ตอนที่แล้วบทที่ 14 ชั้นยอมนายทุกอย่างเลย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 เธอเป็นคนของข้าแล้ว

บทที่ 15 จิตสัมผัสแห่งเทพ


บทที่ 15 จิตสัมผัสแห่งเทพ

 

“สิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จงใช้จิตวิญญาณจับร่องรอยของมัน รับรู้ความรู้สึกของมัน ตลอดจน”มองเห็น“การมีอยู่ของมันอย่างแท้จริง”

 

สือเสี่ยวไป๋จำคำพูดประโยคนี้มาโดยตลอด แม้จะลืมไปแล้วว่าได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหน บางทีอาจมาจากประโยคในนิยายสักเล่ม ในการ์ตูนสักเรื่อง หรืออาจเป็นเรื่องที่ตัวเขามโนขึ้นเองแต่แรกก็เป็นได้ ทว่าสือเสี่ยวไป๋เชื่อว่า...

 

จิตวิญญาณสามารถมองเห็นสรรพสิ่ง

 

และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ในท้ายสุดแล้ว สือเสี่ยวไป๋เลือกตัวเลือกที่หนึ่ง เขาคิดว่าตนเองนั้นสามารถใช้พลังจิตตามจับตำแหน่งของเป้าหมายได้ สามารถกระทำการสุ่มยิงได้สำเร็จ

 

“ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้”

 

ประโยคนี้กลายเป็นคติประจำตัวของสือเสี่ยวไป๋

 

พอใช้ความเชื่อมั่นที่ได้มาจากคติประจำตัวนี้แล้ว เมื่อเขาหลับตาลงก็จะเริ่มรับรู้ถึงพลังแห่งจิตได้ ต่อให้โลกภายนอกจะมีคลื่นโหมซัดกระหน่ำเพียงใด แต่ในใจของเขากลับนิ่งสงบดุจผืนน้ำนิ่ง

 

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้สือเสี่ยวไป๋ผิดหวังก็คือ เป้าหมายนั้นผ่านไปเก้าสิบกว่าเป้าแล้ว แต่ตัวเขากลับไม่รู้สึกถึงพลังแห่งจิตเลยแม้แต่นิด หลังจากที่เขาหลับตาลงโลกที่เขามองเห็นคือโลกสีดำสลัวที่มีแสงสว่างบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง

 

กระนั้นในช่วงวินาทีที่สือเสี่ยวไป๋กำลังจะถอดใจกับความเชื่อมั่นนี้ กลับมีเสียงยัยซาดิสม์ระเบิดก้องมาในหู “สือเสี่ยวไป๋! นายรีบลืมตาขึ้นมายิงให้ได้สักคะแนนสิ! ขอเพียงนายทำได้เพียงหนึ่งคะแนน ไม่ว่าอะไรชั้นจะยอมนายทั้งหมดเลย!”

 

อะไรก็ยอมอย่างนั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้น...

 

สือเสี่ยวไป๋เสียการควบคุมไปชั่วขณะ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่อาจนิ่งเงียบต่อไปได้อีกแล้ว เขาไม่อาจทนรอเพื่อพิสูจน์ว่าคำสัญญาของยัยซาดิสม์คนนี้จริงเท็จหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงรีบถามกลับทันควัน “สาวน้อย ไม่ว่าอะไรก็ยอมรับปากข้าจริงๆ ใช่ไหม?”

 

นี่เป็นถ้อยคำของสือเสี่ยวไป๋ที่กล่าวขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน คล้ายกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไร้คลื่นลมอยู่หลายชั่วโมง แต่กลับเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากะทันหัน

 

ทุกคนต่างพากันตกตะลึง เพราะบทสนทนาของคนทั้งคู่นั้นแปลกพิลึกเกินไป โชยกลิ่นทะแม่งๆ อย่างบอกไม่ถูก

 

หลีจื่อเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าสือเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเสนอความต้องการแบบที่พวกเฒ่าหัวงูเสนอแน่นอน แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเด็กวัยสิบสามปีคนนี้อาจผุดความอยากรู้อยากเห็นที่เด็กวัยหนุ่มบางคนมี จนสามารถทำเรื่อง “เลวร้าย” บางอย่างที่เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ จะว่าไปแล้วหลีจื่อเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สุ่มเสี่ยง ทว่าในระหว่างที่หลีจื่อกำลังลังเลอยู่นั้น เสียงหุ่นยนต์เยียบเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “เป้าที่เก้าสิบแปดสีฟ้า!”

 

“ให้ตายสิ เกือบจะไม่ทันอยู่แล้ว รีบๆ รับปากหมอนี่ไปเถอะ หากว่าเจ้าเปี๊ยกนี่กล้าขอสิ่งที่ไม่สมควรขอล่ะก็ ชั้นก็แค่เชิดใส่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พร้อมโบกกำปั้นสักหมัดให้ก็พอ!”

 

หลีจื่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว รีบตะโกนลั่นออกไป “ชั้นยอมนายทุกอย่าง นายรีบๆ ยิงสิ!”

 

เวลานั้นเอง เสียงหุ่นยนต์เยียบเย็นได้ดังขึ้นมาเช่นกัน “เป้าที่เก้าสิบเก้าสีฟ้า!”

 

เป้าถัดไปคือเป้าหมายสุดท้ายแล้ว! ไม่มีเวลาแล้ว!

 

เมื่อได้ยินเสียงของหลีจื่อ สือเสี่ยวไป๋ที่กำลังคิดพิจารณาว่าจะยิงตอนไหน จะยิงอย่างไร จะยิงตรงไหน ท้ายที่สุดจึงได้สติรู้ตัวว่าเวลาไม่พอเสียแล้ว อีกทั้งพลังจิตที่เขารอคอยกลับไม่ได้ปรากฏออกมา โลกเบื้องหน้าที่เขามองเห็นยังคงเป็นความมืดสลัวภาพหนึ่งเช่นเดิม

 

“ดูไปแล้วก็มีเรื่องที่ข้าทำไม่ได้อยู่เหมือนกันสินะ ชีวิตคนเราต้องไม่เครียด เมื่อถึงเวลายิงก็ห้ามลังเลเด็ดขาด! เอาเถอะ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นหนึ่งนัดชี้ชะตาของข้าเป็นบุญตา!”

 

เมื่อสือเสี่ยวไป๋คิดได้เช่นนี้ก็ไม่ลังเลอะไรอีก ยกมือข้างขวาขึ้นมาสุ่มเล็งไปยังที่ๆ หนึ่งแล้วเหนี่ยวไกปืนทันที ปลดปล่อยลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไป

 

วินาทีต่อมา เสียงหุ่นยนต์เยียบเย็นพลันดังขึ้น “เป้าที่หนึ่งร้อยสีแดง!”

 

สีแดงเหรอ?

 

สีแดงคือใครกัน?

 

แม่งเอ้ยสีแดงมันไม่ใช่สือเสี่ยวไป๋หรอกเรอะ?!

 

ในนาทีนั้น ทุกคนต่างสับสนอลม่านไปหมด รวมถึงสือเสี่ยวไป๋เองด้วย

 

......

 

เหตุที่ทุกคนยกเว้นสือเสี่ยวไป๋พากันสับสนอลม่านไปหมด ไม่ใช่เพียงเพราะสือเสี่ยวไป๋หลับตายิงปืน แต่เป็นเพราะลำแสงที่สือเสี่ยวไป๋ยิงออกมานั้นไม่ได้ยิงตามหลังตำแหน่งที่เป้าหมายปรากฎ แต่เป็นลำแสงที่ยิงออกมาก่อนที่เป้าหมายจะปรากฎตัวเสียอีก

 

วินาทีที่สือเสี่ยวไป๋ลั่นไก ในช่วงเวลาที่ลำแสงกำลังพุ่งทะยานสู่ฉากสีขาว เป้าหมายพลันปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน แล้วจึงถูกยิงเข้าเป้าพอดิบพอดี

 

กระสุนนัดนี้เรียกได้ว่าเป็นนัดพยากรณ์ และเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำเหลือเกิน! ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ปรากฏ หรือเวลาเผยตัว ล้วนถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย!

 

แม่งทำได้อย่างไรกัน? ทั้งยังหลับตายิงอีกด้วย?

 

คงเพราะโชคช่วยก็เท่านั้นแหละ!

 

ในแวบแรกทุกคนต่างพากันตัดสินว่ากระสุนนัดนี้ของสือเสี่ยวไป๋เป็นเพราะโชคช่วย แต่ผ่านไปเพียงหนึ่งวินาที ทุกคนต่างต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะพวกเขาฉุกคิดขึ้นได้ถึงความผิดปกติต่างๆ ระหว่างการทดสอบความสามารถของสือเสี่ยวไป๋!

 

ทำไมสือเสี่ยวไป๋ถึงได้เอาแต่หลับตาอยู่ตลอด?

 

ทำไมต้องถามย้ำหลีจื่อแห่งวังทักษิณอีกครั้งว่าอะไรก็จะยอมทำตามที่ข้าต้องการ?

 

ทำไมพอสือเสี่ยวไป๋ได้รับคำตอบที่ยืนยันแล้วจึงรีบยิงนัดนี้ออกมาทันที?

 

นั่นก็เพราะว่าเรื่องทั้งหมดสือเสี่ยวไป๋เป็นคนสร้าง กำกับและแสดงเองอย่างไรล่ะ!

 

สือเสี่ยวไป๋รู้เรื่องการเดิมพันระหว่างหลีจื่อแห่งวังทักษิณกับมู่หงลี่ เพราะเหตุนี้จึงรู้ว่าหลีจื่อแห่งวังทักษิณกลัวว่าเขาจะได้ศูนย์คะแนน! ดังนั้นเขาจึงตั้งใจหลับตาแกล้งทำเป็นจะยอมแพ้ เพื่อที่จะบีบให้หลีจื่อแห่งวังทักษิณหมดหนทาง กระทั่งหลีจื่อแห่งวังทักษิณยอมให้คำสัญญาว่า “รับปากทุกคำขอ”! แต่กุญแจสำคัญของเรื่องทั้งหมดก็คือ นัดสุดท้ายของสือเสี่ยวไป๋จะต้องเข้าเป้า ไม่เช่นนั้นความพยายามที่มีมาทั้งหมดจะถือว่าเสียเปล่า ทว่าแผนการของสือเสี่ยวไป๋ดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้คงไม่เอามาเสี่ยงกับนัดสุดท้ายนี้อย่างแน่นอน แต่ว่านัดสุดท้ายของเขากลับเป็นนัดพยากรณ์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่มันคือความเชื่อมั่นและมั่นใจเต็มเปี่ยม!

 

ทุกคนในเหตุการณ์ล้วนฉลาดหลักแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงคิดเหตุผลของความจริงออกมาได้โดยไว ก่อนจะสูดหายใจเย็นเยือกเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง! ภายใต้ลักษณะภายนอกที่ดูเซ่อซ่าโง่เขลาของสือเสี่ยวไป๋ ที่แท้กลับซ่อนจิตใจที่ซับซ้อนพิศวงเช่นนี้ไว้อยู่?

 

ที่สำคัญที่สุดคือ นัดพยากรณ์สุดท้ายของเขานั้นทำได้อย่างไรกัน?

 

คนที่คิดหาคำตอบได้ก่อนคนอื่นก็เห็นจะเป็นคนที่ผ่านโลกมามากอย่างผู้อาวุโสเฒ่า เขาเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตระหนกจากสิ่งที่ได้รู้ “เหล่าฝู่[1] รู้แล้ว! นี่เป็นสัมผัสที่หกแห่งเทพ!”

 

ชายวัยกลางคนด้านข้างพลันดวงตาสว่างไหว รีบกล่าวเสริมทันที “มนุษย์เรามีสัมผัสทั้งหก แบ่งเป็นตาสัมผัส หูสัมผัส จมูกสัมผัส ลิ้นสัมผัส กายสัมผัสและจิตสัมผัส! แต่สำหรับบางคนที่มีพรสวรรค์พิเศษ สัมผัสที่หกของพวกเขาสามารถแตะถึงระดับที่น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นสัมผัสที่หกแห่งเทพ!”

 

หญิงวัยกลางคนพลันได้สติกลับคืนมา ก่อนเอ่ยชื่นชม “จิตสัมผัสเรียกอีกอย่างว่าสัมผัสที่หก เป็นความรู้สึกสัมผัสที่ลึกลับที่สุด หากว่าเป็นจิตสัมผัสแห่งเทพของสัมผัสทั้งหกแห่งเทพจริงๆ ย่อมสามารถคาดการณ์ตำแหน่งที่เป้าหมายจะปรากฏได้ ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว!”

 

ผู้อาวุโสทั้งสามสนทนากันไปมาราวกับพูดความจริงของเรื่องนี้

 

ผู้อาวุโสเฒ่าสูดลมหายใจยาวก่อนมองไปยังสือเสี่ยวไป๋ เพื่อเอ่ยถาม “สือเสี่ยวไป๋ นายครอบครองจิตสัมผัสแห่งเทพจริงๆ หรือ?”

 

ในเวลานี้สือเสี่ยวไป๋ยังอยู่ในสภาพงุนงง แทบไม่เชื่อสายตาว่าตัวเองจะยิงมั่วเข้าเป้าได้จริงๆ! เมื่อได้ยินคำถามจากผู้อาวุโสเฒ่า สือเสี่ยวไป๋พลันขมวดคิ้วอยู่พักใหญ่ก่อนคลายออก

 

“ข้าเคยเป็นเผ่าเทพ จิตสัมผัสแห่งเทพเองก็มีคำว่าเทพอยู่ในนั้น ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องครอบครองมันอยู่อย่างแน่นอน!”

 

ใจของสือเสี่ยวไป๋คิดเช่นนี้ จึงพยักหน้ากล่าวตอบผู้อาวุโสเฒ่า “แน่นอน!”

 

ผู้อาวุโสเฒ่ายิ้มอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนถอนหายใจพลางกล่าวไปว่า “สัมผัสที่หกแห่งเทพนั้นหายากเทียบเท่ากับผู้มีพลังจิตพิเศษระดับ A ขึ้นไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ครอบครองทั้งจิตสัมผัสแห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในสัมผัสทั้งหกแห่งเทพ มีคุณสมบัติ S คู่บวกกับจิตสัมผัสแห่งเทพเช่นนี้ เด็กน้อยเอ๋ย อนาคตของเจ้าไม่อาจประเมินได้จริงๆ!”

 

ในเวลานี้ สายตาของทุกคนที่จับจ้องไปยังสือเสี่ยวไป๋ต่างสับสนยิ่ง ราวกับกำลังจับจ้องสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์อะไรทำนองนั้น!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เหล่าฝู่ คำแทนตัวของผู้อาวุโส

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด