ตอนที่แล้วตอนที่ 29 ในกรอบสี่เหลี่ยม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 คิดไปเองหรือเปล่า?

ตอนที่ 30 พันธสัญญาของทั้งสอง


ตอนที่ 30 พันธสัญญาของทั้งสอง

 

แสงแดดยามเย็นค่อย ๆ อ่อนตัวลง แม้ลอดผ่านแมกไม้ที่อยู่ด้านบน ก็แทบแยกเงาบนพื้นไม่ออกว่าอันไหนแสงหรืออันไหนเงา ผมสั้นยาวไม่ถึงหกเซนติเมตร กับแผ่นหลังกว้างยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ ลินจิกำลังแบกเป้หลังเต่ารอเข้าบ้านผู้ชายตาปริบ ๆ

“ทำไมมันดูเงียบ ๆ จังเลยครับ”

ไร้ซึ่งการตอบกลับ มีเพียงเสียงเคาะประตูสามครั้งดัง ก๊อก ก๊อก ก๊อก จากด้านหน้า

“โอย เมื่อยขาจัง หวังว่าจะมีเตียงนุ่ม ๆ ให้นอนนะครับ ถ้าไม่มีล่ะเมื่อยหลังแย่เลย ของในเป้เยอะมาก”

ชุนซึ่งกำลังยืนรอคนเปิดประตู ได้ยินเสียงบ่นอยู่ข้างหลังก็รู้สึกหงุดหงิด บิดามันเถอะ พามาด้วยยังจะเรื่องมาก รู้แบบนี้น่าจะทิ้งให้อยู่กับโมโมะ

ไม่นานบานประตูก็แง้มเปิดจากด้านใน เสียงเสียดสีของไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดจนลินจิรู้สึกเสียวฟัน เช่นนั้นเขาจึงปิดปากทำตัวสั่น เพกัสยืนอยู่ด้านหลังเห็นลินจิมีท่าทางแปลก ๆ จึงยื่นหน้าเข้ามาร้องฮี่ ๆ

“อ๊ะ!”

พอเพกัสยื่นหน้ามาเหมือนจะปลอบลินจิก็สะดุ้ง

“ตกใจหมดเลย เพกัส”

“อ้าว! นายน้อย คิดว่าใคร รอนานไหมคะ”

หญิงชราสวมชุดเดรสสีขาวดำพร้อมกับผ้ากันเปื้อนออกมาต้อนรับ ผมของเธอสีขาวแซมดำมัดเกล้าไปด้านหลัง รูปร่างสันทัดแต่ไม่ถึงกับอ้วน ตัวสูงไม่มากประมาณร้อยหกสิบกว่า ๆ ลินจิยืนมองเธอพลางกะพริบตา

ขณะนั้นเธอก็มองผ่านร่างสูงของชุนมาเช่นกัน ดวงตาของทั้งสองประสานกันอย่างถูกชะตา

“นายน้อย พาเด็กหนุ่มหลงทางมาด้วยเหรอคะ”

“เปล่า ข้าพาทาสของปีศาจม้าตนนั้นมาด้วย”

“ว๊าย… ให้ปีศาจเข้าบ้านไม่ได้นะคะ”

ตอนที่ชุนปรายตามองมาด้านหลัง ลินจิก็แยกเขี้ยวขู่แง่ง ๆ พออีกฝ่ายหันกลับไปเขาก็รีบตอบ

“เพกัสไม่เข้าไปหรอกครับ มีแค่พวกเราสองคน”

ว่าแล้วลินจิก็ลูบแก้มเพกัส พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า อย่าหนีเที่ยวนะ จังหวะนั้นเสียงคำรามของชุนก็ดังขึ้น

“จะนอนข้างนอกใช่มั้ย ทำไมไม่เข้ามา!”

ลินจิเงยหน้าช้า ๆ ร้อง “อ๊ะ!” วิ่งตามชุนไปทันที

ภายในคฤหาสน์ดูกว้างขวาง แม้มีเพียงชั้นเดียว แต่ก็แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ขณะเดินตามหญิงชราไปจนถึงโต๊ะหินอ่อน แสงตะเกียงก็สะท้อนกับพื้นโต๊ะมันวาว จากนั้นหญิงชราก็เอ่ยถาม

“จะดื่มชาร้อนหรือนมอุ่นดีคะ”

“ขอเป็นนมอุ่นสองที่ รบกวนท่านด้วย”

ชุนเอ่ยด้วยเสียงนุ่ม ค้อมศีรษะให้เธอเล็กน้อย ลินจิได้ยินชุนตอบแทนตนเช่นนั้น จึงมุ่นหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้

ไม่ได้อยากกินของร้อน ๆ สักหน่อย เครื่องดื่มเย็น ๆ ใส่น้ำแข็งไม่มีหรือไงกัน แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องรักษามารยาท ลินจิเหยียดหลังตรงปรับระดับไหล่ซ้ายขวาจนดูเหมือนตุ๊กตาพลังงานแสงอาทิตย์ ชุนเห็นท่าทีแปลก ๆ ของลินจิ จึงถามว่า…

“เป็นอะไร เห็บม้าเกาะเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ลินจิสะบัดหน้าขวับ มองตาเขียว วางกระเป๋าเป้ลงข้างโต๊ะดังปัก เขาอยากจะต่อปากต่อคำแต่ก็ทำไม่ได้ เข้าบ้านผู้ชายทั้งที แถมยังอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ต้องสงวนปากสงวนคำ คิดได้เช่นนั้นจึงเบือนหน้าหนี กันหันมาปรับสำนวนโวหารแล้วกล่าวว่า…

“ตายจริง… เพิ่งรู้ว่าม้าอย่างเพกัสมีเห็บด้วย อันที่จริงเห็บมันแพ้ไฟไม่ใช่หรือ อย่างเพกัสไม่น่าจะมีนะ เว้นแต่ติดเห็บจากสุนัขบ้าแถวนี้ เอ๊ะ ใช่รึเปล่านะ”

ท่าทีทำเป็นไม่รู้แต่เหมือนรู้ของลินจิ กระตุ้นโสตประสาทภายในสมองของชุนทันที หน็อย หลอกด่าว่าเขาเป็นหมาอีกแล้ว ได้ทีจะเอาคืนเสียให้เข็ด แม้เขาอยากจะกระชากคอลินจิมาบีบเสียตอนนี้ แต่เกรงว่า แม่นมอาจจะมองว่าตนเป็นคนป่าเถื่อน ชุนจึงหัวเราะเสียงด่ำ

“หึหึหึ สุนัขบ้าอะไรกัน ไม่ใช่เพราะเห็บมันหลงผิดคิดว่าเจ้าเป็นหมาหรอกหรือ”

เมื่อหญิงชราเดินยกถาดมา ลินจิก็เบ้ปากทันที จากนั้นก็พูดด้วยเสียงโอดครวญ

“ฮือ ทำไมต้องพาผมมาอยู่ในที่แบบนี้ด้วย ปล่อยผมไปนะ”

ลินจิแสดงละคร แสร้งเล่นบทหนุ่มน้อยถูกคนโรคจิตลักพาตัวมาขังในบ้าน จากนั้นก็ทรุดตัวลงก้มหน้า ค้ำร่างด้วยสี่ขาแล้วคลานเข้าไปเกาะชายกระโปรงของหญิงชรา ตอนนั้นใบหน้าของชุนก็กระตุกทันที

“เอ๊ะ พ่อหนุ่มเป็นอะไรหรือ”

หญิงชราถาม วางถาดลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง

ลินจิค่อย ๆ คลานไปหลบด้านหลังของเธอ ชี้นิ้วไปยังชุนที่เขม็งตาอยู่ด้านหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวราวกับเจอยักษ์เจอมาร

“คนคนนั้นลักพาตัวผมมา”

ได้ยินเช่นนั้นหญิงชราก็อ้าปากค้าง มองหน้า มองหลัง อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสติ จากนั้นก็หันมองชุน เอ่ยด้วยเสียงดุว่า…

“นายน้อย รังแกคนอื่นอย่างนั้นหรือคะ”

ลินจิเห็นชุนทำหน้าตาเหลอหลาเหมือนเด็กทำความผิด ก็แอบหัวเราะคิกคักในใจ สมน้ำหน้า อยากแกล้งเขาด้วยวาจาดีนัก

ชุนลุกขึ้นพรวดส่ายหน้าโดยพลัน

“ไม่ใช่นะท่านแม่นมฮาชิสึ เจ้านั่นเป็นเทพเจ้าที่ข้าอัญเชิญมา”

“อ้าว… เทพเจ้าหรอกเหรอ”

เธอยกมือทาบอกอย่างโล่งใจแล้วหันมา ลินจิจึงยิ้มแหยหัวเราะแหะ ๆ หลบตาเมื่อถูกจับได้ว่าโกหก ตอนนั้นเขาก็เพิ่งรู้ว่า หญิงชราคนนี้คือแม่นมของชุนนี่เอง

พลันนั้นรังสีอำมหิตของชุนก็แผ่กว้าง กล่าวเสียงแข็งว่า…

“พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทาง วานท่านเตรียมเสื้อผ้าและของสำคัญให้ข้าด้วย”

นมอุ่นสองแก้วบนโต๊ะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทว่าชุนก็ไม่สนใจ เขาก้าวไปด้านหลังแม่นมฮาชิสึ พลันลากคอเสื้อลินจิตรงเข้าห้องในคฤหาสน์ทันที

“คุณ แม่นม!”

ลินจิกางแขนกางขาตะเกียกตะกายบนพื้นไม้ดังกุกกักเหมือนปีศาจแมงมุม

“มานี่!”

“ชะ…ช่วย ดะ…ด้วย!”

พอชุนออกแรงกระชากคอเสื้อ ลินจิก็หงายหลังก้นกระแทกพื้นจนเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังเป็นจังหวะ

“…”

แม่นมฮาชิสึมองตามทั้งสองตาปริบ ๆ จากนั้นก็มีเสียงปิดประตูปิดดังปัง! ก่อนที่เสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ใหญ่โดนเชือดจะดังลั่นทั่วคฤหาสน์

“อ๊าก…”

เมื่อเข้ามาในห้อง ร่างเล็กก็ถูกเหวี่ยงลงบนเตียง

ลินจิก้มหน้าก้มตา กึ่งนั่ง กึ่งนอน อย่างรู้สึกผิด เมื่อครู่เขาเสแสร้งผิดที่ผิดเวลา อันที่จริงแค่นิ่งเฉยไม่ตอบโต้ เรื่องก็คงจบไปแล้ว

ขณะที่คิดว่าตนเล่นแรงไป ชุนก็ก้าวเข้ามาช้า ๆ

ลินจิค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งพลันเบือนหน้าหนี จะทำอะไรก็ทำ คนอย่างเขาไม่นิยมใช้ความรุนแรง สู้ไปก็เสียแรงเปล่า ถึงแปลงร่างใช้วิชาเทพจิ้งจอกสวรรค์เข้าต้านก็ดูจะลงทุนเกินเหตุ ตนไม่ใช่คนโง่ เมื่อรู้ว่าตอนนี้สู้ไม่ได้ก็ต้องอดใจรอโอกาส

“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ ลักพาตัวขังไว้ในบ้านอย่างนั้นเหรอ”

ลินจิไม่ตอบอะไร พ่นลมหายใจออกมาช้า ๆ ขณะเดียวกันชุนก็ใช้มือใหญ่หนารวบแก้มของลินจิบิดให้หันมา พูดด้วยน้ำเสียงพิลึกพิลั่นว่า…

“เป็นอะไรไป ชอบยั่วโมโหข้าไม่ใช่หรือ เอาสิ ถือว่าข้าท้า”

บ้าไปแล้ว ชายคนนี้ต้องประสาทเสียไปแล้วแน่ ๆ จะว่าเขายั่วโมโหก็เกินไป ก็แค่หยอกนิดหยอกหน่อยเท่านั้นเอง ลินจิพยายามเงยหน้าต้านแรงด้วยแววตาสั่นระริก จากนั้นก็ปัดมือชุนออกแล้วขยับถอยหลัง

“ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นเทพเจ้า ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าจะมีคนเชื่อจริง ๆ นี่ครับ”

ชุนเลิกคิ้วขึ้น หัวเราะหึหึราวกับจอมมาร ท่าทางโกรธงอนของเทพเจ้าช่างน่าดูยิ่งนัก ดวงตาดุดันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหยาดเยิ้มเหมือนคนเมาสุรา ลินจิเห็นท่าไม่ดีจึงขยับตัวหนีสุดขอบเตียง

บ้าจริง เตียงวางติดผนังหรือนี่ เขาไม่มีทางหนีแล้ว

“อะไรกัน เทพเจ้างั้นเหรอ บางครั้งบอกว่าตนไม่ใช่ คราวนี้บอกใช่ขึ้นมา มีอะไรที่ข้าเชื่อเจ้าได้บ้าง พูดจากลับกลอกลิ้นสองแฉกอย่างกับอสรพิษ แต่ข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก ไหน ๆ เจ้าก็มาจากวงเวทอัญเชิญของข้า แปลว่าข้าจะทำอะไรเจ้าก็ได้”

ชุนพูดพลางเดินเข่าขึ้นไปบนเตียง

หัวใจลินจิเต้นรัว ถึงเขาจะชอบชุน แต่พูดแบบนี้มันก็เกินไป ผู้ชายอะไรปากร้ายชะมัด แถมท่าทีก็ราวกับคนไร้สติ ถ้าเดาไม่ผิดชุนคงไม่คิดทำเรื่องอย่างว่ากับเขาหรอกนะ

ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกัน

ถึงจะเป็นคนที่เขาชอบ

แต่ถ้าไม่ได้มาจากความรักตนก็ไม่เอา ลินจิหันขวับไป คว้าหมอนตรงหัวเตียงปาใส่ชุนทันที

“อย่าเข้ามานะ!”

ชุนรับหมอนไว้ด้วยมือซ้ายพลันเบิกตากว้าง พอเห็นดวงตาของลินจิรื้นไปด้วยของเหลวก็พลันได้สติ บิดามันเถอะ นี่เขาคิดเรื่องแบบนี้ได้เช่นไร คิดถึงตรงนี้ก็นึกสมเพชตัวเองขึ้นมา ไม่เพียงแค่นั้นยังพูดจาเหยียดหยามอีกฝ่าย จังหวะนั้นลินจิก็ผลักร่างสูงตกเตียงแล้วรีบวิ่งออกจากห้องทันที

เขาก้าวอย่างสุดฝีเท้า เมื่อถึงห้องรับแขกกลางคฤหาสน์ก็คว้าเป้ขึ้นสะพาย แม่นมฮาชิสึได้ยินเสียงปึงปังจึงหันมอง

“อ้าว! จะไปไหนเหรอคะ”

ลินจิส่ายหน้าไม่ตอบ รีบผลักประตูออกโดยพลัน เดินบ้าง วิ่งบ้าง มุ่งตรงไปยังป่าไผ่บริเวณใกล้ ๆ ตอนนั้นก็มองเห็นแสงสีส้มของเพกัสอยู่ไม่ไกลนี่เอง

สองเท้าสัมผัสผืนหญ้า เสียงเกือกม้าตามหลังมาดังกึกกัก ลินจิเดินออกมาเรื่อย ๆ จนถึงลานกว้างกลางป่าไผ่ ซึ่งไม่ไกลจากตัวคฤหาสน์นัก จากนั้นจึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่ง ใช้สองแขนโอบรอบเข่า แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จะทำอย่างไรดี พอชุนไม่เหมือนเดิม ตนก็รู้สึกระแวงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เพราะชอบถึงไม่อยากให้เป็นแบบนี้ สับสนจัง

ตอนนั้นเพกัสก็ร้องเรียก ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ

“ขอบคุณนะ เพกัส”

สิ่งที่คิดว่าเป็นมิตรภาพในตอนแรก แท้จริงแล้วคือความรัก

จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เล่นบุกเข้ามาด้วยท่าทางแบบนั้น เป็นใครก็ต้องตกใจ แถมชุนยังมีคู่มั่นอยู่แล้ว ใครจะไปทำเรื่องบ้า ๆ ได้กัน

ขณะที่คิดแบบนั้น ก้อนเมฆสีเทาก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า แสงสีเหลืองสลัวเรืองลงมาสะท้อนอยู่ในตาของลินจิเป็นจุดเล็ก ๆ

เวลาเปลี่ยนมุมตอนเงยมองไปข้างบน จุดศูนย์กลางของทัศนวิสัยก็คล้ายจะเปลี่ยนตามไปด้วย เช่นเดียวกับตำแหน่งของพระจันทร์ ทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างมีเส้นทางโคจรของมันเอง ทว่าทั้งสองก็ไม่เคยห่างจากกันแม้แต่วินาทีเดียว และแม้ว่าเราจะไม่รู้สึกว่าโลกกำลังขยับ แต่ความจริงแล้วมันก็กำลังขยับอยู่ทุกวินาที ราวกับคนเราที่อยู่กับตัวเองจนไม่รู้ว่าความรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่

มีเรื่องให้คิดอีกมากมายก่ายกอง อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่เรื่องแบบนี้สิ

พอรู้ตัวว่าเผลอกัดเล็บ ลินจิก็นิ่วหน้า พลางใช้มือข้างหนึ่งรูปซิปกระเป๋าเป้แล้วคว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมา ก่อนจะเอนตัวลงช้า ๆ หนุนร่างของเพกัส

เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วตอนที่เขาเหลือบมองนาฬิกา นิ้วโป้งสัมผัสปลดล็อกเข้าโหมดรูปถ่ายโดยไม่รู้ตัว ภาพที่เขาถ่ายเซลฟี่กับชุนบนท้องฟ้าส่องแสงออกมาจากหน้าจอ ตอนนั้นมุมปากก็เผลอผุดยิ้มอ่อน ๆ อย่างห้ามไม่ได้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งดังจากไกล ๆ ลินจิก็รีบเก็บสมาร์ตโฟนทันที

ตอนหันไปก็เห็นเงาใหญ่ตะคุ่มคุ้นตาเดินมาจากอีกฝั่งพอดี ชุนนั่นเอง

“…ข้าขอเข้าไปได้ไหม”

เช่นนั้นลินจิจึงลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าบอกว่า “ได้สิ” แล้วหันกลับมา ชุนก้าวตรงเข้ามาบริเวณลานกว้างของป่าไผ่ช้า ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ลินจิ

“คือ…ขะ…ข้าขอโทษ”

“อืม”

ลินจิพยายามเลี่ยงการสบตาให้นานที่สุดและเอ่ยตอบเท่าที่จำเป็น เขาไม่ได้โกรธเลย แค่รู้สึกสับสนและตกใจกับสถานการณ์เมื่อครู่เท่านั้นเอง จากนั้นก็แอบเห็นว่า ในมือของชุนกำลังถือกล่องผ้ากำมะหยี่เล็ก ๆ เอาไว้

“…นั่น อะไรเหรอครับ”

“ของสำคัญของตระกูล แม่นมฮาชิสีเพิ่งเอามาให้น่ะ”

ชุนตอบพลางมองแสงไฟของสมาร์ตโฟนที่ส่องสว่างออกมาจากเป้

“วัตถุเวทมนตร์ของเจ้านี่แปลกดีนะ”

“อ๋อ อันนั้นเหรอ เรียกว่าโทรศัพท์มือถือน่ะครับ”

“หืม”

จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม เหมือนแค่นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีธุระอะไร แถมบรรยากาศยังกระอักกระอ่วนชวนอึดอัด แต่กลับไม่สามารถจากไปได้ หากเขายังทำตัวมีปัญหาแบบนี้ต่อไป อีกหน่อยคงร่วมเดินทางด้วยกันอย่างลำบากใจแน่ ๆ

“คือ… พอรวบรวมผลึกดวงดาวครบผมจะกลับ…”

ลินจิพูดยังไม่ทันจบประโยค ชุนก็เปิดฝากล่องกำมะหยี่ออกมา

“สิ่งนี้จะช่วยย้ำเตือนว่า เจ้าคือเทพเจ้าอัญเชิญขอข้า”

ชุนเอ่ยเสียงแผ่วอย่างติดจะเขินเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วอีกข้างหยิบของด้านในออกมา

แหวนเงินส่องประกายระยิบระยิบทอแสงจันทร์ สะท้อนสู่นัยน์ตาของทั้งสองเป็นประกาย ตรงหัวแหวนมีสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก

ชุนวางกล่องลงช้า ๆ ก่อนจะคว้ามือซ้ายของลินจิมาด้านหน้า แล้วค่อย ๆ สวมแหวนเงินสู่ปลายนิ้วนางของลินจิ

…เย็น

ลมหายใจของอีกฝั่งแผ่วเบาสัมผัสที่หลังมือ จากนั้นชุนก็เอ่ยด้วยเสียงอ่อนว่า

“ต่อให้โลกนี้จะมากด้วยอันตราย …ต่อให้โชคชะตาต้องเปลี่ยนผัน”

ลินจิเงยหน้ามาอย่างไม่เข้าใจ แววตาของเขาสั่นระริก

“ต่อให้ถึงวันที่ไร้ซึ่งความฝัน…”

สายลมพัดผ่าน เสียงใบไม้ดังเป็นระยะ

“เจ้าจะเป็นเทพอัญเชิญของข้า ตราบจนวันที่ข้าหมดลมหายใจ”

สิ้นสุดการร่ายมนตร์คาถา ดาวห้าแฉกแห่งพันธสัญญาก็ปรากฏล้อมร่างของทั้งสองไว้ ลินจิมองภาพเปี่ยมสุขล้นในระยะใกล้ เพียงแค่เวลาสั้น ๆ แม้ความรู้สึกแรกพบจนถึงวันนี้สำหรับเขาจะไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ทั้งร่างกลับสัมผัสถึงเวลาที่ไหลเวียนผ่านไปอย่างจริงแท้ เพกัสลุกขึ้นขยับถอยออกห่าง ตัวแหวนเปล่งแสงสว่างออกมา ก่อนจะค่อย ๆ วูบดับลงไปพร้อมกับวงเวท

“…”

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นชุนก็ลุกขึ้นแล้วหันหลัง

“พรุ่งนี้ข้าต้องไปพบท่านจิฮาดะที่เกาะยุย แม่นมฮาชิสึเตรียมห้องนอนให้เจ้าแล้ว”

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด