ตอนที่แล้วMoney Monster Episode XXX [JUDAS CLUB]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMoney Monster Episode XXXII [ความโลภขั้นสาม(1)]

Money Monster Episode XXXI [เคล็ดวิชาควบคุม]


Money Monster Episode XXXI [เคล็ดวิชาควบคุม]

เสียงของจูดัสดังกังวานดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ไลท์ยังอึ้งกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเจ้าของเครือข่าย เพ่งสายตาสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเร่งด่วน

“อา ขออภัย ผมว่าเราไปคุยกันที่ห้องทำงานของผมก่อนดีกว่า ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่” จูดัสเอ่ยกับไลท์อย่างสุภาพและนุ่มนวล ก่อนที่เขาจะหันสายตาสีแอปเปิ้ลไปตวัดมองใส่คนที่ยิงศรเพลิงออกมา ชายคนนั้นสะดุ้งเสียวสันหลังวาบในทันที

“อึ๋ย!”

“คุณคนนั้นน่ะ ผมขอไล่ออกนะครับ ผมไม่อนุญาตให้ใครก็ตามใช้กำลังกับโบรกเกอร์เหมือนกัน และไม่มีสิทธิมาตัดสินใจแทนว่าจะให้ใครเข้าร่วมหรือไม่ จะรับใครเข้ามานั้น เป็นหน้าที่ของผมแด่เพียงคนเดียว” จูดัสกล่าวประกาศิตทำให้ชายคนนั้นถึงกับเหวอ พยายามพูดตะโกนขอให้ยกโทษด้วยแต่เจ้าตัวกลับไม่ฟัง หันมาให้ความสนใจพวกไลท์มากกว่า

“เชิญครับ”

“อา..ขอบใจ” ไลท์พยักหน้าตอบรับแบบงงๆ ก่อนจะลุกขึเน ทั้งสี่เดินตามจูดัสเข้าไปยังสถานที่คล้ายโรงรถ ที่นั่นมีห้องสีขาวโพลนแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายเหมือนเพิ่งย้ายเข้ามาหมาดๆ เจ้าของห้องจัดแจงเก้าอี้พับและเครื่องดื่มเช่น กาแฟ ชา และน้ำผลไม้ให้ทั้งสี่อย่างดี ก่อนจะหันไปนั่งโต๊ะทำงานสีดำที่อยู่กลางห้อง

“สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมชื่อจูดัส”

“ไลท์ ลินสตอร์ม ส่วนพวกนี้เพื่อนของฉัน ครอสซ์ แจ๊สเปอร์ ลูน่า”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณไลท์ ผมพอจะได้ยินชื่อของคุณมาบ้างจากโบรกเกอร์คนอื่น” จูดัสยิ้มกล่าวอย่างมีเลศนัย ส่งผลให้ไลท์หรี่ตามองอย่างหวาดระแวง

ภายใต้รอยยิ้มบนใบหน้านั่นคลับคล้ายกับมาม่อนหรืออเดมัสไม่มีผิด มันทั้งไร้อารมณ์และหลอกลวง แต่แฝงความอันตรายที่ร้ายกาจเอาไว้

‘รู้สึกไม่ดีเลยยังไงก็ไม่รู้’

“ว่ายังไงครับ พวกคุณไลท์จะมาเข้าจูดัสคลับของผมใช่รึเปล่า”

“ใช่ครับ” แจ๊สเปอร์เป็นฝ่ายพูดตอบแทน

“วิเศษ” จูดัสปรบมือแสดงออกความยินดี ก่อนจะเลื่อนลิ้นชักเตรียมสัญญาแห่งความมืดสี่ฉบับขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ

“ด้านส่วนของรายละเอียดพวกคุณสามารถอ่านในสัญญาได้เลย ไม่ต้องรีบร้อนครับ ค่อยๆ อ่านไปทีละนิดก็ได้”

ไลท์กับแจ๊สเปอร์พากันพยักหน้า ในกลุ่มนี้มีเขาสองคนที่ทำหน้าที่อ่านและวิเคราะห์รายละเอียดเท่านั้นจึงหยิบแผ่นกระดาษสีดำมาไล่ตามองตัวอักษรทั้งหมด

ใจความสำคัญคือระบบของจูดัสคลับ

เงื่อนไขการอยู่ในจูดัสคลับมีอยู่ไม่กี่ข้อเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่จะถอดแบบออกมาจากพวกองค์กรโดยเฉพาะ จูดัสตัดสินใจสร้างเครือข่ายนี้ขึ้นเนื่องจากเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่ทำสัญญาใหม่ๆ มีคนจำนวนมากที่ประสบปัญหาไม่มีองค์กรสังกัด การหากรีดจึงเป็นไปได้ยาก

แต่จะพอจะหาองค์กรอื่นเข้าสังกัดก็ยาก เนื่องจากหากไม่ใช่องค์กรที่ถูกคัดกรองมาแล้วโดยศูนย์ฝึกอบรมมีโอกาสสูงที่จะโดนหลอกใช้ ปล้นชิง ขูดรีด เอาเปรียบสารพัด เพื่อลดปัญหาในการนี้จึงได้สร้างจูดัสคลับขึ้น

จูดัสคลับจะเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงโบรกเกอร์จำนวนหลายพันคนเอาไว้ด้วยกัน โดยจะจองเอาไว้กันก่อนว่าวันนี้จะไปลงพื้นที่ใด เพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ค้นหาทับซ้อนกัน มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงร่วมกันว่า ในกรณีที่ขอให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพราะตนเองไม่สามารถกำจัดกรีดเองได้ ส่วนแบ่งจะถูกแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง

หลังจากอ่านข้อมูลแล้วแจ๊สเปอร์ก็อธิบายให้ครอสซ์และลูน่าฟังอย่างตั้งใจ ระหว่างนั้นไลท์กับจูดัสก็เริ่มเปิดบทสนทนาที่น่าสนใจขึ้น

“เป้าหมายของผมคือการลดความสำคัญขององค์กรลง ให้โบรกเกอร์ได้รับผลประโยชน์ที่สำคัญไม่แพ้พวกคนในองค์กรและยังคงมีอภิสิทธิ์ส่วนตัวในการมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้”

“แต่แบบนั้นจะไม่ทำให้กลุ่มตกเป็นเป้าของพวกองค์กรงั้นเหรอ พวกองค์กรต้องไม่ชอบแน่”

“ก็คงเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเราใหญ่ขึ้น มีสมาชิกกว้างขวางมากขึ้นเราก็จะแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นพวกคนในองค์กรก็มาข่มขู่เราไม่ได้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นผมก็ต้องทำลายนิดหน่อย”

“อืม..” ไลท์เคาะนิ้ว

“ช่างเถอะ คิดไปก็ช่าง ฉันได้ผลประโยชน์ของฉันก็พอแล้ว” ไลท์กล่าวออกไป เพราะถึงยังไงเป้าหมายของเขาก็คือการมาเข้าร่วมเครือข่ายเพื่อล่ากรีดได้มากยิ่งขึ้น เขาหันไปคุยกับอีกสามคนที่เหลือแล้วค่อยควักเงินจำนวนหมื่นเหรียญมามอบให้จูดัสเป็นค่าสมาชิกรายเดือน

สมาชิกของจูดัสคลับต้องส่งค่าสมาชิกให้ทุกเดือน และจะได้รับโค๊ดต่ออายุของแอพพลิเคชั่นในมือถือมาแทน ตัวของแอพพลิเคชั่นจะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ กับจับสัญญาณ ให้ผู้หาและผู้ล่ามองหากันได้ง่ายยิ่งขึ้น

แม้หมื่นเหรียญจะไม่ใช่เงินน้อยๆ แต่ถ้าหากสามารถทำให้หากรีดได้มากขึ้นจริงก็นับว่าถูกมาก สัญญาก็ไม่ได้เอาเปรียบหรือผูกมัดแต่อย่างใด

ทั้งสี่เซ็นสัญญาลงบนแผ่นกระดาษสีดำ เมื่อมันเปล่งแสงก็เป็นผลสำเร็จ พวกเขารับโค๊ดของแอพพลิเคชั่นไปหาและดาวน์โหลดลงมือถือ สมัครสมาชิกและกรอกโค๊ดจนเสร็จสิ้น กลายเป็นสมาชิกของจูดัสคลับอย่างเป็นทางการ

“สัญญาจะเริ่มตอนสิ้นเดือน ก็อีกไม่กี่วันเองล่ะนะ” ไลท์กล่าวขึ้น

“ครับ ยินดีที่คุณมีส่วนร่วมกับผมนะครับ คุณไลท์” จูดัสยิ้มพร้อมยื่นมือมาทางเขา นั่นทำให้ไลท์ยิ่งฉงนในตัวของชายตรงหน้าเข้าไปใหญ่แต่ก็ต้องรักษามารยาทเข้าไว้ก่อน เอื้อมมือไปคว้าและจับมือกันพลางฝืนยิ้มจืด

‘หมอนี่ ตั้งแต่เมื่อกี้พูดและสนใจเราคนเดียว ไม่หมอแจ๊สเปอร์ ครอสซ์หรือลูน่าด้วยซ้ำ รู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้’ ไลท์คิดในใจก่อนจะปล่อยมือ รีบพาเพื่อนๆ ออกจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด

“อืม! ฉันรู้สึกไม่ค่อยชอบหมอนั่นเท่าไหร่แฮะ” จู่ๆ ครอสซ์ก็พูดออกมา

“เอ๋! ทำไมล่ะคะ” ลูน่าเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิ เหมือนมันอันตรายๆ ล่ะมั้ง โดยเฉพาะตอนหมอนั่นมองมาที่ไลท์ รัศมีความชั่วร้ายพวยพุ่งเลยล่ะ!”

“แหม แต่เขาหน้าตาดีนะคะ ผู้ชายต้องแอบเลวนิดๆ ถึงจะมีเสน่ห์” ลูน่ายิ้มหัวเราะหุหุ

“แต่ก็เหมือนจะเป็นคนพึ่งพาได้ด้วยนะ แนวคิดของเขาก็น่าสนใจไม่เลว ไลท์คิดเหมือนกันไหม” แจ๊สเปอร์เอ่ยถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันรู้สึกไม่ชอบหมอนั่น”

“ใช่ไหม! นายก็ไม่ชอบหมอนั่นเหมือนกันใช่ไหม” ครอสซ์ทำตาเป็นประกายที่มีคนคิดแบบเดียวกัน จากนั้นพวกเขาก็พากันหาอะไรทานก่อนจะเตรียมตัวสำหรับการล่าในวันนี้ โทรศัพท์ของไลท์ก็ดังขึ้น เขาล้วงมันขึ้นมาแล้วเปิดดูรายชื่อ

Mezool

“เมซูล? เพิ่งคุยกันเมื่อกี้เองไม่ใช่รึไง” ไลท์กล่าวก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

“ฮัลโหล”

“ยังอยู่ที่วอลสตรีทไหม” เสียงของเมซูลดังจากในสาย

“ยังอยู่”

“นายช่วยมาที่สำนักงานขององค์กรฉันหน่อย มีใครบางคนที่ฉันอยากแนะนำให้รู้จัก” พูดแล้วสาวเจ้าก็ตัดสายไปในทันที ไม่ปล่อยให้ไลท์พูดเลยว่าจะไปหรือไม่ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแหยหันหน้าไปมองเพื่อนอีกสามคนที่กระพริบตาปริบๆ แบบงงๆ

“ฉันมีธุระ แล้วเจอกันตอนค่ำๆ”

“ไปดีมาดีนะคะ”

“แล้วเจอกัน”

เมื่อล่ำลากันเสร็จไลท์ก็เปิดไฟล์ที่เมซูลส่งมา มันคือไฟล์แผนที่ระบุตำแหน่งสำนักงานขององค์กรเบรสวัน เขานั่งแท็กซี่มาลงตามที่เขียนเอาไว้

สำนักงานของเบรสซันอยู่ห่างจากใจกลางวอลสตรีทไม่มากนัก มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และอาคารสีขาวเงาวาวระยิบระยับจนแทบสะท้อนแสงมาเข้าตา เป็นดั่งชื่อขององค์กรที่แปลได้ว่า[ดวงอาทิตย์ที่เจิดจรัส]

ไลท์ก้าวเข้ามาโดยมีโค๊ดQCที่เมซูลให้มาสำหรับผ่านเข้าไปในพื้นที่ ถามทางสมาชิกคนอื่นๆ จนเข้าไปในอาคารได้สำเร็จ พบว่าที่นี่มีขนาดใหญ่และหรูหราไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก มีผู้คนที่ดูท่าทางเก่งและมากความสามารถเดินสวนกันประปราย

‘เบรสซันนี่ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นองค์กรขนาดกลางสินะ สุดยอดไปเลย แบบนี้องค์กรขนาดใหญ่จะเจ๋งขนาดไหนกัน’ ไลท์แอบคิดในใจอย่างชื่นชม

ชายหนุ่มเดินต่อไปจนถึงห้องหมายเลขที่เมซูลระบุให้เข้ามา เขาสูดลมหายใจและเคาะประตูเบาๆ สามที

“เข้ามาได้” เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของเมซูลแต่เป็นผู้ชาย ไลท์ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็เปิดประตูเข้าไป พบเห็นร่างของเมซูลกำลังนั่งบนโซฟาโดยตรงกันข้ามเธอมีชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครายาวแต่ยังหล่อเหลาในแบบของผู้ใหญ่

ชายคนนั้นมีเส้นผมและดวงตาสีน้ำตาล ยิ้มทักทายพลางโบกมือมาให้ไลท์ทั้งที่ยังไม่เคยพบเจอหน้ากันมาก่อน

“มาทางนี้ๆ” ชายปริศนากวักมือเรียก ไลท์ทำหน้างุมงงหันไปมองหาเมซูล หญิงสาวพยักหน้าให้หนึ่งทีเขาจึงเดินไปนั่งที่โซฟาข้างกายเธอ

“ฉันขอแนะนำให้นายรู้จัก เขาชื่อบลาสซ์ เป็นระดับผู้บริหารขององค์กร”

“อ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ไลท์ผงกศีรษะให้ความเคารพอีกฝ่ายเล็กน้อย บลาสซ์พยักหน้าชื่นใจหนึ่งทีก่อนจะพูดคุยเข้าเรื่องในทันที

“คงลำบากมากเลยสินะ”

“?”

“ฉันได้เห็นคลิปวิดีโอตอนสอบอบรมของเธอแล้ว ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดีเพราะฉันเองก็เป็นเหมือนกัน”

“หมายความว่า?”

“อืม ก็เคยเจอปัญหาเดียวกัน ควบคุมคู่หูตัวเองไม่ได้จนโดนมันฆ่าเอาตอนสอบ ก็ อาการไม่หนักเท่าเธอล่ะนะ ฮ่าๆๆๆ!” บลาสซ์พูดแล้วหัวเราะก๊ากตบตักตัวเองดังฉาดหลายที ไลท์กระตุกสายตามองชายตรงหน้าด้วยความตะงิดใจ ก่อนจะจับใจความคำพูดได้อีกครั้ง

“ควบคุมคู่หูไม่ได้ งั้นตอนนี้ก็”

“ใช่ ฉันควบคุมได้แล้ว เมซูลเอาเรื่องของเธอมาปรึกษาฉัน จริงๆ บอสของเราเจอเคสนี้เหมือนกันนะแถมใช้ปืนเหมือนกันด้วย ถ้าให้เขามาสอนเธออาจดีกว่า”

“บอส? หมายถึงหัวหน้าองค์กรรึเปล่า”

“ใช่ แต่พวกเราเรียกผู้บริหารสูงสุดว่า[บอส] เพราะโครงสร้างองค์กรเรามันคล้ายมาเฟีย คนใช้ปืนก็เยอะด้วย” เมซูลเป็นฝ่ายตอบออกมา

“หึหึ จริงๆ บอสของพวกเราสนใจเธอเป็นพิเศษเลยนะ ขนาดที่ตอนสอบอบรมหยุดงานเพื่อดูการสอบทั้งกำลังนั่งเครื่องบินอยู่เชียวล่ะ เล่นเอาคิดว่า [เออ ต่อให้หมอนี่สอบไม่ผ่านก็คงทาบทามมาแน่นอน] แต่เกินคาด หมอนั่นคัดรายชื่อเธอออกเป็นคนแรกทั้งที่เมซูลพยายามยัดมาแบบจะเป็นจะตาย”

“เอ๋” ไลท์กะพริบตาแบบงงๆ หันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่พบว่าเธอเบนหน้าไปทางอื่นทำให้ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำหน้าเช่นไรอยู่กันแน่

“ทำไมบอสของพวกคุณถึงสนใจผมล่ะ”

“ตอนที่เธอทำสัญญาใหม่ๆ แล้วยิงกรีดจนกระจุยมันส่งผลกระทบหลายอย่างนะรู้ไหม ทำให้เราพลิกกลับมาล่ามันได้สำเร็จบ้าง ได้ข้อมูลกลับไปทำวิจัยบ้าง บอสของเราตอนนั้นเพิ่งกลับมาจากอิตาลีและเห็นเธอเข้าพอดี เลยสั่งให้สมาชิกคนอื่นจับตาเธออย่างใกล้ชิด”

“งั้นที่เมซูลคอยช่วยเหลือผมตลอดก็เป็นคำสั่งของบอสงั้นเหรอ” ไลท์ถาม แต่บลาสซ์หัวเราะหึหนึ่งทีและตอบว่า

“ไม่เลย นังหนูนี่ช่วยเหลือเธอด้วยตัวเอง เพราะคำสั่งที่บอสให้คือจับตามอง ไม่ใช่ช่วยเหลือ”

“งั้นเหรอ ขอบคุณครับเมซูล” ไลท์กล่าวขอบคุณหญิงสาวแต่เธอยังไม่คงหันหน้ามา ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แต่ให้เดาเธอคงกำลังดีใจอยู่

“เอาล่ะ มาเริ่มกันเถอะ ฉันจะช่วยบอกเคล็ดลับในการควบคุมคู่หูเวลาพยศให้เอง”

“แล้วผมต้องเสียอะไรไหม? พวกคุณคงไม่สอนให้ฟรีหรอกใช่ไหมล่ะ” ไลท์ถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาแต่บลาสซ์ยักไหล่ให้หนึ่งครั้งแล้วหัวเราะขึ้น

“ไม่เลย การที่เธอแข็งแกร่งขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราในอนาคตเหมือนกัน เพราะอย่าลืมไปว่าบอสของเรากำลังเล็งเธออยู่ ไม่แน่ เธออาจถูกเชิญเข้ามาองค์กรเราเมื่อไหร่ก็ได้”

“แต่ถ้าผมแข็งแกร่งขึ้นแล้วพวกมหาอำนาจมาชวนผมไปแทนล่ะ? ถ้าถึงตอนนั้นผมก็ไม่ต้องสนใจองค์กรขนาดกลางอย่างเบรสซันนะ พวกคุณจะเสียผลประโยชน์เอาได้”

“ก็ช่างสิ นั่นมันการตัดสินใจของเธอ ฉันแค่ทำตามเจตนารมณ์ของบอส เราจะเริ่มกันได้หรือยัง” คำตอบของบลาสซ์ถึงกับทำให้ไลท์เหวอ เกิดมาเพิ่งเคยเจอคำพูดที่ตรงไปตรงมาแต่จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นนี้มาก่อน

‘เจตนารมณ์ของบอสนี่มันยังไงกัน’

“ลำดับแรก เธอต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับคู่หูของตนเองให้ได้ซะก่อน” บลาสซ์เอ่ยพลางหยิบการ์ดสีทองใบหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ เป็นการ์ดกอลิล่าขนาดใหญ่สวมชุดนักมวยปล้ำแลดูทรงพลังมาก

“มอนสเตอร์คู่หูมีความแตกต่างจากมอนสเตอร์ทั่วไปยังไง เธอรู้รึเปล่า”

“ครับ มีความสามารถสูงกว่า แถมมอบพลังให้ผู้ใช้ได้ด้วย” ไลท์ตอบออกไปทันที แต่บลาสซ์กลับส่ายหน้าและเลื่อนนิ้วไปมาอย่างน่าเสียดายจนชายหนุ่มต้องเอียงคอว่าผิดตรงไหนหรือไม่

“มอนสเตอร์คู่หูคือกระจกสะท้อนชะตากรรมของเจ้าของ”

“ชะตากรรม? หมายถึงชะตากรรมที่เอาไปค้ำประกันกับมาม่อนใช่ไหมครับ”

“ใช่” บลาสซ์ตอบก่อนจะวางการ์ดสีเงินใบอื่นๆ ออกมา

“การ์ดสีเงินพวกนี้คือกลุ่มก้อนของกิเลส ในขณะที่การ์ดสีทองคือเงาสะท้อนของชะตากรรม” บลาสซ์กล่าวแล้วนำการ์ดสีทองใบอื่นมาวางไว้อีกใบ

“ทั้งที่เป็นการ์ดสีทองเหมือนกัน แต่ทำไมสามารถดึงดูดพลังของการ์ดสีทองที่ไม่ใช่คู่หูของตนเองออกมาได้เต็มที่ เธอรู้รึเปล่า”

“อืม..ไม่ทราบครับ”

“หึหึ นั่นก็เพราะว่าเราไม่สามารถนำของที่ไม่ใช่ของเรามาใช้ได้ยังไงล่ะ”

“?” ไลท์เอียงคอสงสัย รอให้ชายตรงหน้าอธิบายอย่างละเอียด

“การ์ดสีทองคือชะตากรรมของเราที่เอาไปค้ำกับมาม่อน มันไม่ได้หายไปไหนแต่ถูกเปลี่ยนมาให้อยู่ในรูปแบบของการ์ด มันคือตัวตนของเราเองในอีกรูปแบบหนึ่ง ต่อให้ถูกคนอื่นเอาไปใช้ก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ เจ้าของที่แท้จริงของมันมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือเรา”

“ครับ..”

“ยิ่งชะตากรรมเรามีอำนาจเท่าใดการ์ดก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่นั่นรวมถึงความลำบากในการควบคุมด้วย ที่สำคัญคือพวกมันมีชีวิตจริงๆ ถ้าหากเป็นเธอ เธออยากจะทำงานรับใช้ใคร” บลาสซ์ถามคำถามที่ชวนน่าคิดออกมา ไลท์กุมคางครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“คงเป็นคนที่น่าเชื่อถือ น่าเกรงขาม เด็ดเดี่ยว มากความสามารถ อะไรแบบนี้มั้งครับ”

“ใช่ๆ แล้วเธอคิดว่าเหมาะจะเป็นที่เคารพรักของลูกน้องรึเปล่า”

“เอ..เอ่อ คิดว่าไม่ล่ะมั้ง” ไลท์ตอบไปตามความจริง เพราะเขาเห็นแก่ตัวเกินไปแถมยังจู้จี้จุกจิก หากเป็นนายจ้างคงเป็นนายจ้างที่ลูกน้องเกลียดเป็นแน่

“คู่หูก็เหมือนกับลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน มันเองก็เลือกเจ้าของเหมือนกัน หากเจ้าของไม่มีค่าให้ติดตามหรือรับใช้มันก็จะไม่ยอมรับและอาละวาด ถ้าให้จินตนาการง่ายๆ มันคงกำลังคิดว่า [ฉันที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบทำไมต้องมารับใช้ไอ้งั่งนี่ด้วย]”

“เหอะๆ”

‘ทำไมฟังแล้วจี้ดยังไงก็ไม่รู้’

“เธอต้องฝึกให้มีความน่าเกรงขาม หรือแสดงความทะเยอทะยานออกมา แต่นั่นก็แล้วแต่คู่หูของเธอด้วยล่ะว่าต้องทำถึงขนาดไหนมันถึงจะยอมรับ” บลาสซ์ทิ้งประโยคปิดท้าย ไลท์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะค่อยๆ หยิบการ์ดแท้งค์เทอเทิลของตนเองออกมาดู

พลังทำลายมหาศาลที่ได้เห็นในวันนั้น หากสามารถควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์จะสุดยอดขนาดไหนกันนะ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด