ตอนที่แล้วบทที่ 13 ศาสตร์แห่งการคืนชีพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 ริมสระจินหมิง

บทที่ 14 โลกของลูกสัตว์ตัวน้อย


บทที่ 14 โลกของลูกสัตว์ตัวน้อย

 

มีนักต้มตุ๋นคนหนึ่งรู้ว่าบ้านของเจ้ามีฐานะร่ำรวย เมื่อสิบปีก่อนจึงฝังของอัปมงคลบางอย่างเอาไว้ใต้กำแพงทางทิศตะวันออกของบ้าน จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสมอย่างช้าๆ

 

การรอคอยครั้งนี้อาจรอนานสามถึงห้าปี หรือว่าอาจรอนานเป็นสิบปี จนกระทั่งเจ้าประสบกับความยากลำบาก นักต้มตุ๋นก็จะปรากฏตัวขึ้นมาและวางท่าทางเป็นผู้สูงส่ง รอให้เขาขุดเอาของอัปมงคลชิ้นนั้นออกมาจากใต้กำแพงบ้านที่ปกคลุมด้วยฝุ่นแล้ว เจ้าจะคิดอย่างไรกัน?

 

เจ้าคนหลอกลวงนั่นรอมานานสามถึงห้าปีหรือสิบปีก็เพื่อช่วงเวลาเช่นนี้เอง แต่ว่าถ้ากอบโกยผลประโยชน์ได้สำเร็จก็จะมีกินมีใช้ไปอีกนานเลยทีเดียว

 

นักบวชนอกด่านผู้นั้นไม่มีทางรอได้ถึงสิบปีแน่ สิ่งที่กล่าวมาเป็นแค่วาจาคลุมเครือที่นักต้มตุ๋นมีไว้ใช้หลอกผู้คน ขืนปล่อยให้ผ่านไปนานเป็นสิบปีจริง พวกเขาคงลืมหน้าของนักบวชไปจนหมดแล้ว ใครยังจะสนใจเรื่องที่เขาฟื้นจากความตายอีกเล่า?

 

เถี่ยซินหยวนเชื่อว่าเจ้าหมอนี่ต้องปรากฏตัวในไม่ช้านี้...หรืออาจจะปรากฏตัวในวันที่มีเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง ตอนนี้สิ่งเดียวเขาทำได้ก็คือการเฝ้ารอ

 

ถงจื่อไม่อาจต้านทานเสน่ห์เย้ายวนของอาหารเลิศรสได้ จึงหยิบฉวยอักษรเรียงพิมพ์แบบไม้ที่ผ่านการใช้งานจนสึกหรอมาให้เถี่ยซินหยวนเจ็ดแปดชิ้น แต่โชคดีที่ถึงจะใช้งานมาอย่างหนักก็ยังพอแยกแยะออกได้ เถี่ยซินหยวนรู้สึกพอใจอย่างมาก เขายกหูเถาถุงหนึ่งให้ถงจื่อโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย

 

นับตั้งแต่นั้นทุกสามวันหรือห้าวัน เถี่ยซินหยวนมักจะได้รับอักษรเรียงพิมพ์แบบไม้มาเพิ่มหลายตัว เมื่อผ่านไปไม่นานเขาก็รวบรวมตัวอักษรได้หนึ่งถุงเล็กๆ แล้ว

 

ตัวอักษรที่ได้มาล้วนเป็นตัวอักษรที่ใช้งานบ่อยจำนวนหนึ่ง มีเพียงอักษรดังกล่าวถึงจะมีอัตราการสึกหรอสูงมาก เถี่ยซินหยวนนำมาจัดระเบียบเรียงตามส่วนประกอบและหมวดนำตัวอักษร[1]จากนั้นจึงนำตัวอักษรที่ซ้ำและอักษรพิเศษพบเห็นได้น้อยครั้งคืนถงจื่อไป เขารู้สึกกังวลว่าถ้าหากปล่อยให้ถงจื่อขโมยมาแบบนี้ต่อไป บิดามารดาของเจ้าหนูนั่นคงพบเข้าสักวัน

 

บ้านของถงจื่อจะรับพิมพ์พุทธคัมภีร์มากที่สุด ผู้มีศรัทธาทั้งชายและหญิงที่ศึกษาพระธรรมอยู่ในบ้านของตัวเองส่วนใหญ่แล้วต้องการพุทธคัมภีร์จำนวนมาก ดังนั้นถึงได้เกิดกิจการขนาดเล็กอย่างโรงพิมพ์ของบ้านถงป่าน

 

สำหรับโรงพิมพ์ขนาดใหญ่นั้นมักจะใช้แม่พิมพ์อักษรแกะด้วยไม้อย่างประณีตบรรจง หนังสือที่พิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ชนิดนี้ไม่เพียงงดงามน่าประทับใจ อีกทั้งอักษรบนหน้ากระดาษยังเป็นระเบียบสวยงาม ต่อให้ไม่พลิกเปิดอ่านด้านใน แค่มองหนังสือก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งแล้ว

 

ในโลกอนาคตหนังสือที่ตีพิมพ์สมัยราชวงศ์ซ่งซึ่งมีราคาสูงลิบลิ่ว ก็หมายถึงหนังสือที่พิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะไม้ชนิดนี้นี่เอง

 

ส่วนหนังสือที่มีหมึกอักษรสีดำเข้มพิมพ์ด้วยอักษรเรียงพิมพ์อย่างธรรมดา แม้ว่าจะขายได้ในปริมาณมาก แต่คุณค่ากลับห่างชั้นกับการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์อย่างประณีตจนไม่อาจเทียบกันได้

 

เมื่อปี้เซิง[2]คิดค้นการเรียงพิมพ์ตัวอักษรขึ้นมา กิจการพิมพ์หนังสือจึงเกิดการพัฒนาก้าวหน้ากว้างไกลยิ่งกว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็ชักนำหายนะร้ายแรงถึงชีวิตมาสู่ตัวเอง

 

ตระกูลใหญ่ที่ผลิตงานแกะสลักและมีแม่พิมพ์แกะไม้เก็บสะสมมากมายนับไม่ถ้วน ไม่เพียงต้องการบั่นทอนจิตใจของปี้เซิง ยังคิดหาทางทรมานร่างกายเขาอย่างไร้ความปรานีอีกด้วย ทำให้เวลานี้เขายังโดนคุมขังเป็นแรงงานทาสตรากตรำอยู่ในค่ายทหารที่ชางโจว

 

“เจ้าก็แค่คนโง่!”

 

เมื่อถงจื่อเลียนแบบน้ำเสียงเย้ยหยันของบิดาพูดประโยคนี้ออกมา หัวใจของเถี่ยซินหยวนรู้สึกปวดแปลบ เขาตัดสินใจแล้วว่า ถ้าหากตัวเองประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือคิดจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร คงต้องเก็บขึ้นหิ้งเสียเลย หรือไม่ก็เก็บไว้ให้คนในครอบครัวใช้งานเท่านั้น ส่วนเรื่องการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ในเมื่อชาติก่อนเขาไม่เคยทำ ฉะนั้นในชาตินี้ยิ่งไม่มีทางทำหรอก

 

เวลาผู้อื่นใช้งานอักษรเรียงพิมพ์จะต้องวางเรียงเป็นแถวๆ แต่เวลาที่เถี่ยซินหยวนนำมาใช้กลับหยิบอักษรเหล่านี้ไปประทับทีละตัว นับว่าเป็นการก้าวถอยหลังอย่างมากทีเดียว

 

เมื่อได้ยินเสียงถงจื่อร้องไห้อย่างเจ็บปวดลอยมาจากถนนฝั่งตรงข้าม เถี่ยซินหยวนก็ถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะประคองขนมพุทราไว้แล้วเดินออกจากบ้าน

 

ขนมชิ้นโตในมือมารดาตั้งใจเก็บไว้ให้เขากินเวลาหิว ระยะนี้นางไปที่ร้านขายทังปิ่งโดยไม่ต้องพาเถี่ยซินหยวนไปด้วยแล้ว เพราะพบว่าบุตรชายเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำพูดของนางจริงๆ เมื่อสั่งไม่ให้ออกจากบ้านก็ไม่ออกจากบ้านไปไหนเลย

 

ในเมื่อเถี่ยซินหยวนเป็นเพียงลูกสัตว์ตัวน้อย(เด็กเล็กๆ) เขาย่อมมีสัญชาตญาณที่ควรมีเช่นกัน

 

เวลานี้เขาไม่ออกไปไม่ได้แล้ว ระดับความเข้มแข็งของถงจื่อขึ้นอยู่กับจำนวนและชนิดของอาหารรสเลิศ ถ้าหากไม่รีบนำขนมพุทราออกไปให้เห็น เจ้าหนูนั่นจะต้องหักหลังเขาโดยไม่ลังเลแน่

 

ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หลังจากถงจื่อเห็นขนมพุทราแล้ว เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นก็เบาลงทันที ไม่ว่าเหล่าถงป่านจะใช้รองเท้าฟาดอย่างไร ก็ไม่ส่งเสียงร้องเลยสักแอะเดียว

 

เรื่องนี้ทำให้เหล่าถงป่านรู้สึกสับสนเล็กน้อย ในบ้านยังมีอักษรเรียงพิมพ์เหลืออยู่อีกมากนัก ในฐานะที่บ้านเขาเปิดกิจการโรงพิมพ์หนังสือ ถ้าหากไม่เตรียมตัวอักษรเผื่อเอาไว้สักสิบกว่าชุด คงไม่สามารถหมุนเวียนใช้งานได้ คราวนี้อักษรเรียงพิมพ์ที่ขาดหายไปเป็นอักษรที่อีกไม่นานก็จะโดนคัดออกแล้ว จัดว่าเป็นเครื่องมือที่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร หรือว่าเขาจะปรักปรำบุตรชายเข้าเสียแล้ว?

 

แต่ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นบิดา หลังจากเขาเอารองเท้าฟาดลงไปแรงๆ อีกสองครั้ง ก็ทิ้งถงจื่อเอาไว้หน้าประตูแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป

 

หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร เถี่ยซินหยวนก็ก้าวเท้าออกจากบ้าน เดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถงจื่อแม้ยังส่งเสียงสะอื้นอยู่เล็กน้อย แต่ก็เดินมาที่ใต้ต้นไม้ด้วย เด็กชายยื่นมือให้เถี่ยซินหยวนขอขนมกินอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

 

“คราวหน้าไม่ต้องนำอักษรเรียงพิมพ์มาแล้ว แต่นำหมึกที่ฝนเรียบร้อยแล้วมาให้ข้า” เถี่ยซินหยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบาขณะส่งขนมให้ถงจื่อ

 

ถงจื่อกินอย่างตะกละตะกลามพลางพยักหน้ารับคำไปด้วย เขาไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เด็กเล็กๆ อย่างเถี่ยซินหยวนสามารถพูดจาได้คล่องแคล่วปานนี้

 

ชายผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าซอมซ่อขาดรุ่งริ่งเดินมาแต่ไกล เถี่ยซินหยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วผละจากใต้ต้นไม้ใหญ่เดินกลับบ้านของตน แล้วนั่งมองชายที่แต่งกายเหมือนขอทานอยู่ในบ้านด้วยสายตาเย็นชา

 

ชายผู้นั้นได้แต่ยืนอยู่ข้างถนนไม่อาจก้าวเข้าเขตลานบ้านตระกูลเถี่ย

 

เจ้าจิ้งจอกนอนอยู่หน้าประตูราวกับกองหิมะย่อมๆ ถ้าหากมิใช่รู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นจิ้งจอกตัวผู้ เถี่ยซินหยวนคิดว่าต้องมีสักวันที่เจ้าตัวดีกลายร่างเป็นปีศาจแน่ ทันใดนั้นมันก็ลุกขึ้นยืน เดินมาข้างหน้าสองสามก้าวคล้ายจะสัมผัสได้ว่ามีใครคิดวางแผนชั่วร้ายกับมัน เมื่อเห็นว่าใกล้เดินออกนอกระยะสิบก้าวจากกำแพงถึงได้หยุดชะงักแล้วเดินกลับมาที่เดิม

 

ถ้าหากชายผู้สวมชุดซอมซ่อไม่รู้สึกตัวได้เร็วพอ แล้วหยุดฝีเท้าที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเจ้าจิ้งจอก องครักษ์บนกำแพงสูงซึ่งมีท่าทีไม่เป็นมิตรคงยิงศรบนหน้าไม้นั่นออกมาแล้ว

 

สังหารหัวขโมยที่ล่วงล้ำเขตพระราชฐาน ตามกฎแล้วพวกเขาจะได้รางวัล....

 

องครักษ์หน้าตาถมึงทึงตะโกนด่าไล่ขอทานที่เกือบจะข้ามเขตให้ไสหัวกลับไปเสีย ชายขอทานเหลือบมองเถี่ยซินหยวนกับเจ้าจิ้งจอกที่อยู่ในเขตบ้านหลังน้อยด้วยความหวาดผวา พริบตาเดียวก็วิ่งหายไปไม่เหลือแม้แต่เงา

 

เจ้าจิ้งจอกเห็นว่าทำไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็หาวออกมาวอดหนึ่งแล้วมานอนหมอบตรงเท้าเถี่ยซินหยวน รับฟังคำเยินยอจากปากของเหล่าองครักษ์อย่างสบายอารมณ์

 

นับตั้งแต่กิจการของครอบครัวได้คนมาช่วยดูแลแล้ว มารดาของเถี่ยซินหยวนก็ขยันเดินกลับบ้านบ่อยครั้ง เมื่อมองเห็นบุตรชายหยอกล้ออยู่กับเจ้าจิ้งจอกในลานบ้านจากที่ไกลๆ ก็รู้สึกยินดียิ่งนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกิจการของนางได้กำไรดีหรือไม่ บนศีรษะถึงมีปิ่นงามปักอยู่กับเรือนผมสีดำสนิทเพิ่มขึ้นอันหนึ่ง เป็นปิ่นสีเงินแวววาวขยับไหวไปมาแลดูสะดุดตาเสียจริง

 

หวังโหรวฮวาอุ้มบุตรชายขึ้นมาหอมแก้มฟอดใหญ่เหมือนอย่างเคยแล้วยื่นเท้าเตะเจ้าจิ้งจอกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว นางรื้อค้นกล่องเก็บเงินนำเงินทั้งหมดที่มีออกมา จากนั้นวางกองเอาไว้ด้วยกันแล้วหยิบมานับทีละพวงใหญ่ๆ

 

หลังจากนับเงินเรียบร้อยก็มีสีหน้าเศร้าสลดลง เพราะว่าเวลานี้ยังเก็บเงินได้ไม่มากพออย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ นางพึมพำกับตัวเองว่า “เฮ่อ...ยังซื้อที่ตั้งร้านตรงถนนหม่าสิงไม่ได้เลย”

 

เถี่ยซินหยวนหยิบเครื่องประดับเงินลักษณะประณีตงดงามออกมาจากกล่องใบเล็กที่มารดามอบให้ เครื่องประดับชุดนี้ประกอบด้วยกุญแจเงิน[3]ชิ้นหนึ่งและกำไลเงินอีกสองวง นี่เป็นของขวัญล้ำค่าที่มารดาตั้งใจทุ่มเงินก้อนใหญ่สั่งทำในวันครบขวบปีของเขา

 

หวังโหรวฮวาปรายตามองบุตรชายแวบหนึ่ง แล้วเก็บกุญแจเงินและกำไลเงินสองวงเก็บใส่กล่อง นางดีดหน้าผากของเถี่ยซินหยวนเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “เอาของพวกนี้มาใช้ไม่ได้ ไปห่างๆ เลยนะ แม่กำลังหงุดหงิดอยู่เชียว”

 

เถี่ยซินหยวนฉวยเงินตำลึงก้อนหนึ่งจากรังของเจ้าจิ้งจอกมาวางตรงหน้ามารดาอีกครั้ง

 

หวังโหรวฮวาเหลือบมอง ลองหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าใต้ก้อนเงินมีตราประทับของทางการ ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วส่งคืนเถี่ยซินหยวน “เอาไปเล่นเถอะ บนก้อนเงินมีตราประทับของทางการ เงินพวกนี้เป็นของอันตรายไม่ควรนำไปใช้ ถ้าหากโดนจับได้ขึ้นมา มีโทษถึงตายสถานเดียว”

 

เถี่ยซินหยวนนำก้อนเงินยัดใส่รังจิ้งจอกตามเดิม

 

สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดสามคน ฐานะของเจ้าจิ้งจอกย่อมสูงที่สุดแน่นอน เพราะที่คอของมันห้อยป้ายสลักจากหินโซ่วซานเอาไว้ หวังโหรวฮวาจึงไปที่ว่าการอำเภอเพื่อนำชื่อเจ้าจิ้งจอกลงบัญชีทะเบียนราษฎร์ เพราะบนป้ายห้อยคอเขียนตัวอักษรใหญ่ๆ ว่า ‘ราษฎรของข้า’ นามลงท้ายยังเป็นฮ่องเต้อีกด้วย

 

เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงฮ่องเต้ เสมียนประจำอำเภอจึงฝืนใจยอมช่วยหวังโหรวฮวาแก้ไขทะเบียนบ้านของนาง โดยตระกูลเถี่ยที่มีเถี่ยซินหยวนเป็นเจ้าบ้านก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน (หรือว่าหนึ่งตัว) หวังโหรวฮวาคิดชื่อให้สมาชิกใหม่อยู่นานทีเดียว สุดท้ายนางก็ตั้งชื่อให้มันว่า หูหลี่

 

เถี่ยซินหยวนกลับเรียกหูหลี่เป็นเถี่ยหูหลี(จิ้งจอกแซ่เถี่ย) เขารู้สึกว่าตั้งชื่อตรงๆ เช่นนี้ดีว่าชื่อพ้องเสียงที่มารดาตั้งมากมายนัก

 

มารดาของเขาไม่เคยยอมให้พวกขุนนางเอาเปรียบตนได้ ในเมื่อบ้านนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาแต่ในนามคนหนึ่ง เงินค่าภาษีที่นาย่อมเพิ่มมาอีกส่วนหนึ่งด้วย หวังโหรวฮวาไม่สนใจของมีค่าพวกนั้นที่เจ้าหูหลี่นำกลับมาหรอก นางสนใจรัศมีความสูงส่งจากวังหลวงที่ปกคลุมทั่วร่างของมันต่างหาก

 

ถ้าหากบุตรกำพร้าและหญิงหม้ายไร้ที่พึ่งพาโดยสิ้นเชิง จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้อย่างไรกัน?

 

เถี่ยซินหยวนพบว่ามารดาเป็นผู้มีไหวพริบทางการค้าอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ร้านทังปิ่งพี่ชีไม่ได้ขายเพียงทังปิ่ง ยังขายอาหารรองท้องหรือกับแกล้มอีกหลายอย่าง ซึ่งร้านของนางไม่ได้กำไรจากอาหารประเภทนี้เท่าไร ส่วนอาหารที่ขายดีเหลือเกินก็คือเนื้อหมูพะโล้นั่นเอง

 

เวลานี้คนที่พอมีเงินโดยทั่วไปเมื่อเดินเข้าร้านทังปิ่งพี่ชี ไม่ว่าใครก็ต้องสั่งทังปิ่งชามหนึ่ง กับแกล้มสองอย่าง และเนื้อหมูพะโล้จานเล็กมานั่งละเมียดกินอย่างสบายใจ

 

สำหรับผู้มีฐานะเช่นหยางไฮว๋อวี้มักจะนำสุรามาด้วยกาหนึ่ง เขาจะนั่งรินเองดื่มเองผู้เดียวไม่สนใจใคร หรือบางครั้งอาจเรียกสหายที่ทำงานร่วมกันสามสี่คนมาดื่มกินอย่างคึกคัก

 

ฉะนั้นในร้านทังปิ่งของมารดาจึงมีสุราที่สั่งมาจากหน่วยงานของทางการเพิ่มขึ้นมา....

 

ในขณะที่ร้านเล็กๆ ร้านแรกของครอบครัวเพิ่งจะยืนหยัดอย่างมั่นคง นางก็วุ่นวายกับการคิดขยายกิจการร้านต่อไปของตระกูลเถี่ยแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานกิจการร้านทังปิ่งอันดับหนึ่งแห่งต้าซ่งก็คงปรากฏสู่สายตาของชาวเมืองหลวง

 

เพียงชั่วพริบตาเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเทศกาลในเดือนห้า ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการจัดงานแสดงความสามารถของกองทหารคัดเลือก ณ สระจินหมิง[4]

 

เถี่ยซินหยวนยังนึกว่าเป็นพิธีประเภทเดียวกับรายการตรวจพลสวนสนามในยุคสมัยที่เขาจากมา จึงรู้สึกสนใจอยากจะไปชมดูสักหน่อย แต่เมื่อฟังมารดาอธิบายแล้วถึงได้พบว่า แทนที่จะเรียกว่างานแสดงความสามารถของกองทหารคัดเลือก มิสู้เรียกว่าเป็นงานแสดงความสามารถของเหล่าดาวเด่นจากหอนางโลมในเมืองหลวงจะดีกว่า

 

กำลังหลักในการแข่งขันเรืองมังกร[5]แน่นอนว่าต้องเป็นกองทหารคัดเลือก แต่การแสดงอีกมากมายในยามค่ำคืน ล้วนมอบหมายให้กลุ่มผู้ดูแลหอนางโลมระดับแนวหน้าในเมืองหลวงร่วมมือกันจัดขึ้น ว่ากันว่าในงานนี้จะมีการคัดเลือกดาวเด่นดวงใหม่ที่งดงามเจิดจ้าที่สุดของเมืองหลวงด้วย

 

อย่างไรเสียเมื่อเห็นมารดาดูแลความเรียบร้อยของกระโปรงที่สวมอย่างกระตือรือร้น เถี่ยซินหยวนก็คิดว่าคงต้องไปชมการแสดงที่คึกคักที่สุดของต้าซ่งเข้าจริงๆ แล้ว ขอเพียงมารดาประทินโฉมเสียจนงดงามอลังการ เขากังวลว่าเป็นไปได้มากทีเดียวที่ตนต้องร่วมแสดงไปกับนางด้วย ได้ข่าวว่า...การแสดงอันครื้นเครงอย่างระบำมัจฉามังกรนี้ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น

 

“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไป!”

 

“ต้องไปสิ ไม่ไปได้ที่ไหน แม่แต้มดอกไม้(สีเหลืองทอง)ที่หน้าผากเรียบร้อยแล้ว เจ้าหยวนใส่ชุดลายดอกสีสดใสจะต้องโดดเด่นกลบรัศมีลูกบ้านอื่นจนหมดแน่”

 

เถี่ยซินหยวนพยายามหันหน้าหนี เพราะไม่อยากให้มารดาแต้มหน้าผากจนกลายเป็นเทพเอ้อร์หลางเสิน[6] เขาเอ่ยปากขอร้องอีกครั้งว่า “ข้าไม่อยากไป ข้าจะเล่นกับหูหลี...”

 

“ต้องไป แม่จ้างรถม่านเขียว[7]เอาไว้แล้ว วันพรุ่งนี้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนไปที่สระจินหมิง เหตุใดเจ้าจะไม่ไป!”

 

----------------------------

[1] ส่วนประกอบและหมวดนำตัวอักษร(偏旁部首)จะเป็นส่วนที่บ่งบอกว่าอักษรจีนตัวนั้นมีความเกี่ยวข้องกับอะไร

[2] ปี้เซิง(毕昇)ผู้คิดค้นวิธีการเรียงพิมพ์ตัวอักษรในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ซึ่งวิธีการที่เขาคิดค้นรวดเร็วกว่าวิธีการพิมพ์แบบแกะสลัก

[3] กุญแจเงิน(银锁)หรือกุญแจอายุมั่นขวัญยืน มีความหมายว่าคล้องเด็กเอาไว้เพื่อมิให้ภูตผีมาเอาตัวไปได้

[4] สระจินหมิง (金明池)หนึ่งในอุทยานหลวงที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้อยู่ในเมืองไคเฟิง(ไคฟง) มณฑลเหอหนานของจีน

[5] การแข่งขันเรือมังกร(龙舟赛)จะจัดขึ้นในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง (端午节)ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจีน (จันทรคติ) ของทุกปี

[6] เทพเอ้อร์หลางเสิน(二郎神)เป็นเทพตามคติความเชื่อของจีน ซึ่งคนไทยรู้จักในนามเทพสามตา มีอาวุธคือหอกสามแฉก

[7] รถม่านเขียว(碧油车)รถม้าที่มีผ้าม่านรถสีเขียว เป็นยานพาหนะสำหรับผู้หญิงในสมัยโบราณ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด