่าห่านที่ให้ไข่ทองคำแน่นอน ถ้าหากมีใครลองทำมันก็คงจะเป็นการฆ่าตัวตายแทนมากกว่า

ถ้าจะมีปัญหาก็คงจะไม่ใช่เพราะคนที่ตั้งใจมาทำการค้าขายกับโลก แต่ว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทบนโลกเองที่จะไปร่วมมือกับคนฝากนั้น นี่มันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดแล้ว และเรื่องนี้ก็สามารถจะป้องกันได้ด้วยการขอความร่วมมือจากกลุ่มอื่นๆให้มากสุดเท่าที่ทำได้ หากอาชญากรรมพวกนี้ถูกเผยออกมา คนพวกนั้นก็จะถูกจัดการไปเช่นกัน

"เมื่อไหร่ที่ความวุ่นวายจากการเริ่มจบลงและการค้าขายกับต่างโลกอยู่ตัว พวกเขาก็จะทำสาขาที่สอง สามในประเทศที่มีกลุ่มร่วมมือกับเราได้ด้วย พวกเราจะทำให้พวกคุณได้เชิดหน้าชูตาได้ในประเทศของตัวเอง"

"แต่แบบนั้นประเทศและกลุ่มในประเทศของคุณคังมิเรย์ก็ไม่น่าจะยอมให้เป็นแบบนั้น"

เมื่อมิเชล สมิธสันหัวหน้ากลุ่มอัศวินโลหะจากอังกฤษที่ตัดสินใจมาเข้าร่วมได้ถามออกมา คังมิเรย์ก็ยิ้มขึ้นและส่ายหัวออกมา

"พวกเขาทำได้แค่เตรียมกฏกับสถานที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเอง พวกเขาไม่มีผลใดๆกับเราเลย คนที่มีพลังในเรื่องนี้จริงๆแล้วคือฉันกับคุณอิลฮาน ตัวหลักคือพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าพวกนั้นจะพูดยังไงมันก็ไร้ความหมาย ตำแหน่งอำนาจนี้จะไม่มีวันย้อนกลับแน่"

"คุณคัง ถ้าเธอพูดแบบนั้นจริงๆเราจะทำสัญญากันได้ไหม? สัญญาที่มีผลทางเวทย์ เธอจะได้ไม่หลุดพ้นไปได้ง่ายๆหากพยายามจะหลอกฉัน"

คำพูดนี้มาจากคารินา มาลาเทสต้าหัวหน้ากลุ่มมาเกียจากอิตาลีที่ตัดสินใจเข้าร่วม ยังไงก็ตามคังมิเรยืได้หยักหน้ารับ

"ถ้าเธอเซ็นต์สัญญาที่ฉันเตรียมไว้ให้ด้วยถ้างั้นก็ได้เลย ในระยะยาวแล้วมันไม่ดีแน่สำหรับประเทศใดสักแห่งที่จะครองอำนาจที่มหาศาล อย่างที่ฉันเคยพูดไปก่อนสิ่งที่ฉันอยากจะได้เลยคือการนองเลือดที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ลองมองดูโลกในตอนนี้สิ พวกเราไม่มีเวลามาให้สู้กันอีกแล้ว"

คาริน่า มาลาเทสต้าได้ถอยกลับไปและขบริมฝีปาก หากว่าเธอปฏิเสธจะมีแต่เธอที่เป็นคนที่แย่

นอกเหนือไปจากนั้นหัวหน้ากลุ่มอื่นๆก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวพวกเขาเช่นกัน พวกเขาได้บอกจะร่วมมือเพราะกลัวว่าจะไม่สามารถแลกเปลื่ยนกับแวนการ์ดไม่ได้

โลกได้เริ่มเปลื่ยนแปลงไปอีกครั้งแล้ว กฏหมายด้านที่อาศัยและการค้าขายกับต่างโลกได้ถูกสร้างขึ้นมา และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆมากมายถูกสร้างขึ้นเช่นกัน

สถานที่ที่ได้เจอกับการเปลื่ยนแปลงที่สุดก็แน่นอนว่าไม่ใช่ที่ไหนนอกไปจากกังนัม ตึกสูงเฉียดฟ้าได้ถูกสร้างขึ้นมามากมาย และผู้คนจากต่างโลกมากมายรวมไปถึงคนบนโลกได้มุ่งความสนใจมากันที่นี่

ไม่มีใครปฏิเสธในกระบวนการตรวจสอบตัวตนและจัดการดูแลที่โลกได้ตั้งเอาไว้ นี่เป็นเพราะอุปกรณ์ของแวนการ์ดได้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกทั้งมวล

กองทัพสวรรค์ก็ยังมอบภารกิจสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับประตูมิติต่างโลกและการเคลื่อนไหวไปตามนั้น ประตูมิติต่างโลกได้ถูกเปิดขึ้นทีล่ะแห่งทีล่ะแห่ง แถมยังเกิดอาชีพใหม่ขึ้นมาคืออาชีพที่จัดการดูแลอัดมานาของไปในประตูมิติ

การเปลื่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เหนือยิ่งไปกว่ามหาภัยพิบัติขั้นที่หนึ่งได้กวาดผ่านความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก

ศูนย์กลางของเรื่องนี้คือคังมิเรย์กับยูอิลฮาน แต่ว่ายูอิลฮานได้ใช้เวลาไปอย่างสบายๆซึ่งต่างไปจากคังมิเรย์ที่ต้องวิ่งวนจนหัวหมุน

จนกระทั่งตอนนี้เขากับลูกน้องของเขาได้ผ่านความลำบากมามากแค่ไหนจนกระทั่งถึงตอนนี้น่ะ? จากโลกไปฟีราต้าไปไคโรและโลกที่ถูกทิ้งอื่นๆอีกด้วย! พวกเขาได้ต่อต้านโลกพวกนั้นทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ความอ่อนล้าของพวกเขามันไม่ใช่สิ่งที่จะบรรเทาไปจากการพักแค่วันสองวัน

ยูอิลฮานรู้เป็นอย่างดีว่าลูกน้องของเขาไม่ได้เป็นจ้าวแห่งการพักผ่อนเหมือนกับเขา ในเมื่อเขารู้เรื่องนี้ดี เขาเลยอนุญาติให้พวกนั้นได้พักผ่อนในเวลานี้

เขาได้เลี้ยงอาหารพวกเขาทุกๆอย่างที่พวกนั้นอยากจะกินและอนุญาติให้พวกเขาไดทำอะไรก็ได้ตามต้องการ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆทั้งหมดบนโลกที่กำลังเจออยู่ในตอนนี้มันไม่ต่างไปจากสวรรค์เลย

เนื่องจากการที่มอนสเตอร์เกือบ 20% ที่เกิดขึ้นมาบนโลกจะมุ่งหน้ามาที่คฤหาสน์นี้ทำให้พวกเขาสามารถที่จะเพิ่มค่าประสบการณ์ในขณะที่เดินเล่น

[แล้วงั้นนายจะทำอะไรกับโลกแปลกนี่ล่ะ?] (เลียร่า)

"มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเว้นแต่ฉันจะไปเปิดประตูมิตินั่นใช่ป่ะ? แล้วก็สำหรับการไปบุกโลกนั้น ฉันก็ยังไม่พร้อมด้วย"

[ฉันไม่คิดเลยว่านายจะพูดอะไรแบบนี้!] (เลียร่า)

ยูอิลฮานก็ได้เลือกพักผ่อนเหมือนกับลูกน้องของเขา เขาได้อ่านหนังสือที่เขาไม่ได้อ่านมานาน และเล่นกับยูมิล

[อ่า วังวนปรากฏในสวน!] (เลียร่า)

"โอ้ววว! อย่าได้พลาดมัน!"

แน่นอนว่าถ้ามีวังวนปรากฏขึ้นมาภายในคฤหาสน์ เขาจะแตะที่จอเหมือนกันคนบ้าและทำให้วังวนระเบิดขึ้น ปีศาจสั่นสะเททือนมันเป็นความกลัวที่ยิ่งกว่าเขาจะจินตนาการไว้ เขาไม่อยากจะเจอกับมันอีกเร็วๆนี้อีก

และเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆทั้งแบบนี้

เมื่อยูอิลฮานได้ตัดสินใจว่าเขาพอแล้ว

พูดให้ชัดคือเมื่อเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ที่เขาเปิดใช้งานนาฬิกาทรายแห่งการเวลาครั้งล่าสุด

ยูอิลฮานได้ย้ายที่ทำงานของเขาจากชั้นใต้ดินในตึกแวนการ์ดมาอยู่ภายในคฤหาสน์ และถึงขนาดอัพเกรดมันด้วย หลังจากนั้นเขาก็ได้รวบรวมลูกน้องของเขามา

"ทุกๆคนอยู่ที่นี่แล้วนะ?"

"ครับ/ค่ะ"

"สองเดือนต่อจากนี้จะลำบากหนักหน่อย ทุกคนพร้อมนะ?"

ลูกน้องของเขาได้กลืนน้ำลายลงไปพร้อมๆกัน จะมีก็แต่ยูมิลที่ยิ้มอย่างเคยเสมอ นี่เป็นฉากที่ดูบริสุทธิมาก แต่ว่ายูอิลฮานก็จำเป็นต้องห้ามตัวเองไม่ให้เขาไปเล่นกับยูมิลสักพัก

"ฉันอยากจะเริ่มมันแล้วท่านจักรพรรดิ ร่างกายของฉันเริ่มคันจากการพักมากเกินไปแล้ว"

"อ่า ฉันก็ด้วย..."

พวกเขาต่างก็รู้สึกลำบากใจกับการพักผ่อนที่มากเกินไปเพราะว่าเขาได้ผ่านการฝึกลำบากมามาก! ยูอิลฮานได้แต่ตำหนิตัวเองที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็หยักหน้ารับ

"เยี่ยม ถ้างั้นมาเริ่มกันเลย สองเดือนจากนี้จะไม่มีการพัก พวกเราจะสร้างแบรนด์แวนการ์ดกับแบรนด์น้ำตานางฟ้าขึ้นอีกครั้ง"

[หยุดพูดอธิบายแล้วก็เปิดมันได้แล้ว] (เอิลต้า)

[ฉันคิดว่านายได้ใช้ของส่วนใหญ่ไประหว่างการสร้างคฤหาสน์แล้วนะ แล้วช่องเก็บของนายไปเต็มเมื่อไหร่กันล่ะ...?] (เลียร่า)

[หอกสะบั้นจักรวาล! มาฝึกหอกกันได้แล้ว!] (สเปียร่า)

ในตอนนี้เขาก็คุ้นเคยกับการคุยหยอกเล่นกับทูตสวรรค์แล้วด้วย ยูอิลฮานได้ขำกับคำพูดของพวกเธอ และได้เปิดใช้งานนาฬิกาทรายแห่งการเวลาขึ้นมาหลังจากเช็คดูแล้วว่าทุกคนมาอยู่ที่นี่

นี่คือช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์ที่การเชื่อมต่อของโลกกับต่างโลกได้เกิดขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด