ตอนที่แล้วบทที่ 14 พลังของม่วง (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 พลังของม่วง (4)

บทที่ 15 พลังของม่วง (3)


บทที่ 15 พลังของม่วง (3)

 

        ม่วงแหงนหน้าคำราม ส่วนอัศวินเกราะเหล็กหนักที่พุ่งเข้ามาใกล้ก็แทบจะเปลี่ยนท่าทีไปในพริบตา อสูรเกราะเหล็กทุกตัวแทบจะฝืนแรงคนยกขาผงาดขึ้นพร้อมกัน แรงพุ่งไปข้างหน้าหยุดชะงักกะทันหัน เนื่องจากพุ่งเร็วเกินไป อสูรเกราะเหล็กตัวข้างหลังจึงชนปะทะตัวข้างหน้า เสียงกระทบกระทั่งระหว่างเสื้อเกราะของอัศวินเกราะหนักดังต่อเนื่องกันเป็นระลอก ถึงกับมีเสียงทวนอัศวินแทงทะลุร่างคนตามด้วยเสียงร้องโหยหวนดังแว่วมาด้วย กองทัพอัศวินเกราะเหล็กหนักร้อยคนที่ยังทรงพลังน่าเกรงขามก่อนหน้านี้ กลับโกลาหลขึ้นมาในชั่วพริบตา

 

เย่อินจู๋เชื่ออย่างสุดใจว่าตัวเองไม่มีวันลืมท่าทางตอนที่ม่วงคำรามได้ อารมณ์อันป่าเถื่อน ลมหายใจอันกระหายเลือด สายตาอันเย็นชานั้น ประทับลงในส่วนลึกของสมองอย่างลึกล้ำไม่ขาดสาย

 

เหล่าอัศวินเกราะหนักต่างพากันตกใจโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าท่ามกลางเสียงแผดคำรามกึกก้อง หัวใจของพวกเขาประหนึ่งจะกระเด็นออกมาจากคอหอยลูกตาก็ไม่ปาน และตอนนี้อสูรเกราะเหล็กที่เคยติดตามพวกเขาไปออกศึกในสนามรบเหล่านั้นกลับสั่นเทาอยู่ข้างใต้พวกเขา บางตัวถึงขั้นน้ำลายฟูมปากและจมูก

 

“ไสหัวไป” ม่วงคำรามเสียงต่ำ ก้าวออกมาข้างหน้าก้าวใหญ่ และตอนนี้อินจู๋ก็ตกลงมาข้างหลังเขาพอดี

 

ความเร็วของม่วงไม่เร็วนัก แต่ทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้าล้วนให้ความรู้สึกแข็งแกร่งดั่งหินผา อสูรเกราะเหล็กของอัศวินเกราะหนักด้านหน้าสุดทรุดยวบลงไปกับพื้น สายตามองเห็นเด็กหนุ่มผมม่วงใกล้เข้ามา จึงเอาทวนอัศวินเสือกแทงออกไปหาม่วง

 

ม่วงขยับแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาฉับไวและเรียบง่าย กระบองเหล็กสีดำยาวสองเมตรกวาดออกไป ทวนอัศวินห้าเล่มกับเจ้านายของมันแทบจะปลิวกระเด็นออกไปในพริบตา ร่วงตกลงห่างจากริมถนนหลวงสิบเมตร ทวนอัศวินที่หลอมจากเหล็กกล้าของพวกเขากลับขดงอเหมือนกุ้ง

 

ม่วงเดินไปถึงตรงหน้าอสูรเกราะเหล็กที่ไร้เจ้านาย การเคลื่อนไหวฉับไวเช่นเคย เท้าขวาเตะกวาด อสูรเกราะเหล็กที่น้ำหนักเกินกว่าสองร้อยกิโลกรัมตัวหนึ่งลอยคว้างออกไป หล่นกระแทกอย่างหนักหน่วงท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน การเคลื่อนไหวเหมือนเช่นเคย อสูรเกราะเหล็กห้าตัวร่วงหล่นไปด้านข้างทั้งหมด ทำให้ทิศทางที่ม่วงมุ่งหน้าไปโล่งกว้างขึ้นมาก

 

เหล่าอัศวินเกราะเหล็กหนักนอกเหนือจากที่โดนลูกหลงบาดเจ็บก่อนหน้านี้ ตอนนี้ต่างก็ปีนขึ้นมาบนหลังอสูรเกราะเหล็ก พวกเขาไม่รู้สึกถึงพลังยุทธ์จากตัวของม่วง แต่พลังที่อาละวาดอยู่นั้นกลับทำให้พวกเขาหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ อัศวินเกราะเหล็กหนักห้าคนปลิวกระเด็นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว อสูรเกราะเหล็กที่เคยมุทะลุดุดันกลับโดนเตะปลิวเหมือนฟางข้าว ถึงขั้นแม้แต่ขัดขืนสักเล็กน้อยก็ยังไม่กล้า ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร!

 

“ไปซะ” ม่วงคำรามเสียงต่ำอีกครั้ง คราวนี้ เหล่าอัศวินเกราะหนักถึงกับไม่กล้าจู่โจมอีก เบื้องหน้าพลังอันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง พวกเขาแยกย้ายกันเงียบๆ หลีกออกเป็นทางเดินสายหนึ่ง ถึงขั้นพยายามลากอสูรเกราะเหล็กของตัวเองที่ทรุดยวบลงกับพื้นไปด้านข้างอย่างสุดกำลัง

 

ม่วงเชิดหน้าพลางสาวเท้าเดินไปข้างหน้า ราวกับมองไม่เห็นทวนอัศวินที่ถูกแสงอาทิตย์ส่องเป็นประกายวาววับสองข้างทางแม้แต่น้อย อินจู๋มองม่วงที่อยู่ข้างหน้าอย่างสงสัยใคร่รู้ เดินตามเขาไปข้างหน้าพร้อมกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นม่วงใช้พลังอาวุธ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าพลังของม่วงจะแข็งแกร่งอย่างนี้ และเป็นแค่พลังอย่างเดียวเท่านั้น

 

ไม่มีใครกล้าขัดขวาง แม้แต่คนเดินถนนที่ผ่านไปมาเมื่อเห็นภาพนี้ก็ยังไม่กล้าหายใจเสียงดัง จนกระทั่งร่างของม่วงและอินจู๋หายลับไปที่สุดปลายถนน อสูรเกราะเหล็กเหล่านั้นจึงค่อยๆ ฟื้นคืนกำลังเคลื่อนไหว

 

อัศวินเกราะหนักห้าคนที่ถูกกระบองฟาดกระเด็นล้วนแขนขวาแตกหักทุกส่วน พาหนะของพวกเขา อสูรเกราะเหล็กห้าตัวนั้นไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก ชิ้นส่วนเครื่องในทะลักออกมาจากปากพวกมันอย่างต่อเนื่อง

 

“ม่วง เจ้าเป็นนักรบเหรอ?” อินจู๋เอ่ยถาม

 

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” แววตาคลุ้มคลั่งของม่วงเลือนหายไปโดยสิ้นเชิง กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

 

“ม่วง เมื้อกี้ทำไมต้องลงมือด้วยล่ะ?”

 

ม่วงเหลือบมองท้องฟ้าสีคราม ก่อนกล่าวเสียงเรียบว่า “เพราะไม่มีสัตว์เวทตัวไหนทำให้ข้าหลีกทางได้ ต่อให้เป็นมังกรก็ไม่ได้”

 

อินจู๋จ้องมองม่วงอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง “ม่วง เจ้ารู้ไหม? เมื่อกี้เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าแข็งแกร่งมาก แต่ข้ากลับสัมผัสไม่ได้ถึงสาเหตุที่เจ้าแข็งแกร่ง เจ้าใช้พลังยุทธ์เป็นไหม?”

 

“ไม่เป็น เพราะข้าไม่ต้องการ” ม่วงเหลือบมองอินจู๋ จู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าจะปกป้องข้าไม่ใช่เหรอ?”

 

อินจู๋ก็ยิ้มเช่นกัน “แน่นอน ขอแค่เจ้าต้องการ ข้าจะยืนปกป้องอยู่ข้างหน้าเจ้าตลอดไป คราวหน้าห้ามโยนข้าขึ้นไปสูงขนาดนั้นด้วย”

 

ลัวร์คือเมืองเล็กๆ อันแสนคึกคัก อย่างน้อยผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ดูท่าทางงานยุ่ง ไม่เกียจคร้านเหมือนกับชาวอาร์คาเดีย อากาศเย็นสบายให้ความรู้สึกเบาสบายอยู่เรื่อยๆ อุณหภูมิที่พอเหมาะเหมาะสมแก่การดำรงชีวิตมากกว่า

 

ความหล่อเหลาของเย่อินจู๋และความแข็งแกร่งของม่วงมักดึงดูดสายตาเมื่ออยู่บนถนน โดยเฉพาะพวกสาวน้อยวัยรุ่น บางคนใจกล้าถึงขั้นส่งสายตาหวานให้พวกเขาเอง ม่วงมีท่าทีเย็นชาอย่างนั้นของเขาอยู่แล้ว แต่อินจู๋คอยยิ้มตอบอยู่ตลอด หล่อเหลาและอ่อนโยน ยิ่งทำให้เหล่าสาวน้อยแรกแย้มพวกนั้นสนใจได้ง่าย แต่ถ้าบรรดาสาวน้อยทั้งหลายรู้ว่าอินจู๋คิดอะไรอยู่ในใจ เกรงว่าความรู้สึกคงจะต่างกันคนละเรื่อง

 

“ม่วง ทำไมเด็กผู้หญิงพวกนั้นไม่มีเหมือนพวกเรา หน้าอกพวกเธอบึกบึนดีจัง!” อินจู๋กล่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

 

สีหน้าบนใบหน้าของม่วงแข็งทื่อขึ้นมาในพริบตา ก่อนกระซิบบอกว่า “พ่อแม่เจ้าไม่เคยบอกเจ้าเหรอ?”

 

อินจู๋ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าอยู่กับข้าที่ทะเลโพรงมรกตนานขนาดนั้น เจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าอยู่กับพ่อแม่น้อยมาก และเพื่อไม่ให้กระทบการฝึกหัวใจพิณพิสุทธิ์ของข้า พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องโลกภายนอกกับข้าเลย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมหน้าอกของเด็กผู้หญิงถึงบึกบึนกว่าพวกเรา?”

 

ม่วงมองอินจู๋อย่างจนปัญญา “ไม่รู้”

 

“ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าเสียดายที่ไม่มีเด็กผู้หญิงเป็นเพื่อนข้า ถ้าถามดูได้ก็ดีสิ ม่วง พวกเราไปซื้อวิลเดอร์บีสต์กัน วันนี้จะพักอยู่ที่นี่หรือเดินทางต่อล่ะ?”

 

ขณะที่อินจู๋ถาม จู่ๆ สีหน้าของม่วงก็เปลี่ยนไปมาก อินจู๋ที่อยู่ใกล้กับเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนของม่วงเครียดเกร็งในทันใด ลมหายใจอันแปลกประหลาดอย่างยิ่งแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา อินจู๋บอกไม่ถูกว่านั่นคือความรู้สึกแบบไหน คล้ายว่ากำลังเดือดดาล และคล้ายว่ากำลังตื่นเต้น

 

เมื่อมองตามสายตาของม่วงไป ก็เห็นแค่กลุ่มคนสิบกว่าคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลกำลังเดินไปอีกทาง สายตาของม่วงจดจ้องไปยังคนที่มีผมสีทองปกคลุมทั้งหัว หน้าตาเคร่งขรึม รูปร่างสูงใหญ่กว่าม่วงเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างแผ่ลมปราณที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ใต้เสื้อผ้าเห็นชัดว่าเปี่ยมไปด้วยพลังที่พร้อมจะระเบิด โหนกแก้มของเขาสูงมาก เส้นขนบนใบหน้าหนาแน่นอย่างยิ่ง พอมองก็เห็นความแตกต่างอย่างมหาศาลจากคนทั่วไป ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่กับเขาก็มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่แตกต่างจากคนธรรมดา ถึงขั้นว่าอินจู๋มองเห็นหนึ่งคนในนั้นมีหางงอกยาวมาจากข้างหลังด้วย ผู้คนบนถนนพอเห็นคนพวกนี้ก็หลีกห่างไปไกลโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ากลัวพวกเขามาก

 

“ม่วง เจ้าเป็นอะไรไป พวกเขาคือใครเหรอ?” อินจู๋เอ่ยถาม

 

“พวกเขาคืออมนุษย์ที่มาจากทุ่งราบตอนเหนือสุด คนที่เป็นหัวหน้าคือหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ของเหล่าอมนุษย์ คนเผ่าราชสีห์”

 

“อมนุษย์? อมนุษย์คืออะไร? เป็นคนเหมือนกันไหม?”

……………………………………….

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด