ตอนที่แล้วตอนที่ 32 เริ่มต้นเข้าสู่งานประลอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 34 ลูกฉันน่ารักสำหรับทุกคน

ตอนที่ 33 นอกลู่ทางทางครั้งแรก


 

ตอนที่ 33 นอกลู่ทางทางครั้งแรก

 

เบื่อ...

เสวี่ยหงเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย ในตอนนี้เขานั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชมชั้นพิเศษสุด เห็นมุมดีชัดเจนแจ่มแจ๋ว ภาพการแสดงเปิดงานประลอง พิธีเปิด บทสวด กิจกรรมการเล่นดนตรี แสงสีชวนประทับใจ

แต่...

ต่อให้งดงามน่าตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน ทว่าเขาก็ต้องถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน ลองต้องมานั่งติดที่ ไปไหนไม่ได้ จะส่งเสียงเฮก็ไม่ได้ ออกรีแอคชั่นก็ไม่ดี ไอ้ครั้นจะส่งสายตาชายมองสาวงามจากต่างสำนักนั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ไม่น่าสนุกเอาเสียเลย

เมื่อจบพิธีเปิดแล้ว ก็ถึงตาของเหล่าผู้เข้าร่วมรอบคัดเลือกได้เดินเข้ามายังสนามจัดการแข่งขันเสียที เขาได้ยินเสียงกองเชียร์เฮดังลั่นสนาม เสวี่ยหงเยว่กวาดตามองโดยรอบเห็นแถวศิษย์สำนักตัวเอง สำนักสังกัดสกุลเหอ ไล่เรียงมากมาย เข้ามาเพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าแข่งขัน

เห็นแบบนั้นความรู้สึกบางอย่างก็ก่อเกิดในใจของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอหันไปมองทางซุนจ้าวหานและเหอไป๋หลาน ทั้งสองคนดูมีสีหน้าไม่ได้ต่างกันเท่าไรนัก

เสวี่ยหงเยว่กอดอก สีหน้าดูครุ่นคิดลงเล็กน้อย พยักหน้าอย่างเข้าใจในตัวของทั้งสองคน

ถึงเขาจะไม่ใช่พวกรักการต่อสู้ หรือคลั่งความเก่งกาจ แถมยังกายละเอียดยังแก่แล้ว แต่ด้วยจิตวิญญาณนักอ่าน เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าตัวเองอิจฉาศิษย์ตัวน้อย ๆ เหล่านี้อยู่พอตัว เพราะคนในสามสกุลใหญ่ทั้งประมุข ตลอดไปจนถึงทายาทประมุข ไม่อาจเข้าไปร่วมแข่งขันในประลองได้ เหมือนกับการให้พนักงานกินเงินเดือนมาแข่งกับลูกเจ้านายไง แม้จะไม่ผิดกฏ แต่ก็ขัดกับหลักการติดสินอย่างยุติธรรม

ยิ่งสกุลซุนยิ่งแล้วใหญ่ เดิมทีก็เดินทางสายธรรมมะ มีวิชาดีแต่ไม่ฝักใฝ่ต่อสู้ ศิษย์โดยมากก็ซึ้งในรสพระธรรมจนแทบจะลาโลก ละซึ่งกิเลส บวชกันเกือบหมด เข้าทำนองใครจะตี ใครจะฆ่ากันขอไม่เอี่ยว แต่ถ้าเผาศพก็นิมนต์มาได้พร้อมช่วยเสมอ ภาพลักษณ์สงบสุขขนาดนั้น ให้ลงสมัครเข้างานประลองตีรันฟันแทงกับใคร คงจะหมดสิทธิ

ทั้งที่งานประลองยุทธมันเป็นอีเวนท์ใหญ่ประจำนิยายจีน ติดป้าย Recommend! You Must Try it! แต่ไม่มีวาสนาได้ลองสัมผัส มันก็จะเศร้าหน่อย ๆ แบบนี้ล่ะนะ

เสวี่ยหงเยว่สั่นหน้าเล็กน้อย ก่อนจะไล่สายตาดูไปยังโซนของผู้ไร้สังกัด

อันว่าผู้ไร้สังกัดนั้นก็คือไร้สังกัดจริง ๆ นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่จีนจ๋าแถมการแข่งนี้เปิดโอกาสกว้างมาก ไม่ว่าใครที่ไม่ใช่คนในสกุลใหญ่อย่างพวกเขา ( – ฮือ) อยากลงแข่งก็ทำได้ทั้งสิ้นขอแค่เก่งและเอาตัวรอดได้ก็เพียงพอแล้ว เป็นแหล่งรวมดินเนื้อดีให้สำนักเล็ก สำนักใหญ่ปั้น หากเจอผู้ไร้สังกัดที่หน่วยก้านดี ก็จะมีการซื้อตัวดึงเข้าสำนักราวกับดึงตัวนักบอลเข้าสโมสร...

ทว่าเสวี่ยหงเยว่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นถึงอะไรบางอย่างคุ้นเคยอยู่บนลานรวมตัว เขาขยี้ตาอยู่หลายครั้งเพื่อเช็คดูว่ามันจะใช่อย่างที่เขาคิดหรือไม่ อาจจะเป็นคนคล้าย ๆ มองจากระยะไกลแล้วเหมือนมากก็ได้ แต่ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงร้อง ‘หา?’ ที่ดังจากเหอไป๋หลานก็ตอกย้ำเสียจนเขาหลอกตัวเองไม่ลง

ว่าไอ้ที่เห็นรวมกลุ่มอยู่ตรงสนามกับจอมยุทธ์ไร้สังกัดนั้นก็คือ...

เหอไป๋เทียน!!!

ในตอนแรกเขาคิดแค่เพียงว่าเหอไป๋เทียนจะมาในสถานะของผู้ร่วมชม อายุเด็กคนนี้ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าร่วมการประลอง แล้วทำไม ทำไม...

ถึงไปรวมกลุ่มอยู่ในแถวผู้เข้าร่วมสมัครได้เล่า!

พอนึกออกได้แบบนั้น เขานี้ถึงกับรีบหันขวับไปมองเหมินจิ้นเค่อซึ่งนั่นหลบหน้าหลบตา ทำหน้าคนใกล้ร้องไห้อยู่ไม่ไกลจากตัวเสวี่ยหงเยว่ มั่นใจได้เลยเดี๋ยวนั้นว่าไอ้ที่สองคนนั้นกระซิบกระซาบเมื่อวันก่อนคงเป็นเรื่องนี้แน่ๆ อยากยกส้นเท้าขึ้นก่ายหน้าผากอย่างบอกไมถูก จะคาดโทษก็ไม่ได้ จะดุว่าก็ไม่ดี

เสวี่ยหงเยว่มั่นใจได้อย่างสนิทแน่นว่าคนอย่างหมอนี่ขัดใครเป็นเสียที่ไหน ยิ่งเหอไปเทียนเป็นหนุ่มน้อยหน้าใส มีสกิลสาริกาลิ้นทองกับสายตาหมาน้อยนั่นอีก...เขานึกภาพออกเลยว่าตอนนั้นเหมินจิ้นเค่อจะต้องใจอ่อนยวบ บางเป็นกระดาษซับมันแน่ๆ

“ท่านไป๋หลาน...” เสียงของซุนจ้าวหานที่นั่งข้างกระซิบกับเหอไป๋หลานเบาๆ แต่ก็ดังราวกับจงใจให้เสวี่ยหงเยว่ผู้เบิกตำราวิชาหูเทพกินเผือกได้ยิน

“นั่นน้องชายของท่านไม่ใช่หรือ”

พอเหอไป๋หลานได้ยินแบบนั้นเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเสียให้ลั่น เสวี่ยหงเยว่ถึงกับมองแรงใส่เจ้าคุณชายเหอคนพี่ เขาสงสัยจัดเสียจนทนเก็กทำเป็นไม่สนร้อนไม่สนหนาวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“นั่นน้องชายท่านหรือ?” เสวี่ยหงเยว่แสร้งทำเป็นถาม และนั่นก็ทำให้เหอไป๋หลานพยักหน้า ดวงตาสีทองจับจ้องไปทางเหอไป๋เทียนที่ลานด้านล่าง สายตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทว่าต่อให้มีความรู้สึกหลายอย่างให้เห็นสักแค่ไหน สิ่งที่เด่นชัดที่สุดที่ออกมานั้นคงจะหนีไม่พ้น

ความชื่นชมและภูมิใจ

“ให้ตายสิไป๋เทียน เจ้าน้องชายคนนี้” หัวเราะเสียจนไหล่สั่นตัวโยนจนพอใจแล้วก็หันไปยิ้ม สายตานั้นยังคงจับจ้องไปยังเหอไป๋เทียนไม่วางตา เขาเป็นพี่ชาย เป็นคนเลี้ยงเด็กคนนี้มากับมือตั้งแต่เกิด แทบไม่เคยเห็นน้องชายตัวเองนอกลู่นอกทางทำผิดกฏเลยสักครั้ง

แต่ทว่า...เด็กคนนั้นก็มีสายเลือดสกุลเหอ

“ทำอะไรน่าเหลือเชื่อออกมาแบบนั้น ก็สมเป็นน้องของข้าดีออก” เขาตอบ หันไปยิ้มให้กับเสวี่ยหงเยว่เล็กน้อย สีหน้าดูระรื่นร่าเริงจนเสวี่ยหงเยว่เกือบเงื้อมือตบบ้อง แต่ก่อนที่จะมีใครข้อกระตุกจริงๆ เหอไป๋หลานก็ชี้นิ้วไปยังเหอไป๋เทียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“น้องชายข้าน่ารักดังเช่นที่ข้าเคยเล่าให้พวกเจ้าฟังใช่ไหมเล่า”

ด้วยคำถามนั้นทำให้เสวี่ยหงเยว่เผลอพยักหน้ารับเบา ๆ แต่ก็ได้สติขึ้นมาเสียก่อน นี่มันไม่ใช่เวลามาคุยกับเจ้าพี่หลงน้อง เขาควรเคลียร์ถามกับเหอไป๋หลานก่อนต่างหาก คน ๆ นั้นไม่เหมือนกับเขาที่รู้ว่าพระเอกมีพรอมตะหนังเหนียวตายยาก อย่างน้อยคนเป็นพี่ก็ต้องห่วงน้องกันบ้างสิ

“ไม่ห่วงหรือขอรับ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม

“ห่วงสิ...แต่การแข่งนี้วางมาตรการช่วยเหลือผู้เข้าแข่งไว้แล้วจำได้ไหม” เหอไปหลานตอบก่อนจะเงียบลงะเล็นน้อย

“อีกอย่างหนึ่งเด็กคนนั้นก็เด็กผู้ชาย จะทำอะไรฝืนกฏบ้าง นอกลู่นอกทางบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย” เขาพูดต่อระหว่างที่ที่สายตาทองงมองไปยังลานรวมตัวด้านล่าง ในตอนนี้กำลังดำเดินมาถึงการอธิบายกติการการเข้าร่วมแข่งขันรอบคัดเลือก

“เหมือนท่านน่ะหรือ?” ซุนจ้าวหานเอ่ยย้อน และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่พยักหน้ารับทันที เอาไปเลยสิบแต้มคุณชายรองสกุลซุน!

“ใช่” ยิ้มรับทันทีด้วยหน้าชื่นตาบาน หันมาทางเสวี่ยหงเยว่ที ทางซุนจ้าวหานที “อยากลงขันพนันกับข้าสักหน่อยไหมเล่าพวกเจ้า ข้าแทงข้างไป๋เทียนหมดหน้าตักเชียว”

เล่นเอาเสวี่ยหงเยว่และซุนจ้าวหานต่างหันมามองตากัน ส่งสัญญานให้เป็นเชิงแบบว่า…

...ไอ้ผู้ชายคนนี้แม่งไม่ไหวแล้ว...

เขาไม่อยากจะรับการพนันสักเท่าไร ไม่ใช่ว่าเพราะตัวเองเป็นคนดี แต่นิยายแนวนี้เป็นนิยายสูตรสำเร็จ เมื่อดำเนินเนื้อเรื่องมาสู่บทการแข่งขันประลองยุทธ์ทีไร ตัวชูโรงในการโชว์เทพก็เป็นพระเอกอยู่ดี ผลการชนะมันก็แปะอยู่กลางกระดานชัดเจนเสียตั้งแต่เห็นหน้าเหอไป๋เทียนบนสนาม ถ้าไม่ที่หนึ่งก็ต้องได้อันดับสูง ๆ แล้วเขาจะไปเล่นการพนันที่หวยล็อคแบบนั้นเพื่อ...?

ส่วนซุนจ้าวหานนั้น เสวี่ยหงเยว่ดูจากสีหน้า เดาได้ล้านเปอร์เซ็นว่าต่อให้อยากเล่นเหรียญลงพนันสักแค่ไหนก็เล่นไม่ได้ ไม่ใช่อะไรเลยนะ...ก็คนที่นั่งถัดจากเสวี่ยหงเยว่ และน่าจะอยู่ในระยะการได้ยินนั้นคือหลานซิ่นหลิงไงล่ะ ลองเล่นดูสิ เชื่อได้เลยว่าหลังจบงานจะมีคนโดนลากไปสวดยาว

“ไม่ขอรับ ท่านไป๋หลาน การเล่นพนันนั้นผิดซึ่งกฎของสกุลซุน เห็นทีตัวข้าอาจจะต้องขอปฏิเสธ หวังว่าท่านจะเข้าใจ” ซุนจ้าวหานเอ่ยให้ไวเมื่อเห็นสายตาคมกริบวาบมาจากหลานซิ่นหลิง ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะเบาๆ พลางขยับยิ้มดุจดังนางฟ้าที่แสนใสซื่อไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุขใด ๆ

เล่นเอาเสวี่ยหงเยว่ขึงตาหน้าตึงใส่ซุนจ้าวหาน อยากด่าไอ้ตอแหลออกมาให้ดังก้องสามภพมาก เอากฎสกุลมาอ้างเอาตัวรอด โถ ๆ ๆ ๆ ไอ้เลวหน้าใส อสูรหน้าหนาในคราบนักบุญอย่างเอ็งน่ะนะกลัวบาป กลัวผิดกฏสกุล ด๋อยเถอะ ใครวะมานั่งกินเหล้า เล่นไพ่นกกระจอกกับเขาตั้งแต่อายุยังไม่สิบห้าดี อย่าให้แฉ!

“แล้วเจ้าเล่าหงเยว่ มิสนหรือ” แล้วเหอไป๋หลานก็หันมาทางเสวี่ยหงเยว่ ชายหนุ่มที่กำลังเมามันกับการด่าซุนจ้าวหานในใจนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ส่งเสียงกระแอมเบา ๆ อย่างเสียมิได้

“ข้าคงต้องขอผ่านเช่นกันขอรับ...แต่ว่านะท่านไป๋หลาน หากท่านเทหมดหน้าตักไปที่น้องชายตัวเองเพียงผู้เดียว เกรงว่าศิษย์สำนักท่านรู้เข้าจะน้อยใจเอาได้นะขอรับ” เสวี่ยหงเยว่กล่าว กึ่ง ๆ จะดุ กึ่ง ๆ จะเตือน จนเหอไป๋หลานพ่นลมหายใจออกมาสีหน้าหน่ายเหนื่อยเพราะไม่มีคนเล่นด้วย

เสวี่ยหงเยว่ละความสนใจจากเหอไป๋หลาน มองไปยังสนาม มองเหอไปเทียนแล้วรอยยิ้มบางก็ปรากฏ ต่อให้อีกฝ่ายจะโกหกแอบมาสมัครแข่งก็เถอะ แต่ใจเขานั้นก็แอบนอกใจ เทจากการเชียร์ศิษย์ในสังกัดตัวเองไปหาเหอไป๋เทียนอยู่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็น

อะไรนะลำเอียง อยากด่าก็ด่ามาเลย ยังไงซะถ้าให้มองจากมุมมองคนอ่านของเขา ใจก็ย่อมอยากเอาใจช่วยพระเอกอยู่แล้วน่ะสิ!

เพราะงั้นลุยไปเลยลูกพ่อ!!

 

เหอไป๋เทียนเงยหน้ามองไปยังด้านบน ส่องสายตาหาที่นั่นชั้นพิเศษซึ่งพี่ชายของตนน่าจะนั่งชมอยู่ตรงนั้น

ทว่าจากมุมมองจากบนพื้นของเขา ส่องด้านบนเท่าไรก็เห็นได้ไม่ทันเจนนัก สิ่งที่ปรากฏมีเพียงเหอไป๋หลานตัวขนาดเท่ามดแดงจิ๋วกำลังหันซ้าย หันขวาคุยกับคนสองคนอยู่ ซึ่งคนผมดำน่าจะเป็นคนจากสกุลซุนและคนผมขาวก็น่าจะเป็นประมุขเสวี่ยหงเยว่

พอเห็นแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ว่าคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เด็กชายหรี่ตามองเล็กน้อย หวังว่าจะเห็นตรงนั้นได้ชัด ทว่าธงประดับก็โบกพลิ้วบังหน้าหน้าประมุขเสวี่ยก็อยู่นั่นแหละ จนเยอมแพ้ที่จะมองแล้วหันมาให้ความสนใจกับกติกาการแข่งขันที่ประกาศจากกรรมการสนามแทน

อย่างที่รู้ว่าการแข่งในรอบนี้คือการแข่งขันล่าปิศาจหรือผีร้ายที่เร้นกายบนเขาเสวี่ย คัดคนจากลำดับคะแนนสูงสุดที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ โดยจะมีลูกแก้วใสลงอาคมขนาดเท่ากับไข่มุกถูกร้อยกับเส้นเชือกเป็นสร้อยคอใช้เป็นหลักฐานในการเก็บคะแนน ปิศาจชั้นต่ำจะได้ตัวละหนึ่งคะแนน ส่วนระดับสูงว่านั้นจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นตามแต่ความยากในการปราบ ยิ่งสีบนลูกแก้วเข้มมากเท่าไร ก็เท่ากับว่าคะแนนจะสูงมากขึ้นเท่านั้น

กติกาเหมือนง่าย แต่ทว่าก็ไม่ใช่ง่าย เพราะเขาจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคะแนนต่ำสุดนั้นคือเท่าไร สูงสุดคือเท่าไร และต้องฆ่าปิศาจร้ายกี่ตัวถึงจะติดอันดับ และปิศาจที่ว่าจะไปหามาจากไหนกันแน่

เหอไป๋เทียนคิดแบบนั้น ถึงตนจะเคยเจอเคยปราบปิศาจมาบ้างแล้ว แต่นั่นก็เป็นระดับต่ำถึงระดับกลาง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะผ่านเข้ารอบคัดเลือกหรือไม่

เด็กชายรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำตอนนี้ไม่ถูก อายุไม่ถึงซ้ำยังขอแรงเหมินเกอปลอมแปลงข้อมูลจนแอบมาแข่งได้ มันไม่ใช่เรื่องดี ซ้ำเสี่ยงโดนด่าหูชา ทว่าหากเขาไม่ใช้โอกาสตอนออกเดินทางไกลมาเข้าแข่งขัน เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ทำอะไรแบบนี้อีกไหม กฎของสามสกุลคือทายาทไม่ควรลงสนาม แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าท่านพี่ ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นไม่ใช่หรือ

ดวงตาสีทองเงยหน้ามองไปยังที่นั่งคนดูอีกครั้ง มือกำตราหยกสลัดลายหงส์คู่เอาไว้แน่นขึ้น คาดหวังอย่างเหลือเกินว่าจะให้พี่ชายนั้นสังเกตเห็นตน สังเกตเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้

เมื่อเสียงอธิบายกติกานั้นจบลง ก็ถึงช่วงเวลานับถอยหลัง เสียงคึกคักเฮฮาจาผู้ร่วมชมลดหรี่ลงจนแทบเงียบสนิท และไม่ทันไร เสียงกลองประกาศเปิดการแข่งขันก็ตีดังระรัวราวกับสร้างความฮึกเฮิม มันประกาศก้องถึงการประลองภูมิความสามารของคนรุ่นใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

เสียงกลองดังลั่นสลั่น นกที่โผบินหลีกหนีจากเสียงดังนั้น กลีบดอกไม้ที่ปลิดปลิวไปยังที่ไกลแสนไกลบ่งบอกให้รู้ถึงบางสิ่งที่กำลังจะเริ่มต้นนับตั้งแต่ตอนนี้

และเมื่อเสียงรัวกลองจบลง เหล่าผู้เข้าแข่งขันก็มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าที่ใช้ประลองทันที!

เหอไป๋เทียนนั้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เหลือเป็นคนท้าย ๆ ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน เขายังไม่ได้ออกตัว คล้ายกับว่ากำลังทำสมาธิ แล้วพลันดวงตาสีทองของเด็กชายก็มีประกายวาวโรจน์ มือของเขาแตะไปยังด้ามกระบี่หานหลิ่ง กระเอ็นเย็นยะเยียบนั้นแผ่เข้าสู่ปลายนิ้ว ทว่าเขาไม่ได้เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว

“ข้าพร้อมแล้วขอรับท่านหานหลิ่ง” เหอไป๋เทียนเอ่ยพึมพำอย่างแผ่วเบา เขาพูดคุยกับดาบของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบทว่าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มั่นใจขึ้นจากแต่ก่อนนัก

เหอไป๋เทียนรู้สึกว่าตัวกระบี่นั้นสั่นเล็กน้อยหลังจากที่ตนพูดจบ คล้ายกับว่าหานหลิ่นนั้นการตอบรับกับสิ่งที่ได้บอกไป

เสียงแผ่วเบาได้ดังขึ้นมาในหัวของตัวเขา

“ข้าเองก็เช่นกัน”

เมื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขันไปหมดแล้ว ก็ถึงตาของซุนจ้าวหาน เขาลุกขึ้นมาจากที่นั่ง ตรงไปยังด้านหน้า ทีท่าของชายหนุ่มนั้นยังคงสุภาพสงบ ฝ่ามือเรียววาดออกไปปากพึมพำเป็นคาถาอะไรบางอย่าง ก่อนที่หยดน้ำขนาดเล็กจะค่อยๆ ถูดดึงดูดเข้าหาตน ทีละเล็ก ทีละน้อย

ก้อนน้ำทรงกลมขนาดใหญ่มากพอที่จะลอยวนบนฝ่ามือของซุนจ้าวหานก่อนที่เขาจะค่อยๆ ใช้มือดันมันไปด้านหน้า ให้สายลมพัดพามันเข้าไปยังกลางลาน และเมื่อถึงจุดที่เหมาะสมมันก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ จนกลายลูกบอลใสขนาดยักษ์

ซุนจ้าวหานพึมพำอะไรบางอย่างอีกครั้ง ก่อนที่จะทำให้บอลน้ำขนาดยักษ์นั้นฉายภาพที่เกิดขึ้นในการประลองให้ผู้ชมบนที่นั่งได้ดูกัน ชัดเจนแจ่มแจ๋ว 360 องศา!

และนั่นก็สร้างเสียงฮือฮาให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก ตื่นตาตื่นใจไปหมด รวมถึงตัวเสวี่ยหงเยว่ด้วย เขาตาโตขึ้นมาเล็กน้อยราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่ตรงหน้า เหลือเชื่อเป็นอย่างมากที่ได้เห็นความอลังกาลของการถ่ายทอดสดด้วยวิธีแปลกใหม่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก

FULL HD สุด ๆ!

ร่างสูงเดินกลับมาจากแท่นทำพิธี ซุนจ้าวหานสะโหลสะเหลโซเซเล็กน้อยจนหลานซิ่นหลิงต้องมาประครองกลับที่นั่ง เขาดูเหนื่อยเนื่องจากได้ใช้วิชาถ่ายทอดจิตและภาพทั้งหมดที่เขาเห็นในสนามประลองจากพลังหยั่งรู้ลงไปในบอลน้ำนั้นเพื่อให้ผู้ชมได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

“เหนื่อยไหม...?” เหอไป๋หลานเอ่ยถาม น้ำเสียงดูเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน

“ไม่มากหรอก...แค่ข้าแค่เสียเวลาที่ต้องเลือกว่าควรจะถ่ายทอดภาพไหนออกมาเท่านั้นน่ะขอรับ” เขาตอบ หลับตาลงเล็กน้อย ไม่นานนักสีหน้าก็กลับเป็นปกติ ซึ่งนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่มองภาพการถ่ายทอดสดบนสนามไปพลาง มองซุนจ้าวหานไปพลาง

คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทบทวนคำพูดของอีกฝ่าย

นั่นหมายความว่าพลังหยั่งรู้ของซุนจ้าวหานที่ฉายให้เห็นเป็นเพียงแค่บางส่วนที่เขามองเห็น และนั่น มันทำให้เสวี่ยหงเยว่สงสัยยิ่งนัก ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายมองเห็นนั้น จะมีมากมายสักแค่ไหน

กริ๊ก...กริ๊ก...

เสียงของลูกแก้วสีแดงเข้มค่อยๆ กลิ้งจากรางตกสู่นาฬิกาทรายขนาดใหญ่เบื้องล่างป้ายชื่อที่เรียงรายอยู่ตรงข้ามเวที หนึ่งชื่อ หนึ่งนาฬิกาทราย เป็นตัวบ่งชี้ถึงคะแนนของผู้เข้าร่วมงานประลองในคณะนี้ คะแนนนำอันดับหนึ่งนั้นคือ หยางลู่ ศิษย์สังกัดสกุลเหอ อันดับสองคือ จวินหวังซื่อ ศิษย์สังกัดเสวี่ย เอ้ย ไม่สิ ตอนนี้จวินหวังซื่อขึ้นนำ แต่ต่อมาไม่นานหยางลู่กลับไปเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง สลับกันขึ้นลงชนิดนาทีต่อนาที

ทว่า เมื่อละสายตาจากการแข่งชิงไวชิงได้ของสองคนนั้นไป ไล่ลงมาถึงชื่อที่ไต่อันดับพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากหลักร้อย มาเป็นเจ็ดสิบ เป็นห้าสิบ เป็นยี่สิบ และในตอนนี้ขึ้นมาเป็นอันดับเก้า จำนวนลูกแก้วกรอกลงไปในนาฬิกาทรายทะลักพรวดๆ เป็นเขื่อนแตก เรียกได้ว่ามาเร็วและแรงประดุจรถใหม่ฝ่าไฟแดง

ทายสิว่าชื่อใคร...

...พระเอกของเราไงจะใครล่ะ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด