ตอนที่แล้วบทที่ 30 : ดอกไม้ แสงจันทร์ และการอาลัยจาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 : มีชีวิต

บทที่ 31 : อัตตะศิลาสีดำ


บทที่ 31 : อัตตะศิลาสีดำ

แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าสองแม่ลูก จนออกอาการแสดงสีหน้า มุ่นคิ้วแสบตา เอามือขึ้นปิดหน้าทำท่าทางแบบเดียวกันเป๊ะเหมือนถอดแบบ

เพราะถึงแม้ภายนอกโดยปกติสองคนนี้จะมีสัยและการแสดงออกแตกต่างกัน คนนึงห้าวแก่นมีพลังเหลือเฟือ ส่วนอีกคนละมุนนุ่มอ่อนหวาน แต่ในท้ายที่สุดอย่างไรทั้งสองก็ยังเป็นแม่ลูกกันอยู่กันอยู่ดี จึงไม่แปลกที่จะมีอะไรบางอย่างเหมือนๆ กัน โดยเฉพาะอาการที่แสดงออกมาตอนกำลังงัวเงียนี่เองที่บ่งบอกชัดเจนที่สุดรองลงมาจากรูปลักษณ์หน้าตาถึงความใกล้ชัดทางสายเลือด

เอเดลใช้นิ้วที่ปิดหน้าตัวตัวเองอยู่ค่อยๆ ฝืนแหวกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างขี้เกียจ ให้พอมองเห็นว่าฮอรัสกำลังเลื่อนเปิดผ้าม่านออกให้แสงอาทิตย์สาดเข้ามาในห้อง ขณะเดียวกันเธอก็เห็นเอเดลที่ยังฟุบอยู่ข้างเตียง แต่ลืมตาขึ้นแล้วหรี่จ้องไปทางฮอรัส บ่งบอกว่าทั้งสองคนคงต้องการขอเวลาอีกซักสองสามนาที ไล่ความเกียจคร้านจากบรรยากาศเย็นเยียบของยามเช้าในหน้าหนาวออกไป เพราะอย่างไรเมื่อคืนก็นั่งเถียงกันจนดึกดื่น

“ผมตรียมชาเอาไว้ให้แล้ว ยังร้อนอยู่” ฮอรัสเดินไปหยิบกาดินเผาคลือบสีขาวบนโต๊ะตัวเล็ก รินใส่ถ้วยชาเข้าชุดสีเดียวกันสองถ้วยช้าๆ เผยให้เห็นน้ำชาสีเข้ม ยังร้อนจนไอควันลอยกรุ่นส่งกลิ่นหอม โชยเตะจมูกสองสาวให้ต้องลุกจากท่านอนขึ้นมานั่งมองฮอรัสจัดวางถ้วยทั้งหมดลงบนถาดชงชาไม้ไผ่

ก่อนที่เขาจะใช้มือขวาที่เหลืออยู่ข้างเดียวของตัวเองช้อนถาดขึ้นมาแล้วเดินมายื่นให้กับสองสาวรับไปถือให้อุ่นมือ และจิบดื่มให้อุ่นกายตื่นจากความขี้เกียจ

“ขอบใจจ้ะ” เอลีอาเอ่ยพลางส่งยิ้มอบอุ่นให้กับฮอรัส

ผิดกับคนลูกที่นอกจะไม่ได้กล่าวขอบคุณแล้ว ยังเลิกคิ้วทำหน้าตาเหรอหราประหลาดใจ แต่ก็ยังรับชามาถือไว้ พลางสังเกตุลักษณะอันคุ้นตาของชุดชงชาชุดนี้ เพราะมันเป็นชุดเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านของเอลฟ์สาวไม่ผิดแน่ และแม่ของเธอก็คงไม่บ้าพกมันติดมาที่หมู่บ้านอยู่แล้ว หมายความว่าฮอรัสยอมถ่อออกไปถึงสวนสมุนไพรเพียงเพื่อชงชารับอรุณให้พวกเธอเท่านั้น

ถ้าไม่ติดว่าคนที่พูดถึง เป็นหุ่นสงครามที่ทำไม่เป็นแม้แต่จะแสดงสีหน้าหรือรู้สึกรักใคร่โกรธใครล่ะก็ มันก็คงจะฟังดูโรแมนติกไม่น้อย แต่เพราะแบบนั้นถึงทำให้เธอต้องหันไปมองหน้าเอลีอาผู้เป็นแม่ด้วยสายตาประหลาดแบบเดียวกัน แล้วกดเสียงเป็นลมกล่าวกระซิบออกไป

“ตอนอยู่บ้าน แม่ให้เขาทำแบบนี้ทุกเช้ารึเปล่าเนี่ย” เอเดลเอ่ยเสียงค่อยแผ่วเบา พลางจ้องหน้าเอลีอาผู้เป็นแม่ด้วยสายตาหรี่เล็กสื่อความนัยตั้งใจหยอกแกล้ง ทำเอาเอลฟ์สาวถึงกับแสดงท่าทางอึดอัดน่าสงสัยออกมา

“ปะ เปล่า... แม่ก็แค่สอนวิธีชงชาเฉยๆ” เอลีอาแก้ตัวด้วยน้ำเสียงอึกอัก ตะกุกตะกักเต็มไปด้วยพิรุจจนลูกสาวของเธอหรี่ตาจ้องมองหนักกว่าเดิม ราวกับจะใช้สายตานั้นมองให้ทะลุไปถึงหัวใจจนเธอทนไม่ไหวต้องเผลอเปิดปากสารภาพออกมา “ก็.. ก็ฮอรัสเขาชงให้แม่เอง แม่ไม่บังคับนะ”

“หืม..” เอเดลยังไม่ยอมลดละสายตา จ้องมองต่อไปอีกครู่หนึ่งทำตัวเหมือนลูกสาวหวงแม่ หวังจะได้อะไรมากกว่านี้ แต่พอเห็นว่าแม่ของเธอ ไม่ได้แสงท่าทีน่าสงสัยอะไรออกมาอีก จึงเลิกสนใจกลับไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงแพทย์จิบชาฝีมือฮอรัส “ฮื่อ! อย่างน้อยชาก็ใช้ได้” เธอว่าแล้วปั้นหน้ายิ้ม

แต่พูดได้ยังไม่ทันขาดคำ ฮอรัสเอาชุดชงชากลับไปวางไว้บนโต๊ะเสร็จก็เดินกลับมาหยุดยืนมองทั้งสองคนเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาจนชิดขอบเตียงแล้วยื่นมือไปตรงหน้าเอเดลอย่างกระทันหัน จนเธอตกใจสะดุ้งถอยห่าง โชคดีที่ชาในถ้วยไม่หก “ทะ ทำอะไรของนาย!”

“คุณเอเดลมีคราบเลอะที่ปาก ผมจะเช็ดให้” ฮอรัสเอ่ยเรียบๆ แต่ทำเอาสาวเจ้าหน้าขึ้นสี รีบวางแก้วชาแล้วใช้มือเช็ดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะคราบที่ว่านั่นไม่ใช่น้ำชา แต่เป็นคราบน้ำลายยืดมุมปากตอนที่เธอหลับ

“ไม่ต้องมายุ่งกับปากฉัน” เอเดลตวาดกลบเกลือนความเขินอาย ก่อนที่เสียงหัวเราะของเอลีอาจะดังขึ้นตามมาเบาๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั้งเอเดลหันมาทำหน้ามุ่ยใส่นั่นเองเธอถึงได้กลั้นขำแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มขอโทษแทน

เอลีอา จิบชาหยดหยดสุดท้ายในถ้วยแล้วจึงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ “ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือคลื่นใส้อะไรแล้วใช้มั้ยลูก” เอลฟ์สาวเปลี่ยนเรื่อง ส่วมบทกลับไปเป็นหมอยาถามอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งให้แน่ใจ

ส่วนเอเดลที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มแล้วยักไหล่หนึ่งทีแบบกวนๆ แทนคำตอบ จนผู้เป็นต้องแม่ต้องแค่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เธอจึงยอมตอบดีๆ

“ค่ะ ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”

“งั้นก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะนะ” เอลีอาสรุปอาการ ก่อนจะหยุดไปชั่วขณะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ วันนี้รับอัตตะศิลาด้วยนี่ ถ้างั้นก็ลุกได้แล้ว”

“คิดอีกทีหนูว่าหนูเริ่มรู้ไม่ค่อยสบายขึ้นมาซะแล้วสิคะ” เอเดลพูดพลางแสร้งปั้นหน้าอ่อนแรง เล่นละครล้มพับนอนลงกับเตียงอีกครั้ง พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอยังมีงานต่ออีกในฐานะนักผจญภัยระดับสูง แต่พอเห็นผู้เป็นแม่เท้าสะเอวไม่ยอมเล่นด้วยจึงลุกกลับขึ้นมานั่งตามเดิม

“นี่อย่าล้อเล่นสิ แม่ก็มีงานต้องทำรู้มั้ย เดี๋ยวเก็บของเสร็จแม่ก็จะกลับไปที่สวนแล้ว”เอลีอากล่าวเร่งเสียงจริงจังขึ้นกว่าเดิม ระหว่างที่เดินไปเก็บของใส่กระเป๋าย่าม ตั้งใจว่าจะสะสางธุระในหมู่บ้านโดยเฉพาะกับสมาคมพานิชย์เสร็จก็คงจะกลับไปที่สวนสมุนไพรเลย

“ให้ผมกลับไปด้วยรึเปล่า” ฮอรัสพอได้ยินว่าเอลีอาจะกลับไปที่สวนก็เอ่ยถามเสียงเรียบ

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ วันนี้เธอต้องรับอัตตะศิลาแล้วนะ... ยังไงก็ฝากดูแลเอเดลด้วยนะจ๊ะ” เอลีอาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูพลางกล่าวอย่างนุ่มนวลเหมือนเคย เว้นช่วงคำพูดฝากฝังลูกสาวเอาไว้กับฮอรัส ทำเอาเอเดลต้องแอบกลอกตาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่เอลฟ์สาวจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งทั้งสองคนเอาไว้ลำพัง แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงส่งท้าย “แล้วก็เอเดล เก็บห้องบ้างนะลูก”

สิ้นเสียงของเอลีอา เอเดลก็พลันกดเสียงต่ำคำรามออกมาเบาๆ ในลำคอก่อนจะหันมองร่างของฮอรัสที่ยังห่มผ้าผืนใหญ่ปกคลุมร่างกายอำพรางแขนที่ขาดไป แล้วถอนหายใจออกมาด้วยยังรู้สึกผิด

เพราะถึงอีกฝ่ายจะแสดงออกราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยธรรมดาเหมือนโดนมดกัดเป็นตุ่มวันสองวันก็หาย แต่สำหรับคนทั่วไปนั่นมันคือความทุพพลภาพพิการแขนขาด ไม่ใช่อะไรที่จะยอมรับแล้วปล่อยเลยตามเลยได้ง่ายๆ

“’งัน... นายก็เป็นคนที่ต้องดูแลฉันสินะ ฮะ ฮะ..” เอเดลว่าพลางใช้นิ้วเกาแก้มตัวเองเบาๆ ในบรรยากาศที่จู่ๆ ก็น่าอึดอัดขึ้นมาเสียเฉยๆ พลางส่งเสียงหัวเราะแข็งเว้นช่วง ฟังดูก็รู้ว่าเป็นการประชดคำพูดของเอลีอาที่ขอให้ฮอรัสดูแลเธอ แทนที่จะเป็นเธอดูแลฮอรัส

“ผมจะดูแลคุณเอเดล...” เขาเอ่ยหน้าตายเป็นการยืนยันคำขอของเอลฟ์สาว แต่ทำให้คนที่ถูกพูดถึงทำหน้าเหยเก

“ฟังแล้วขนลุกชะมัด แต่เอาเห๊อะ” เอเดลทิ้งเสียงสูง พร้อมกับกระโดดลงจากเตียงแพทย์ ใช้มือปัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้เรียบร้อย แล้วพูดต่อ “มาเถอะ วันนี้จะได้รู้กันว่านายจะได้อัตตะศิลาชั้นไหน” เธอคว้าคันศรเหมันต์ที่แขวนอยู่ขึ้นมา ตั้งใจจะสะพายไหล่แต่ลืมตัวไปว่าตอนนี้มันไม่ใช่ศรคันเดิมที่มีช่องให้สามารถสะพายคาดได้เหมือนเดิมแล้ว เพราะกลายเป็นธนูทดกำลังมีกดไกและสายพันเกี่ยวกันจนไม่มีช่องว่างจึงจำใจต้องถือเอา ก่อนจะเดินนำฮอรัสออกไปยังสมาคม

 

เสียงนกเจื่อยแจ้วฉอเลาะดังระงมลอดหน้าต่างเข้ามาภายในห้องรูปสีเหลี่ยมคางหมูแบบหน้าจั่วขนานใหญ่เกือบห้าสิบตารางเมตร ซึ่งเป็นห้องทำงานของหนึ่งในคนที่มีอำนาจตัดสินใจมากที่สุดในสมาคมนักผจญภัยแห่งเทรียล หรือก็คือหัวหน้านักวิเคราะห์สาวตัวน้อยนามว่าไอน์

ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ไม่เข้ากับขนาดตัวเจ้าของ กำแพงฝั่งหนึ่งถูกฝังกระดานชนวนขนาดยักษ์แบบแยกสี่ส่วนเอาไว้สำหรับจดบัดทึกข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นและต้องเห็นเป็นการย้ำเตือนความจำตลอดเวลา ซึ่งมันก็ถูกใช้อย่างคุ้มค่าไม่เสียเปล่าเพราะเต็มไปด้วยข้อความ รูปวาดแผนพังความคิดมากมายแน่นเอียดไปหมด

ตรงกันข้ามกับกำแพงสองข้างที่ขนาบอยู่ เพราะแทนที่จะเป็นแผนผังหรือข้อมูลที่ต้องใช้ตรรกะกระบวนการวิเคราะห์มันกลับเป็นกำแพงอิฐสีหม่นธรรมดาๆ แต่เต็มไปด้วยผืนผ้าใบเปื้อนสีบนกรอบไม้มากมายที่ห้อยเยอะจนเกยกัน ทุกชิ้นถูกแต่งแต้มด้วยสีสันเป็นงานจิตรกรรมนามธรรมที่คนทั่วไปไม่อาจมองออกหรือเข้าใจว่ามันคือภาพอะไรแน่ บางชิ้นดูผ่านๆ เหมือนเด็กเล่นสี แต่หากดูให้ดีจะเห็นรายละเอียดอันซับซ้อน

และจากผ้าใบเปล่าที่กองม้วนอยู่บนพืนกับขวดสีมากมายที่เรียงรายอยู่ข้างๆ ขาตั้งกรอบผ้าใบ บ่งบอกไปในทางเดียวกันว่าภาพเขียนทั้งหมดที่แขวนอยู่ในห้องนี้คือฝีมือของชาวช่างสาวอย่างไอน์แน่นอน

ขณะเดียวกันพื้นที่กำแพงด้านหลังทั้งหมดก็ถูกทำให้เป็นชั้นวางหนังสือและที่เก็บเอกสารขนาดใหญ่สูงเกือบสามเมตรจนต้องมีบันใดพาดไว้สำหรับคนตัวเล็กแบบชาวช่างโดยเฉพาะ

และที่กลางห้อง ถัดจากโต๊ะทำงานตัวจ้อยของไอน์มาเล็กน้อย ยังมีโต๊ะกาแฟเตี้ยขนาดมาตรฐานตัวยาว ไม่มีชุดเก้าอี แต่มีเบาะบางๆ เป็นหมอนรองนั่งสำหรับรับแขกรวมทั้งใช้เป็นที่ประชุมชั่วคราวในบางสถานการณ์ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแน่นอนว่ารวมถึงครั้งนี้ด้วย

ซึ่งนั่นเองคือเหตุผลที่ครึ่งเอลฟ์สาวเอเดล และหุ่นสงครามฮอรัส ต้องมานั่งจ่อมอยู่บนเบาะ รอให้เจ้าของห้องเสร็จธุระกับเอกสารประจำวันที่กองอยู่

“ทำไมถึงไม่ให้ฮอรัสไปรับอัตตะศิลาพร้อมกับคนอื่นล่ะไอน์ ฉันว่าหมอนี่ชักจะได้อภิสิทธิ์เยอะกว่าชาวบ้านเขามากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง” เอเดลกระดิกนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะด้วยความเบื่อ พลางเอ่ยปากถามคำถามไปยังนักวิเคราะห์สาวซึ่งยังง่วนอยู่กับการอ่านทวนข้อมูลของนักผจญภัยฝึกหัดที่จะต้องเอาไปแจกแจงที่ละคนในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้

“ฉันเองก็ไม่อยากพูดแบบนี้หรอกคะ แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคุณฮอรัสมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะพวกนักผจญภัยฝึกหัดจริงๆ นั่นแหละ” ไอน์ส่งเสียงตอบจากโต๊ะทำงานโดยไม่ละสายตาจากเอกสารและข้อมูลในมือเลยแม้แต่น้อย “ดูเหมือนพวกนักผจญภัยฝึกหัดกับพวกคนนอกหมู่บ้านจะไม่ยังไม่รู้ว่าฮอรัสยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นนักผจญภัยน่ะค่ะ ทุกคนคิดว่าเขาสังกัดกับเราอยู่แล้ว ซึ่งมันส่งผลกับความน่าเชื่อถือมากพอสมควร ไม่ใช่แค่กับสมาคมเราแต่รวมไปถึงสมาคมพาณิชย์ด้วย แต่ที่สำคัญทีสุดคือวันนี้ในพิธีมอบอัตตะศิลาคงมีพวกจากสังกัดอื่นมาเก็บข้อมูลเพียบแน่ๆ ฉันอยากให้เรื่องของฮอรัสมันเล่าแบบตำนานที่มีมูลความจริง มากกว่าความจริงที่จับต้องได้เพราะแบบแรกมันแพร่ไปเร็วกว่าและยังปลอดภัยกว่าด้วยค่ะ”

ไอน์อธิบายเหตุผลที่เรียกให้ทั้งสองคนแยกมารับอัตตะศิลากับมือเธอเองที่นี่ อีกทั้งอย่างไรระบบมาตรฐานทั่วๆ ไปเกี่ยวกับการแนะนำหรือส่งมอบภารกิจต่างๆ ให้กับนักผจญภัยระดับอัญมณีก็จะต้องดำเนินการโดยนักวิเคราะห์ระดับสูงอยู่แล้ว จะใช้นักวิเคราะห์มือใหม่ระดับล่างทั่วไปก็ใช่เรื่อง

“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยมั้ยคะ” ในที่สุดไอน์ก็ตบเอกสารในมือลงเก็บ ก่อนจะหยิบถุงมือมาใส่อย่างมิดชิดแล้วไขกุญแจตู้เก็บของ หยิบเอากล่องไม้รูปเหลี่ยมเรียบๆ กว้างยาวประมาณครึ่งศอกหนาหนึ่บคืนขึ้นมาถือ แล้วออกจากโต๊ะทำงานไปหาทั้งคู่

เธอจัดการวางกล่องไม้ลงตรงหน้าฮอรัส ก่อนจะเลื่อนเปิดฝากล่องออกมาเผยให้เห็นก้อนผลึกสีดำและสีขาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยซึ่งวางเรียงรายสลับสีกันอยู่บนผ้ากำมะหยี่ทอแบบเป็นกระจุกนุ่มหุ้มด้านในกล่องไม้เอาไว้เพื่อกันกระแทก ก่อนที่ไอน์จะใช้นิ้วซึ่งมีถุงมือครอบปกคลุม บรรจงหยิบผลึกในนั้นขึ้นมาวางไว้ข้างนอกสองชิ้น ชิ้นนึงสีดำอีกชิ้นสีขาว

“นี่คือฐานอัตตะศิลาค่ะ ฮอรัส... อย่างที่คุณเอเดลคงเคยเล่าให้ฟังแล้วถึงคุณสมบัติความสามารถของมันในการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามความสามารถของของผู้ถือครอง แต่นอกจากนั้นแล้วคุณสมบัติสำคัญอีกอย่างที่ทำให้นักผจญภัยทุกคนจำเป็นต้องพกอัตตะศิลาติดตัว ก็คือความที่มันมีคู่ศิลาซึ่งเรียกหากัน ทำให้สามารถใช้มันในการตรวจสอบว่าผู้ถือครองอัตตะศิลาชิ้นนั้นยังมีชีวิตหรือไม่ ซึ่งเราใช้ข้อมูลตรงนี้เพื่อตัดสินใจส่งกำลังช่วยเหลือหรือกู้ภัยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้” ไอนเริ่มอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าอัตตะศิลาช้าๆ ให้ฮอรัสรัสฟัง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ แล้ว เขาก็กลายเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายขึ้นมาทันที

“ส่วนวิธีที่จะเปิดใช้ความสามารถและครอบครองอัตตะศิลาก็ไม่ยากค่ะ แค่สัมผัสถูกมันโดยตรงพร้อมกันทั้งชิ้นสีขาวและสีดำเพื่อจับคู่ศิลาก็พอ โดยที่สีขาวจะกลายเป็นคู่ศิลาสำหรับใช้ตรวจสอบ เราจะเก็บชิ้นสีขาวไว้ ส่วนสีดำจะกลายเป็นอัตตะศิลาซึ่งจะเปลี่ยนสันฐานไปตามระดับความสามารถ... ถ้าหากพร้อมแล้วก็แบมือมาได้เลยค่ะ ฉันจะได้วางมันลงไปแล้วมาดูกันว่าอัตตะศิลาจะเปลี่ยนเป็นระดับไหน” ไอน์กล่าวอธิบายน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่ฮอรัสยื่นมือข้างเดียวที่มีอยู่ออกไปให้เธอ

นักวิเคราะห์สาวพอเห็นว่าฮอรัสพร้อมแล้วจึงจัดการใช้ถุงมือหยิบผลึกทั้งสองชิ้นขึ้นมาวางบนมือของเขา และฉันพลันนั้นเองในความตื่นเต้นของสองสาว ผลึกทั้งคู่ค่อยๆ เรืองแสงสีม่วงออกมาขณะที่มันเริ่มจับคู่กัน แล้วหลังจากนั้นไม่นานนักผลึกสีดำก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง

มันค่อยๆ ขุ่นขึ้นเรื่อยกลายเป็นหินอ่อน แต่ครู่เดียวก็กลับกลายเป็นหินอาเกตสีสวย แล้วค่อยๆ มีสีเขียวเข้มมากขึ้นจนกลายเป็นหยกในที่สุด

แต่ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อมันทำลายกำแพงขีดจำกัด แปรสภาพจากเขียวหยกค่อยๆ ใสสะอาดเป็นประกายเขียวมณีมรกต และความตื่นตาของสองสาวยิ่งทวีมากขึ้นอีกตอนที่สีของมันแปรเปลี่ยนไปจากเขียวกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มแบบไพลิน บ่งบอกว่าตอนนี้ฮอรัสคือนักผจญภัยระดับสูงที่สุดของเทรียลแน่นอนแล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้ไอน์เผลอส่งเสียงร้องประหลาดในลำคอคือตอนที่ไพลินเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง พร้อมกับรอยร้าวเล็กๆ เท่าเส้นขนแมว แต่รอยร้าวที่ว่านั้นกลับส่องประกายสะท้อนออกมาเป็นสีแดงและมันก็กำลังร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แม้แต่เอเดลก็ยังต้องมือปิดปากตัวเองอย่างระทึก

แต่แล้วในเสี้ยวตาเรื่องไม่ขาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออัตตะศิลาของฮอรัส ส่งเสียงหวีดแหลมแสบแก้วหูออกมาอย่างรุนแรง ก่อนที่มันจะหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็วเหลือขนาดเพียงแค่ครึ่งเดียวและเปลี่ยนสีจากไพลินซึ่งกำลังจะกลายเป็นทับทิมอยู่แล้วนั้น กลายเป็นสีดำสนิทราวกับคืนเดือนมืด ไม่สะท้อนประกายอะไรออกมาแม้แต่แสงอาทิตย์

พร้อมๆ กันผลึกขาวซึ่งเป็นคู่ศิลาเองจู่ๆ ก็แตกออกละเอียดคามือของฮอรัสไปด้วย สร้างความฉงนปนตกใจให้กับสองสาวเป็นอย่างมาก

“มันหยุดแล้ว... งั้นนี่ก็เป็นหินแห่งตัวตนของผมใช้รึเปล่า” ฮอรัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ อย่างเรียบเฉยพร้อมกับใช้ดวงตาจ้องมองหินสีดำด้านในมือตัวเอง

เป็นเวลาเดียวกันที่ไอน์และเอเดลหันมามองหน้าประสานสายตา เพราะพวกเธอรู้ว่าเหตุผลที่จะทำให้ผลึกสีขาว หรือคู่ศิลาแตกสลายลงไปแบบนี้ได้มีเพียงแค่อย่างเดียว คือเจ้าของของมันได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด