ตอนที่แล้วบทที่33: แม่เฒ่าฝูและงักหลอ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35: ความตายครั้งแรกที่หุบเขาซ่อนมมังกร

บทที่34: ปิดคดี


บทที่34: ปิดคดี

“แล้วงักฮัวละครับ” หม่าจงถามขึ้น

“ข้าอยู่นี่ค่ะ” เสียงคนตอบกลับเป็นเจ้าตัวเอง ไม่ใช่ซาเถียน

หนึ่งเจ้าเมือง หนึ่งรองหัวหน้ามือปราบได้แต่ยิ้มรับอย่างไม่ทันตั้งตัว

“อะ เอ่อ เป็นยังไงบ้าง”

“สบายดีค่ะ”

“แล้ว เอ่อ...”

“ที่คฤหาสน์มีท่านน้าเสี่ยวจือค่อยดูแลเรื่องงานศพ ส่วนพี่ใหญ่ก็อย่างที่ใต้เท้ากล่าวไว้ สงบขึ้น ถึงจะยังโทษตัวเองว่ามีส่วนให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นก็ตาม”

“แม่เฒ่าล่ะ?”

“ท่านย่าเสียใจมาก แต่ก็สบายใจขึ้นทีความจริงเปิดเผย ท่านว่าหากใต้เท้าจะนำความไปแจ้งราชสำนักก็ยินดีจะรับโทษแต่เพียงผู้เดียว”

“เฮ้ออ ฝากไปบอกแม่เฒ่าเถอะ ว่าให้เรื่องมันจบเพียงเท่านี้แหละ สองตระกูลเข่นฆ่าจ้องเวรกันไปมาจนมีคนตายมากพอแล้ว” ซาเถียนกล่าว งักฮัวยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ

“แล้วนี่เจ้ามาเพราะ?”

“พี่ไป่เป็นไงบ้าง”

สิ้นคำถามสองคนถอนหายใจขึ้นพร้อมกัน

“ยังไม่ฟื้นเหรอคะ?” งักฮัวถามกลับเสียงกังวล

“อ้าว งักฮัวเป็นไงบ้าง” ไป่ยู่ทักขึ้นเมื่อเดินออกมาจากห้องพักที่ไป่หลงนอนอยู่ เด็กสาวเห็นดังนั้นก็ยิ้มยินดีแล้วมองชายสองคนที่เพิ่งถอนหายใจเมื่อกี้

“พี่ไป่ฟื้นแล้วพวกท่านจะถอนหายใจกันทำไม?”

“ก็คนที่ไม่ฟื้นยังไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไงนี่น่า แถมคนที่ฟื้นก็ไม่ยอมหยุดพักเทียวไปเทียวมาดูแลทั้งพี่ชายตัวเองและคนที่เขาห่วงใย”

“แม่นางเฉินหลินยังไม่...”

“อืม” สองคนประสานเสียงท่าทางกังวล

“อะไรกันพี่จง ยังไม่ออกเดินทางอีกเหรอ เดี๋ยวก็สายหรอก”

“ข้ารอหานตงอยู่ เจ้าไม่ต้องมาไล่เลย”

“ข้าไม่ไดไล่สักหน่อยแค่ห่วงท่านเท่านั้นเอง ดีเลย ข้าเกือบลืม” ไป่ยู่กล่าวขึ้นพร้อมหยิบของบางอย่างจากในอกเสื้อ “พกยันต์นี้ไว้ด้วย”

“ครั้งก่อนเจ้าก็ให้มาแล้ว”

“พกไว้เถอะ”

“ลูกพี่ข้าพร้อมแล้ว” หานตงวิ่งเข้ามาหาอย่างรีบเร่ง

หม่าจงรับยันต์จากไป่ยู่

“ขอบใจนะ แล้วถ้ามีอะไร”

“พี่ไม่ต้องห่วง เกิดอะไรขึ้นข้ารับมือได้แน่นอน อีกอย่างเดี๋ยวทางนั้นก็น่าจะใกล้เข้ามาแล้ว มีเขาคอยช่วยทุกอย่างน่าจะง่ายขึ้น”

หม่าจงพยักหน้ารับ แล้วกล่าวลาทุกคนก่อนออกเดินทาง ซาเถียนเดินไปส่งที่หน้าอำเภอ ส่วนไป่ยู่เปิดประตูเข้าไปในห้องพักที่เฉินหลินนอนไม่ได้สติอยู่พร้อมกับงักฮัว

“เจ้ามาหาข้าเพราะมีเรื่องอยากถามใช่ไหม?” ไป่ยู่กล่าวขึ้น งักฮัวพยักหน้ารับ

ไป่ยู่ยกกาละมังไม้ที่ใส่น้ำมาแล้วใช้ผ้าชุบน้ำบิดจนแห้งหมาดๆ เช็ดตัวให้ดรุณีน้อยที่นอนอยู่ เขาทำเช่นนั้นอยู่นานก่อนจะกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ

“เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าเจ้า...” ไป่ยู่หยุดคำไว้แค่นั้น

“ข้าตายแล้ว” งักฮัวต่อคำ ไป่ยู่ถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าเป็นตัวอะไรหรือพี่ไป่ เป็นแบบที่พี่งักโยวเป็นใช่ไหม ปีศาจ”

“ไม่ใช่กรณีที่เกิดกับงักโยว คือเขาจิตใจอ่อนแอจนปล่อยให้วิญญาณร้ายเข้าครอบงำกลายเป็นปีศาจ แต่กรณีของเจ้าคือเคยตายมากแล้ว และได้รับพลังชีวิตจนฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น เจ้ายังไม่ตาย”

“งั้นข้าเป็นอะไร”

“ตอบยากนะ เจ้าไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่วิญญาณ แต่จะบอกว่าเป็นคนปกติก็ไม่ใช่ ข้าไม่มีคำจำกัดความให้เจ้าหรอก”

“แล้วข้าจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนที่เคยได้อีกไหม”

“นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้า” ไป่ยู่หันมามองงงักฮัวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคือคนที่เคยอยู่ทั้งสองโลก ระหว่างความเป็นและความตาย เพราะฉะนั้นหลังจากนี้เจ้าจะเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และสิ่งสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ เจ้าเห็นใช่ไหมว่าพ่อกับแม่เจ้ายังอยู่ข้างกายเจ้า”

งักฮัวพยักหน้ารับ

“เจ้าฟื้นขึ้นมาได้เพราะพวกเขาและนั่นก็เป็นขีดจำกัดที่เขาจะทำให้เจ้าได้เพียงเท่านี้ หากพวกเขายังฝืนทำให้อะไรเช่นนั้นให้เจ้าอีก ถ้าวิญญาณของพวกเขาไม่แตกสลายก็จะกลายเป็นผีร้ายและนั่นจะส่งผลให้เจ้ากลายเป็นปีศาจแน่นอน สิ่งที่ควรทำคือช่วยให้พวกเขาหมดห่วงและไปสู่สุคติ”

“แล้วข้าต้องทำยังไง”

“นั่นคงเป็นเรื่องที่เจ้าต้องถามพวกเขาเองแล้ว”

“แล้วหลังจากนั้นละ”

“เมื่อช่วยให้พวกเขาไปที่ที่ควร เจ้าจะพบทางของเจ้าเอง หลังจากนี้เมื่อข้าออกเดินทางจะส่งพิราบสื่อสารมาให้ ดูแลมันให้ดี เมื่อถึงเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือก็ใช้มันส่งมาหาข้า”

งักฮัวพยักหน้ารับคำ สีหน้ายังเป็นกังวล ไป่ยู่เห็นเช่นนั้นจึงลูบศีรษะนาง

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเองเคยเจอสิ่งที่หนักหนากว่าเจ้ายังผ่านมาได้ นี่วิญญาณที่อยู่ข้างกายเจ้าเป็นคนในครอบครัวเจ้าทั้งนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่นอน” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดที่ไป่ยู่กล่าว แต่งักฮัวก็ยิ้มรับกับคำปลอบนั้น

“ข้ามัวแต่คิดถึงเรื่องของตัวเอง แล้วพี่ละ เป็นยังไงบ้าง”

“ข้าสบายดี แผลที่แขนไม่ได้หนักหนาอะไรมาก ตอนนี้ก็แค่รอให้พวกเขาฟื้น” น้ำเสียงที่ตอบคำแฝงความเศร้าไว้ ไป่ยู่หมายถึงทั้งไป่หลงและเฉินหลินที่ยังไม่ไดสติทั้งคู่

“พี่ไป่มีอะไรให้ข้าช่วย บอกได้เลยนะ”

“ไม่มีหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง แต่ถ้าจะมีอะไรที่เจ้าต้องทำละก็ รีบช่วยให้พวกเขาหมดห่วงเร็วๆ นะ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะยากขึ้น”

“อืม พี่ไม่ต้องห่วง ถ้าเช่นนั้น ข้ากลับเลยดีกว่า พี่จะได้มีเวลาพักผ่อน”

ไป่ยู่เดินออกมาส่งงักฮัวที่หน้าห้องพักฟื้นของเฉินหลิน เด็กสาวเดินจากไปยังไม่ทันลับสายตา เจ้าหน้าที่มือปราบคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา

“ท่านไป่ครับ แขกที่ท่านรอเดินทางมาถึงแล้วครับ ตอนนี้อยู่ที่ห้องรับรอง”

ไป่ยู่พยักหน้ารับแล้วให้เจ้าหน้าที่มือปราบคนนั้นเดินนำทางตนไปหาคนที่กำลังรอคอย ทันทีที่พบหน้าเศรษฐีหม่าซือเต้าลุกขึ้นยืนอย่างร้อนใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“คาราวะท่านหม่า” ไป่ยู่กล่าวพร้อมยกสองมือประสานคำนับ

“ไม่ต้องมากพิธี ท่านไป่ ตอนนี้เฉินหลินเป็นเช่นไรบ้าง?” คนถามร้อนรน คนตอบร้อนใจ

หลายวันก่อนที่เฉินหลินหนีออกจากจวนของเศรษฐีหม่าซือเต้า ทันทีที่พบจดหมายลาทิ้งไว้ก็ทำให้ซือเต้าอยู่ไม่เป็นสุข เขาไม่ได้โทษดรุณีน้อยที่หนีไป กลับกันด้วยซ้ำเขาโทษตัวเองที่กดดันนาง จัดพิธีใหญ่โตเร่งรับเฉินหลินเป็นบุตรีบุญธรรม

สั่งคนเร่งตามหาก็ไม่ได้ความอะไร ดีที่ว่าไม่ถึงวันก็ได้รับจดหมายจากพิราบสื่อสารของหม่าจงที่พบกับเฉินหลินระหว่างทางและกำลังจะไปที่เมืองหัวอัน เมื่อรู้ข่าวเช่นนั้นก็ตั้งใจจะเร่งเดินทาง ทว่าที่เมืองกลับเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงขึ้น ทำให้ต้องรอจนกว่าอากาศจะสงบลงจนพร้อมเดินทาง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยซือเต้าและบ่าวก็เร่งเดินทาง ระหว่างนั้นก็มีจดหมายจากพิราบสื่อสารของหม่าจงติดต่อมาเป็นระยะ จนครั้งสุดท้ายคือเมื่อวานตอนอาทิตย์ตกดิน ใจความในจดหมายทำให้ซือเต้าทุกข์ใจ เพราะข้อความบอกไว้ว่า เฉินหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส

เศรษฐีไม่โทษใคร ยิ่งรู้ว่านเหตุการณ์มีไป่ยู่อยู่ด้วยยิ่งเข้าใจว่าเรื่องที่เกิดเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงดรุณีน้อยไม่ต่างจากตน

เวลานี้สิ่งที่ควรทำคือหาทางช่วยเหลือเฉินหลินให้หายดีเพียงเท่านั้น

“อาการของนางทุเลาลงแล้ว แต่ยังไม่ปลอดภัย ข้าต้องการโสมร้อยปี ต้มสามหม้อดื่มสามเวลา นานเจ็ดวัน”

“ได้! เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ข้าจัดการเอง” กล่าวจบซือเต้าก็หันไปหาบ่าวคนสนิทแล้วออกคำสั่งให้อีกฝ่ายไปจัดการอย่างที่ไป่ยู่ต้องการ

“ยังมีสิ่งใดอีกไหม?” ซือเต้าถามขึ้นอีก

“ตอนนี้ห้ามเคลื่อนย้ายนาง คงต้องรบกวนใต้เท้าเถียนขออยู่ที่นี้สักระยะ” ไป่ยู่กล่าว ประโยคหลังหันไปบอกกับซาเถียน

“ใต้เท้า ข้าเองก็ขอร้องด้วยคน ถ้ามีค่าใช้จ่ายอะไรข้ายินดีจ่ายให้”

“มิได้ๆ เรื่องที่จะให้คุณหนูหม่าพักรักษาตัวที่นี้ ข้าไม่ขัดข้อง แต่คงต้อนรับพวกท่านทั้งหมด เอ่อ”

“ไม่เป็นไรๆ บ่าวพวกนี้เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องที่พักเอง” สิ้นคำ ซือเต้าก็สั่งให้บ่าวไปซื้อบ้านของคนที่อยู่ละแวกนี้ทันที

“ท่านไป่ หากต้องการหมอหรือยาตัวไหนอีกบอกข้าได้เลยนะ ขอเพียงแค่รักษาชีวิตเฉินหลินไว้ ขะ ข้าขอร้อง รักษานางให้ได้ ข้าไม่อยากต้องสูญเสียใครอีกแล้ว” ซือเต้ากล่าวด้วยความโศกศัลย์ ไม่อายที่ใครจะเสียตนร้องไห้

ไป่ยู่เข้าใจความรู้สึกขออีกฝ่าย เพราะก่อนนี้ก็สูญเสียสตรีผู้เป็นที่รักไปแล้วคนหนึ่ง หากยังต้องมาสูญเสียเฉินหลินที่พี่สาวนางฝากฝังไว้ ซือเต้าคงรับไม่ไหว

“ไม่ต้องห่วงครับ ข้ารักษานางได้แน่นอน” ไป่ยู่กล่าวเพียงแค่นั้นโดยไม่แจกแจงรายละเอียดอื่นใดเพิ่มเติม เพราะคิดว่าไม่จำเป็น

แต่ความจริงแล้วคือเฉินหลินถูกฝ่ามือของงักโยวที่กลายเป็นปีศาจร้ายซัดเอาอย่างเต็มแรง ฝ่ามือที่ฆ่าผู้คนได้ในพริบตาเดียว โชคดีที่ตอนนั้นปีศาจเช่นงักโยวบาดเจ็บไม่น้อย พลังในการทำลายจึงไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด เฉินหลินจึงยังมีชีวิตอยู่ ทว่ามันก็ยังส่งผลร้ายอยู่ดี

เท่าที่จอมเวทตรวจ อวัยวะภายในหลายส่วนบอบช้ำ จุดนี้ใช้โสมร้อยปีที่บอกไปมาบำรุงรักษาได้ ส่วนหัวใจและสมองที่ได้รับผลกระทบไปด้วยนี่สิที่น่าเป็นกังวล แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับส่วนของวิญญาณที่ไป่ยู่คาดการณ์และกำลังกลัวว่าจิตของดรุณีน้อยจะหลุดลอยออกจากร่างไป หากเป็นเช่นนั้นจริง การนำวิญญาณของนางกลับมาย่อมต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน

ทว่าการจะทำเช่นนั้นได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเพียงเท่านั้น แต่อยู่ดินฟ้าอากาศอีกด้วย และนั่นทำให้เขาต้องรออีกสองคืน ให้พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงเพื่อที่กระจกส่องวิญญาณจะได้รับแสงและทำให้เห็นว่า วิญญาณของเฉินหลินในเวลานี้อยู่ที่ไหน

....................................................

 

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นพร้อมพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เฉินหลินกระพริบตาถี่เร็วเริ่มรู้สึกตัว ดรุณีน้อยพบตัวเองนอนอยู่กลางป่ายามราตรี รอบด้านมืดมิดเต็มไปด้วยต้นไม้ ดินโคลนและพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

“ทะ ที่นี่... ที่ไหนกัน” เฉินหลินกล่าวเบา เม็ดฝนกลบทุกสรรพเสียงกลืนหายไปในอากาศ

ดรุณีน้อยลุกขึ้นยืนทบทวนความทรงจำ มองหาคนรู้จัก ก่อนนี้นางอยู่ไหน ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่

ใช่แล้ว! ก่อนนี้เราอยู่ที่คฤหาสน์สกุลงัก!

กำลังแอบฟังท่านไป่ไขคดี ไม่ใช่! ไม่ ไม่ ไม่ ต้องหลังจากนั้นอีก

เราล้มเข้าไปในห้อง ใช่แล้ว!

แล้วก็... แล้วก็... นึกออกแล้ว แล้วก็เห็นงักโยวที่กลายเป็นปีศาจ หลังจากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น มีควันเต็มไปหมด เราสำลักควัน พยายามจะหนี แล้วเราก็...

โดนปีศาจจับตัวไว้...

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นนะ นึกไม่ออก จำได้แค่ว่าเจ็บมากแล้วก็เห็นท่านไป่กอดเราไว้

นึกถึงตรงนี้เฉินหลินรู้สึกหวาดกลัว ความรู้สึกนั้นถาโถมเข้าสู่จิตใจอย่างรวดเร็วจนไม่อาจระงับความหวาดหวั่นได้ ดรุณีน้อยร้องไห้ ใบหน้าที่เปียกฝนเปื้อนหน้าตาเต็มสองแก้มแต่ไม่อาจแยกแยะออก

“ท่านไป่ยู่!! ท่านมือปราบบบ!! ท่านไป่!!! ทุกคนอยู่ที่ไหนนนน มีใครได้ยินไหมมม พี่ไป่ยู่!!”

ดรุณีน้อยตะโกนสุดเสียง นางร้องหาคนที่คิดถึง แต่ไม่มีเสียงตอบรับใด พอสองเท้าตั้งใจจะก้าวเดิน กลับเกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นคล้ายคำขู่จากสัตว์ร้าย

เฉินหลินหวาดกลัวกรีดร้องสุดเสียงพร้อมทรุดตัวลงกับพื้น สองตาหลับแน่นไม่กล้าลืมตาดูสิ่งใด ทำได้แต่สะอื้นร้องไห้อย่างหวาดกลัว

“พี่ไป่ ท่านอยู่ที่ไหน ช่วยข้าด้วย” เสียงนั้นสั่นเครือ

ชั่วขณะนั้นเองที่เฉินหลินรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากบางสิ่งที่ข้างตัว นางรู้สึกคล้ายมีใครบางคนจับข้อเท้านางไว้

“ชะ ช่วย... ด้วย... ช่วย... ข้า... ด้วย” เสียงแหบพร่าแหลมเล็กของเด็กน้อยทำให้เฉินหลินลืมตามองข้างกาย

ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยคนหนึ่งนอนเปื้อนโคลนกลางงดินในความมืดมิด เฉินหลินสะดุ้งอยู่ชั่วครู่ แต่เพ่งมองอย่างตั้งใจจึงเห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผีอย่างที่กลัว

“ช่วย... ด้วย... ท่าน... แม่... ช่วย... ข้า... ด้วย...” สิ้นคำด้วยเด็กน้อยก็หมดสติลง มือที่จับข้อเท้าของเฉินหลินพลันคลายออกอย่างไร้เรี่ยวแรง

ดรุณีน้อยเอามือสัมผัสร่างอีกฝ่ายแล้วต้องผวา เพราะไร้ทั้งชีพจรและลมหายใจ นี่คือจะมาตายต่อหน้ากันเช่นนี้เลยเหรอ ในเวลาที่ตัวนางก็กำลังหวาดกลัวอยู่เช่นนี้น่ะนะ เฉินหลินคิด น้ำตายังไม่หยุดไหล

“อย่าตายนะ ฟื้นขึ้นมาก่อน ไอ้หนู ฟื้นขึ้นมาสิ ห้ามมาตายต่อหน้ากันแบบนี้นะ” คงเพราะหวาดกลัวจนไม่รู้จะทำเช่นไร เฉินหลินเข้าไปเขย่าตัวเด็กน้อยให้ฟื้นคืน เมื่อไม่ได้ผลก็ทุบลงไปที่อกอย่างนั้นแรงๆ หวังเพียงสิ่งเดียวคือให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา

“ท่านพ่อ ทางนี้ครับ อยู่ตรงนี้” อยู่ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ตัวพร้อมเงาร่างของคนสองคน

เฉินหลินหันไปมองอย่างตระหนก ตั้งใจจะเอ่ยปากร้องขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ แต่พอสายฟ้าฟาดผ่านกลางนภาจนทำให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้น ดรุณีน้อยก็ทำได้เพียงตะลึงค้างอยู่เช่นนั้น เพราะคนที่เรียกให้ท่านพ่อมาทางนี้คือไป่หลง ที่มีอายุออกเยาว์กว่าที่นางรู้จักนับสิบปี

ขนทั่วแขนลุกชันไล่ไปจนถึงท้ายทอย เฉินหลินหันไปมองเด็กน้อยที่ข้างตัว แสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เป็นอย่างที่ดรุณีน้อยคิด เด็กน้อยคนนั้น คือไป่ยู่ที่มีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น

“อะ อะไรกัน เป็นไปได้ยังไง”

ไป่หลงและบิดารีบเข้าไปประคองร่างของเด็กน้อยตรงพื้น ทั้งสองเดินผ่านทะลุร่างของเฉินหลินไปราวกับนางเป็นอากาศธาตุ...

 

ปิดคดี สมบัติตระกูลงัก

เตรียมพบกับเรื่องราวในวัยเยาว์ของสองพี่น้องแซ่ไป่

ความสัมพันธ์ของไอ้หนู(ไป่ยู่)กับดรุณีน้อย(เฉินหลิน)

และคดีที่สาม – หุบเขาคลาดวิญญาณ

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด