ตอนที่แล้วตอนที่ 33 เกราะป้องกัน 100%
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 35 จนกว่าจะหมดหวัง

ตอน 34 พิธีแต่งงาน


ตอน 34 พิธีแต่งงาน

 

พิธีแต่งงานของผู้มีพลังวิญญาณจะจัดขึ้นในช่วงพลบค่ำ เพราะเป็นเวลาที่พลังวิญญาณจะเปล่งประกายเจิดจรัสที่สุด ไม่บ่อยนักที่ตระกูลยูคิฮารุจะเปิดบ้านรับแขกเนื่องจากงานมงคล แม้ในวันนี้จะเป็นงานเล็กๆ ที่เชิญเพียงแขกไม่กี่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณก็ตาม

โซอีโทรหาเฮคเตอร์ให้พาเธอมาส่งไว้ที่ตระกูลยูคิฮารุตั้งแต่ช่วงบ่าย เพราะญาติฝ่ายเจ้าสาวนอกจากคุณพ่อของเฟย์นะแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีกมาร่วมงาน เพื่อนผู้หญิงที่พอจะพูดคุยกันได้บ้างตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโลกวิญญาณนี้ก็มีแค่โซอีเท่านั้น เฟย์นะจึงโทรมาขอร้องเธอให้ช่วยไปอยู่เป็นเพื่อน

“เฟย์นะสวยมากเลย”

โซอีเอ่ยชมตามภาพที่เห็น เฟย์นะที่ย้อมผมเป็นสีดำแล้ว ช่างดูเข้ากับกิโมโนสีขาวที่มีลวดลายดอกไม้สีทองที่ตรงส่วนปลายชุดและปลายแขนเสื้อเหลือเกิน แม้อันที่จริงแล้วสีดอกไม้ของเสื้อนั้นจะถูกสั่งตัดเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับสีผมแบบเดิมของเจ้าสาวก็ตาม

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ ที่เปลี่ยนสีผมโดยไม่ได้บอก”

เฟย์นะยังคงเอ่ยขอโทษเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่ท่านแม่ของเคนเซย์และผู้ช่วยอีกสองคนมาช่วยแต่งตัวให้

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนสวยทำผมสีอะไร ใส่ชุดแบบไหนก็สวยทั้งนั้น”

นายหญิงใหญ่ของบ้านตอบลูกสะใภ้กลับอย่างใจดีเสมอ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เฟย์นะอยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น

“พวกผู้ชายน่ะไม่สนใจหรอกว่าเราจะใส่ชุดแบบไหน เขาก็แค่อยากแต่งงานกับเรานั่นแหละ แต่ยังไงก็ตามเราถึงต้องสวยไว้ก่อนเพื่อความสบายใจของเราเอง”

ฟังแม่สามีพูดต่อแล้ว เฟย์นะก็ได้แต่ยิ้มให้เล็กน้อยเป็นการตอบรับ

“ชุดกิโมโนแบบนี้คล้ายๆ กับของญี่ปุ่นเลยนะคะ อันนี้เป็นชุดโบราณแบบคาเรม หรือว่าเป็นชุดที่ใส่กันตามประเพณีเชื้อสายเหรอคะ”

โซอีถามความรู้รอบคาเรมขึ้นอย่างสนใจ แม้จะเกิดที่คาเรมแต่ก็ได้ใช้ชีวิตแค่ช่วงวัยเด็กก่อนจะถูกส่งเข้าตระกูลชามันด์ จึงทำให้เธอแทบไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้เลย

“อืม...เท่าที่ฟังเรื่องเล่าสืบทอดกันมา ก็น่าจะเป็นลักษณะการสืบทอดตามเชื้อสายมากกว่านะ ในอดีตคาเรมก็เหมือนเป็นเกาะที่มีสามชนชาติใหญ่ๆ อยู่ร่วมกันมา ก็คงจะสู้จะรบกันอยู่นานแหละจ้ะกว่าจะรวมแผ่นดินกันได้แล้วอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ท่านต้นตระกูลของเราที่เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ถูกส่งให้มาดูแลพื้นที่ทางคาเรมใต้ ซึ่งละแวกนี้ก็มีชนชาติญี่ปุ่นเยอะที่สุดด้วยเพราะอยู่ห่างกันไม่มากน่ะจ้ะ อะไรต่างๆ มันก็เลยดูคล้ายกันแบบนี้แหละ แต่เพราะอาศัยอยู่ที่นี่แม้จะมีเชื้อสายอะไรเราก็จะเรียกตัวเองว่าชาวคาเรม ดังนั้นประเพณีอะไรๆ ถึงจะสืบทอดกันมาตามเชื้อสายมันก็จะต่างกันไปกับต้นตำรับบ้าง อย่างชุดแต่งงานนี้ไม่มีวิกผมเจ้าสาวกับผ้าคลุมประดับผม ทั้งงานพิธีก็ใส่อยู่แค่ชุดเดียวไม่ต้องเปลี่ยนอีก เราจึงเลือกปักลวดลายที่ชอบตามชายขอบชุดสีขาวลงไปแทน”

“แต่เหมือนพิธีแบบนี้ก็จัดกันน้อยแล้วใช่มั้ยคะ หนูชินตากับพิธีแบบสมัยใหม่มากกว่า”

หนนี้เป็นเฟย์นะที่ถามขึ้น สาวๆ ในรุ่นพวกเธอที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเก่าแก่ มักจะชินตากับเดรสแต่งงานแบบสากลมากกว่า

“ใช่แล้วล่ะ ด้วยความสะดวกอะไรหลายๆ อย่างน่ะ หลักๆ ก็คงเรื่องค่าใช้จ่ายนี่แหละ”

เฟย์นะกับโซอีถึงกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกเมื่อได้รับฟังราคาของชุดทำพิธี รวมถึงเครื่องประดับต่างๆ ที่เจ้าสาวกำลังสวม แน่นอนว่ามันไม่ได้สะเทือนกระเป๋าเงินของตระกูลยูคิฮารุหรอก แต่ถ้าให้เลือกจัดงานเองสองสาวคงไม่มีทางเลือกพิธีแบบนี้เด็ดขาด

“เอาล่ะจ้ะ เสร็จแล้ว ที่เหลือก็แค่รอแล้วล่ะ”

“ขอบคุณมากนะคะนายหญิงใหญ่”

เมื่อแม่สามีได้ยินลูกสะใภ้เรียกตนเช่นนั้น หญิงสาววัยกลางคนที่ยังดูแลรูปโฉมเป็นอย่างดีก็เดินมายืนตรงหน้าเฟย์นะ ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มตัวเข้าไปโอบหญิงสาวเบาๆ

“ตอนแรกแม่ก็กังวลที่เคนเซย์ทำอะไรแบบนั้นลงไปปุบปับ แต่เมื่อได้พบหนูเฟย์นะแล้วแม่ก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าลูกชายตัวดีแล้วล่ะ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ แม่ยินดีและภูมิใจในตัวหนูเฟย์นะในฐานะสะใภ้ของเรา ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องรีบร้อน ได้แต่หวังว่าสักวันเราจะเรียกกันว่าแม่ลูกได้อย่างสบายใจนะจ๊ะ”

“ขอบคุณนะคะ ที่เอ็นดูหนูขนาดนี้”

เฟย์นะพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าขอบคุณ ในตอนนั้นเองที่พ่อของเจ้าสาวเดินเข้าห้องมา ชายวัยใกล้เกษียณถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ที่ได้เห็นนางฟ้าตัวน้อยของเขาในวินาทีนี้

ทุกคนในห้องแม้แต่โซอีต่างเดินออกไปด้านนอกราวกับจะปล่อยให้เป็นเวลาของครอบครัว

“ลูกสวยมากๆ เลยเฟย์นะ ถ้าแม่หนูมาเห็นแม่ต้องดีใจมากแน่ๆ”

พาเทลรีบเช็ดน้ำตากอดจะโอบลูกสาวไว้เบาๆ

“นั่นสิคะ น่าเสียดายจัง แต่อย่างน้อยหนูก็มีคุณพ่อนะคะ ญาติฝ่ายเจ้าสาววันนี้คงไม่มีใครอีกแล้ว ถึงจะยากเย็นแค่ไหนแต่เราจะผ่านมันไปด้วยกันค่ะ”

 

สิบแปดนาฬิกา เมื่อทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวเสร็จสรรพทุกอย่างแล้ว โซอีก็เดินออกมาประจำที่นั่งของตนยังห้องโถงใหญ่ที่ใช้ทำพิธี ทุกสำรับที่นั่งที่ถูกจัดเป็นฝั่งซ้ายขวาและขั้นกลางด้วยพรมทางเดินสีแดงเพื่อนำตัวบ่าวสาวเข้าสู่การทำพิธี ที่นั่งทั้งหมดถูกจัดไว้จำนวนห้าสิบสองที่ โดยมีป้ายชื่อของแขกแต่ละคนที่ยืนยันการมาเข้าร่วมตั้งไว้ จากห้องโถงที่ดูเรียบง่าย ณ บัดนี้ได้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยสิ่งต่างๆ ให้ดูหรูหราและมีมนตร์ขลังขึ้น

พิธีจริงๆ จะเริ่มต้นตอนหกโมงครึ่ง แขกเหรื่อต่างเริ่มทยอยมาถึงและนั่งประจำที่ของตัวเองแล้ว แต่คนในหน่วยเคซีโร่ก็ยังไม่ปรากฏตัวสักคน

เสียงดนตรีเริ่มดังคลอขึ้น มันเป็นเพียงดนตรีบรรเลงทำนองสบายหูที่ไม่มีเนื้อร้องใดๆ อาจเป็นเพราะประเพณีของที่นี่อยู่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะสถานการณ์ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวในตอนนี้ก็ได้ เพราะหากมีเนื้อเพลงรักกันปานจะกลืนกินดังขึ้นในงานที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่งงานกันด้วยเหตุผลแบบนี้คงกรีดหูดีพิลึก

สิบแปดนาฬิกายี่สิบนาที เมื่อใกล้ถึงกำหนดการทำพิธีเต็มทีแล้วก็เกิดเสียงเอะอะวุ่นวายดังขึ้นที่ปากทางเข้า เอ็ดเวิร์ดที่คอยเซ้าซี้เตือนให้ฟอแกนด์กล่าวคำอวยพรให้เป็นเรื่องเป็นราว ชาเกลที่ต้องเตือนเฮคเตอร์ให้ติดกระดุมชุดเครื่องแบบให้เรียบร้อย และเจ้าเด็กหนุ่มจากไทยที่ทำตาโตดูตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งที่พบเห็นรอบตัว ธาวินคงจะฟื้นทันเวลาพอดี

แต่แทนที่จะถอนใจโล่งกับความหวุดหวิดทันเวลานี้ โซอีกลับหน้าร้อนผ่าวแปลกๆ เมื่อได้เห็นเฮคเตอร์ในสภาพที่ไม่คุ้นตาเสียเลย

เฮคเตอร์อยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศของเจ้าที่หน้ากองปราบวิญญาณ แม้จะเคยเห็นหน่วยอื่นๆ ใส่จนชินตา แต่โดยปกติหน่วยเคซีโร่ก็ไม่มีใครสวมเครื่องแบบสักคน อาจเพราะในสายงานตามโลกมนุษย์ปกติพวกเขาจัดเป็นหน่วยสืบราชการลับสากล การทำงานแบบไม่ให้เตะตาใครนักจึงเป็นเรื่องจำเป็น

ทุกคนเดินมานั่งประจำที่ เพราะเป็นต้นสังกัดหลักของเคนเซย์หน่วยนี้จึงถูกจัดที่นั่งไว้แถวหน้าสุดของฝั่งขวามือ ซึ่งถัดลงมาจากลำดับเครือญาติของเจ้าบ่าวเจ้าสาว

“ใส่ชุดแบบนี้แล้วแปลกตาจัง ท่านแม่ของเคนเซย์ให้ยืมมาเหรอ”

เฮคเตอร์ทักขึ้นเป็นคำแรกเมื่อนั่งลงที่ด้านข้างของโซอี หญิงสาวตัวเล็กก้มดูตัวเองอย่างประหม่าทีเดียว

หลังออกจากห้องเตรียมตัวของเจ้าสาวแล้วนายหญิงใหญ่ก็ทักเธอเรื่องชุดที่สวม เพราะโซอีไม่เคยไปงานแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่เคยคิดด้วยว่าตัวเองจะถูกใครเชิญไป เธอจึงไม่มีเสื้อผ้าเอาไว้ใส่สำหรับการมางานสำคัญแบบนี้ และเสื้อผ้าออกงานสำหรับเด็กแบบที่พอจะหาแบบเร่งด่วนได้ต่างก็พองฟูฟ่องทั้งนั้น ซึ่งให้ตายโซอีก็ไม่มีวันใส่มันอย่างเด็ดขาด

นายหญิงใหญ่จึงได้ให้คนไปหาชุดของคุณหนูรุกะซึ่งเป็นหลานสาวมาให้ มันเป็นชุดกิโมโนสำหรับเด็กสีฟ้าแบบเรียบง่ายและสั่งให้คนช่วยสวม รวมถึงช่วยรวมผมยาวม้วนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปักปิ่นอันเล็กไว้ให้

“มะ...มันแปลกไปเหรอ”

“ก็แค่แปลกตา แต่ก็น่ารักดี เธอเหมือนตุ๊กตาเลยล่ะตอนนี้”

ยิ่งฟังแบบนั้นแล้วคนถูกชมยิ่งเขินหนักขึ้น ตั้งแต่เจรจาสงบศึกกันตอนนั้น ทุกอย่างระหว่างเขาและเธอก็ดูกลับมาเป็นเหมือนเดิมตามปกติ อันที่จริงจะเรียกว่าสนิทกันขึ้นอีกนิดเลยก็คงได้ เมื่อต่างไม่ต้องปกปิดหรือระงวังอะไรกันแล้ว

“นายก็ดูแปลกๆ นะ ใส่ชุดเครื่องแบบแล้วดูดีผิดปกติ”

“หือ...ปกติฉันก็ดูดีอยู่แล้วนะ ที่ดูธรรมดาสาวไม่แลตลอดเพราะอยู่ตัวติดกับเจ้าชาเกลมากเกินไปต่างหาก”

โซอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะขำออกมา

“เฮ้อ… พวกคนหลงตัวเอง”

“ใครกันแน่ เธอก็คิดตัวเองน่ารักจนฉันจะชมแน่ๆ อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ สารภาพมาเถอะ”

เฮคเตอร์ยื่นนิ้วไปจิ้มแก้มยุ้ยนุ่มๆ นั่นแล้วเถียงขึ้นต่อ

“แล้วฉันก็น่ารักจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ”

“แน่นอนสิ ไม่งั้นจะชมแต่แรกทำไม”

“ก็ได้ งั้นเราหายกัน”

เมื่อโซอีสรุปจบแล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

“เฮ้อ... เหม็นความรักเป็นบ้า”

ธาวินที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของโซอีได้แต่ถอนใจส่ายหน้า

“พวกนายนี่น่าจะแต่งงานแทนคู่เคนเซย์ไปเลยนะ งานจะได้ดูเป็นงานแต่งงานกว่านี้”

ชาเกลที่นั่งอยู่อีกข้างเฮคเตอร์หันมาแซวบ้าง แต่ก็ผิดคาดที่มันไม่ได้ทำให้ทั้งคู่เขินอายอะไรเลย

“ฉันไม่แต่งงานกับคนจนที่ชอบเกาะเพื่อนกินหรอก”

โซอีหันไปบอกชาเกลแทบจะในทันที

“ดีเลย… ฉันจะได้เกาะเธอกินไปตลอดชีวิต แม่คนรวยเว่อร์”

โซอีทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่เสียงประกาศลำดับพิธีการได้เริ่มขึ้นแล้ว พิธีกรซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานเดินผ่านพรมแดงตรงกลางเข้ามาแนะนำตัว และประกาศว่าพิธีกำลังจะเริ่มขึ้น

ทุกคนยกเว้นโซอีกับธาวินที่ไม่รู้เรื่องลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนที่ทั้งสองจะรีบลุกขึ้นตาม

“คุณโซอี กับธาวินนั่งรอตรงนี้แหละ หรือถ้าอยากจะออกไปดูก็รอให้ขบวนกองปราบเข้ามาจนหมดก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามานะ”

เอ็ดเวิร์ดเดินมาบอกกับทั้งสองที่กำลังงุนงง จากนั้นทุกคนที่สวมชุดเครื่องแบบของกองปราบวิญญาณต่างก็พากันเดินออกจากห้องโถง เพื่อไปยืนเป็นสองแถวแบบหันหน้าเข้าหากัน แน่นอนว่าโซอีกับธาวินลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกตาม และคอยสังเกตการณ์ในจุดที่คนอื่นๆ ในบ้านก็ยืนอยู่เช่นกัน

เฮคเตอร์หยิบถุงมือสีขาวขึ้นมาสวมที่มือขวาอย่างลุกลี้ลุกลน แต่อย่างน้อยมันก็ดูเหมือนจะทันเวลา เคนเซย์ปรากฏตัวในชุดเจ้าบ่าว ซึ่งเป็นฮากะมะพร้อมกับกิโมโนและเสื้อคลุมทับที่มีตราสัญลักษณ์รูปนกในกรอบวงกลมที่ด้านหลัง เขาเดินออกมาจากพรมแดงในห้องโถง ผ่านตรงกลางระหว่างแถวของคนในกองปราบไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่ปลายแถว ยืนรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งพ่อของเจ้าสาวได้เดินจับมือพาลูกสาวออกมา

เฟย์นะในชุดแต่งงานแบบโบราณสีขาวนั้นทำเอาเจ้าบ่าวหายใจสะดุด ผู้หญิงในชุดกิโมโนมีแรงดึงดูดกับเขาเหลือเกิน

“ฝากเฟย์นะด้วยนะ”

พ่อของเฟย์นะกล่าวขึ้นพร้อมกับส่งมือของเฟย์นะไปให้เคนเซย์จับต่อ เมื่อเจ้าบ่าวจับมือเจ้าสาวและหันมา เหล่ากองปราบวิญญาณที่ยืนขนาบพรมทั้งสองฟาก ก็ยกมือขวาที่สวมถุงมือสีขาวออกมาขนานกับพื้นในลักษณะหงายมือขึ้น ก่อนจะปรากฏดวงไฟสีเหลืองสว่างออกมาบนมือแต่ละคน เป็นพิธีการอวยพรแด่สหายสำหรับนักปราบวิญญาณ เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินตามพรมแดงผ่านใครไปแล้ว ขบวนนักปราบวิญญาณก็จะวางมือแล้วหักปลายแถวเดินตามหลังเพื่อกลับเข้าไปด้วย แล้วธาวินกับโซอีก็เดินกลับเข้ามานั่งที่หลังจากนั้น

เจ้าบ่าวเจ้าสาวหยุดอยู่ที่หน้าแท่นทำพิธี เฟย์นะยื่นผ้าผืนยาวคล้ายเชือกสีแดงส่งให้กับเคนเซย์ตามที่ซ้อมมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอาเชือกผ้านั้นมัดข้อมือข้างซ้ายของหญิงสาวไว้หลวมๆ ด้วยปลายด้านหนึ่ง จากนั้นก็มัดปลายอีกข้างหนึ่งไว้กับข้อมือขวาของตัวเอง

ทั้งสองนั่งลงคำนับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามแต่ที่ตระกูลนับถือ หันไปเคารพบิดามารดา ก่อนจะหันมาเคารพกันเอง แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตามหลักแล้วในช่วงนี้จะเป็นการทำพิธีชำระวิญญาณ อาจเป็นการทำจากฝ่ายเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวก็ได้ แต่เมื่อทั้งสองได้ผ่านพิธีกรรมสำคัญนั้นที่ราวกับละเว้นฉากจูบไปแล้ว ทุกอย่างจึงเหลือแค่พิธีสวมแหวน และดื่มเหล้าสาบานเท่านั้น

การสวมแหวนจะเป็นการสวมจากฝ่ายชายให้ฝ่ายหญิงเท่านั้น เพราะค่านิยมดั้งเดิมที่แฝงอยู่ในพิธีกรรมว่าด้วยผู้ชายเป็นใหญ่กว่า เป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นผู้ครอบครองเจ้าสาว แม้ปัจจุบันจะมีการผ่อนปรนให้เป็นการแลกแหวนแล้ว แต่สำหรับตระกูลเก่าแก่เช่นนี้ก็ยังอนุรักษ์พิธีการแบบเดิมไว้

เฟย์นะยื่นมือซ้ายออกมาตรงหน้าอย่างไม่อิดออด แม้สีหน้าเรียบตึงไม่มีรอยยิ้มนับจากเดินเข้าพิธีมานั้นจะแสดงออกอย่างชัดเจนก็ตาม หากใครตาไม่บอดก็คงจะมองออกได้ไม่ยาก ว่าเจ้าสาวนั้นไม่ได้ดูมีความสุขหรือเต็มใจแต่งงานแม้แต่น้อย

เคนเซย์หยิบแหวนเพชรที่เตรียมออกมา เขามองมือซ้ายนั้นก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าสาวที่ไม่สบตาเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะเจ็บแปลบเหมือนถูกมีดกรีด แต่จนท้าย… เคนเซย์ก็กัดฟันยกมือขึ้นไปจับมือของเฟย์นะที่คว่ำรอสวมแหวนอยู่ให้หงายขึ้น แล้ววางแหวนนั้นไว้บนฝ่ามือของเธอแทน ก่อนจะรวบมือข้างนั้นของหญิงสาวให้กำแหวนเข้าไว้ เพราะมือของเธอที่ดูอ่อนยวบแบบนั้นอาจจะทำแหวนตกได้ทุกเมื่อ

“อวะ… เห็นแล้วเจ็บแทนชะมัด ทำไมพี่เคนถึงได้เท่แบบนี้นะ”

ธาวินพึมพำขึ้นมาเบาๆ โซอีที่ได้ยินหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะถอนใจอย่างเห็นด้วยกับธาวินเป็นครั้งแรก นั่นคือการแสดงความรักของเคนเซย์ ความจริงใจแบบไม่บีบบังคับเท่าที่เขาจะมอบให้เฟย์นะได้ โซอีเห็นแล้วตื่นตันใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลย

มิหนำซ้ำเคนเซย์ยังเป็นฝ่ายขอเหล้าสาบานทั้งสองจอกขึ้นมาดื่มคนเดียว บ่งบอกได้กรายๆ ว่าเขารับคำสาบาน รับการทำพิธีนี้เพื่อรอคอยเมื่อถึงเวลาที่เจ้าสาวพร้อม

ไม่มีใครขัดการดำเนินพิธีที่ผิดแผกไปของเคนเซย์ เพราะต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่างานวันนี้จัดขึ้นด้วยเหตุผลอะไร

จบจากพิธีก็มีการถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกเล็กน้อย ทั้งแบบเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง รวมกับครอบครัว เพื่อนร่วมงานทีละกลุ่ม ก่อนจะถ่ายรวมกันทั้งหมดอีกครั้ง แล้วอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟเมื่อเสร็จพิธีการสำคัญแล้วเข้าสู่การเฉลิมฉลองงานสมรสแทน

ระหว่างนั้นเองฟอแกนด์ซึ่งเป็นตัวแทนกล่าวคำอวยพรก็ลุกขึ้นเดินไปยังแท่นไมโครโฟน

“เราเห็นเคนเซย์กันมาตั้งแต่สูงเท่านี้”

ฟอแกนด์พูดพร้อมกับทำท่าประกอบเป็นการยื่นมือออกมาตรงหน้า ซึ่งบอกขนาดความสูงประมาณแค่เอวของผู้พูดได้

“ไม่นึกเลยว่าพอตัวสูงท่วมหัวพวกเราไม่ทันไร ก็ชิงแต่งงานตัดหน้าพวกเราส่วนใหญ่ไปซะแล้ว”

เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วทั้งห้องโถง และเงียบสงบลงเมื่อหัวหน้าหน่วยเคซีโร่พูดต่อ

“ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าพิธีการในวันนี้เกิดขึ้นเพราะสิ่งใด การจะอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุขนั้นก็ดูจะไม่เหมาะกับสถานการณ์นี้เท่าไร ไม่ว่างานมงคลในวันนี้จะเกิดขึ้นด้วยความรัก โชคชะตา หรือสิ่งใดๆ ก็ตาม แต่ผมกล้าบอกได้คำหนึ่งว่า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ มันคือความตั้งใจ ความจริงใจ ของทั้งสองฝ่ายที่ตกลงยินยอมให้ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลของตัวเอง ชีวิตอาจไม่ได้มีแต่เรื่องสวยงาม แต่ท่ามกลางสภาพที่เลวร้าย ผมอยากให้ทั้งสองเชื่อว่ายังมีแสงสว่างแห่งความหวังที่รออยู่ที่ไหนสักแห่งในปลายทางข้างหน้าแน่นอน อย่าเพิ่งท้อแท้ อย่าหมดหวังในตัวเอง อย่าหมดศรัทธาในกันและกัน ผมขออวยพรให้ทั้งคู่ด้วยคำว่าขอให้ทุกอย่างจากนี้ไปมีแต่ความราบรื่นปลอดภัย ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”

เมื่อฟอแกนด์พูดจบแล้วโค้งคำนับลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นทั่วห้องโถงทำพิธี

“การที่หัวหน้าเราพูดอะไรเป็นการเป็นงานแบบนี้ได้ เป็นเรื่องน่ายินดีกว่าการแต่งงานนี้ซะอีก ว่ามั้ย”

เฮคเตอร์หันไปคุยกับชาเกลที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

ห้องของเคนเซย์ที่ปรับปรุงให้เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตสองคน โซนห้องแต่งตัวถูกปรับปรุงใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับผู้หญิงก็ถูกเพิ่มเข้ามา ยังดีว่าฟูกนอนยังเป็นฟูกเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียวอยู่สองฟูกให้แยกกันนอนได้ ท่านแม่คงไม่ได้ใจร้ายกับลูกชายเกินไปที่จะให้ฟูกนอนคู่มาทรมาน

เจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกส่งตัวเข้ามาที่ห้องหอ พิธีรีตองตรงนี้มีไม่มากนัก ไม่มีคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่นอกจากฝากให้ช่วยดูแลกันดีๆ เพราะทุกอย่างที่ผ่านมาในคืนนี้คงมากเกินพอสำหรับทั้งเฟย์นะ และเจ็บปวดเกินไปสำหรับเคนเซย์แล้ว

ทันทีที่ทั้งสองถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เฟย์นะก็มุดเข้าฟูกนอนของตัวเองแล้วเอาผ้าห่มคลุมหัวไว้ในทันที เคนเซย์ได้แต่มองแล้วถอนใจ จนท้ายชายหนุ่มก็หอบฟูกนอนของตัวเองเดินออกจากห้องนอนไป แล้วปูมันไว้ตรงโซนห้องนั่งเล่นด้านนอก อย่างน้อยหากมีผนังกั้นสักหน่อยเขาก็คงจะพอหลับได้เต็มตา เฟย์นะก็จะได้นอนอย่างไม่ต้องกังวล

“ขอบคุณที่อดทนสำหรับวันนี้นะ ราตรีสวัสดิ์”

เคนเซย์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วปิดประตูเลื่อนกลับเข้าที่เดิม ชายหนุ่มเดินมานั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา ก่อนที่อยู่ๆ จะมีแสงสว่างวาบออกมาจากจี้สร้อยคอที่เคนเซย์สวมไว้

ฮารุฮานะปรากฏตัวออกมาในร่างกายของมนุษย์โดยที่ไม่มีคำสั่งของเคนเซย์ บางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็น สาวน้อยสองพันปีที่ดวงตาเริ่มกลับมามองเห็นแล้ว เดินเข้ามายืนใกล้ๆ พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปจับแก้มของเคนเซย์ไว้อย่างปลอบโยน

“วันนี้ฮารุฮานะจะไม่อวยพร”

ได้ยินคำนั้นแล้วอยู่ๆ เคนเซย์ก็น้ำตาไหลออกมาหยดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เขายกมือขึ้นมาจับมือของท่านฮารุฮานะไว้สองมือ แล้วก้มหน้าลงทาบหน้าผากตัวเองเข้ากับมือเล็กบางนั้น

“ใครไม่รัก แต่ฮารุฮานะก็รักเคนเซย์”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาแยกยิ้มออกเมื่อได้ยินคำนั้น อย่างน้อยเขาก็มีท่านฮารุฮานะที่อยู่เคียงข้างคอยปลอบใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด