ตอนที่แล้วบทที่ 28 : ศรเหมันต์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 : ดอกไม้ แสงจันทร์ และการอาลัยจาก

บทที่ 29 : ทำแขนหาย


บทที่ 29 : ทำแขนหาย

“ทำไมถึงไม่มีใครบอกอะไรกันเลย!! นี่เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอไปแล้วหรือไง!”เสียงตวาดของเอเดลดังสนั่นลั่นไปทั่วไปทั้งสถานพยาบาลไม่เกรงใจใคร

หลังจากที่เธอและหมอประจำสมาคมช่วยกันฟอกเลือดและขับสารพิษที่สะสมในร่างกายให้กับเอเดลกันอย่างฉุกเฉิน จนตอนนี้พ้นอันตราย ได้สตินอนทำหน้าหงอยสำนึกผิดอยู่บนเตียงแพทย์ รายล้อมไปด้วยคนที่เกี่ยวข้องอยู่กันเกือบครบเพราะดันไปทำให้เอลฟ์ที่ยิ้มง่ายและใจเย็นที่สุดในหมู่บ้านโกรธเป็นฟืนไปไฟ

โดยเฉพาะหัวหน้านักวิเคราะห์สาวอย่างไอน์ ซึ่งเป็นคนที่ต้องรับหน้าแสดงความรับผิดชอบต่อความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นคนแรก

“หนูขอโทษจริงๆ ค่ะคุณเอเดลที่ไม่ยอมบอก... พวกเราตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้ทุกคนประหลาดใจ ไม่ได้คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้” ไอน์ก้มหน้ากล่าวขอโทษอย่างจริงจัง

เธอเองไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะเลยเถิดถึงขนาดที่ทำให้เอเดลต้องล้มหมอน เพราะเธอเองรู้ดีถึงความสามารถของฮอรัส ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าเขาเหมาะจะเป็นคู่ประลองที่ยอดเยี่ยมเพื่อให้เอเดลทดสอบความสาสามารถใหม่ในฐานะนักผจญภัยระดับอัญมณีได้อย่างเต็มที่ โดยไม่น่าจะมีใครเป็นอันตรายเพราะไม่ว่ายังไงฮอรัสก็คงไม่ลงมืออย่างจริงจังอยู่แล้ว และจากที่เห็นมันก็เป็นไปอย่างที่เธอคิดเอาไว้เกือบทุกอย่างจริงๆ

ยกเว้นก็แค่เรื่องที่เอเดลดันฝืนความสามารถของตัวเองจนเกินขีดจำกัด ใช้ยากระตุ้นก่อนการประลองจนเกินขนาด บวกเข้ากับร่างกายที่ยังอยู่ในช่วงปรับตัว ไม่ชินกับการใช้พลังเวทมนต์ เพราะถึงเอเดลจะแสดงพรสวรรค์เจิดจรัสออกมาตอนฝึกซ้อม สามารถเข้าถึงความสามารถของไอเทมเวทมนต์ได้อย่างรวดเร็วในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

แต่ว่ากันตามตรงอย่างไรร่างกายของเธอก็เพิ่งจะเคยได้รู้จักกับการถูกสูบพลังเวทมนต์ออกไปใช้ เธอยังไม่รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน ทั้งยังไม่เข้าใจความสามารถของศรเหมันต์อย่างท่องแท้ทำให้ในการประลองนั้นเธอใช้พลังเวทมนต์ของตัวเองจนหมด ถ้าไม่ใช่เพราะยาที่อัดเข้าไปก่อนหน้าเธอคงหมดสติไปตั้งแต่ตอนที่ระดมยิงศรต่อเนื่องตอนนั้นแล้ว ทว่านั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวแย่ลงจนทำให้เธอต้องถูกหามมาที่นี้

“แม่คะ... หนูผิดเอง” เอเดลที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่นเบาในลำคอ คล้ายจะยังไม่หายจากอาการอ่อนเพลีย เรียกความสนใจของผู้เป็นแม่

“ใช่ ผิดแน่อยู่แล้ว!” เอลีอาปั้นหน้าเกรี้ยวกราดหันไปเอ็ดใส่ลูกสาวของตัวเองทันที ทำเอาอีกฝ่ายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยรู้ว่าแม่คงจะกำลังโกรธมากจริงๆ “ลูกคิดอะไรบ้าอะไรอยู่ถึงได้ใช้ยามากขนาดนี้!” เอลฟ์สาวตวาด

“แต่หนูคำนวณดูแล้วมันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะคะ” เอเดลแก้ตัว แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจออกมาชัดกว่าเดิม

“แน่ใจนะว่าจะแก้ตัวแบบนั้น... ผลข้างเคียงของยามันคงทำให้ลูกความจำเสื่อม งั้นให้แม่เตือนความจำให้ฟังนะว่าตัวเองกินยาอะไรเข้าไปบ้าง” เอลีอากล่าวเสียงดุพลางถลึงตาจ้องหน้าลูกสาวเขม็ง

“ยากระตุ้นสัมผัสไม่น้อยกว่าหนึ่งขนาน กระตุ้นกำลังหนึ่งขนาน เพิ่มเลือดอีกสองขนาน แถมยังกินน้ำตาเทพเจ้ากับยางเลือดปีศาจเข้าไปอีก นี่คิดว่าตัวเองเป็นม้าหรือไง!” เอลีอาใช้ประสบการณ์ของตัวเองวินัจฉัย ร่ายรายการยาที่ลูกสาวของเธอกินเข้าไปออกมาได้อย่างแม่นยำไม่มีผิดเลยแม้แต่ขนานเดียว ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหลบตา

เช่นกันกับไอน์ที่พอได้ฟังรายชื่อนั้นก็เผลอทำตาโตหันไปทางหมอของสมาคมคล้ายจะให้ยืนยัน ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็มีเพียงแค่อาการยักไหล่ เพราะอย่างที่เอลฟ์สาวว่า ยาจำนวนขนาดนี้แม้แต่ม้ายังไม่น่าจะรับไหวเลยด้วยซ้ำ

“แม่ปรุงยาให้ สอนวิชาให้ก็เพื่อจะได้ปลอดภัย เอาไว้ใช้เวลาที่ควรใช้ ไม่ใช่เอามาใช้แบบนี้ ถ้าหากยาของแม่มันทำให้เกิดอันตราย สู้ต่อจากนี้ไปแม่ไม่ปรุงให้อีกแล้วจะดีกว่ารึเปล่า หือ?” เอลีกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม ขณะที่สงบสติอารมณ์นั่งลงบนปลายเตียง

“หนูขอโทษค่ะแม่ หนูโง่เอง มัวแต่อยากจะเอาชนะ... อยากพิสูจน์ตัวเอง” เอเดลกลืนน้ำลายฝืนลุกขึ้นมานั่งกับเอลีอา แล้วเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เธอรู้สึก “ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อตอนนั้นหนูก็รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ความสามารถ เทียบกับกลุ่มของคุณคร๊อกคัส เทียบกับคนพวกนั้น พวกอัศวิน องค์ราชินี... เทียบกับฮอรัส หนูทำอะไรไม่ได้เลย”

สิ่งที่เอเดลกล่าวออกมาถือเป็นการตอบคำถามทุกอย่างที่ค้างคาถึงเหตุผลที่เธอต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น เพราะสำหรับเธอเหตุการณ์วุ่นวายในตอนที่ได้รับภารกิจร่วมกับกลุ่มของคร๊อกคัส ลากยาวไปจนถึงเหตุการณ์วันที่ถูกอสูรจู่โจมมันส่งผลกับความมั่นใจและความรู้สึกภายในของเธอมากกว่าที่ใครจะรู้ ไม่แปลกอะไรที่เธอจะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเมื่อเทียบกับคนเหล่านั้นโดยเฉพาะกับฮอรัสที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความแตกต่างมากกว่าใคร

และความจริงข้อนี้ก็ทำให้ทุกคนในห้องต่างก็นิ่งงันเงียบลงไปโดยเฉพาะเอลีอา เธอไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวต้องเพชิญหน้ากับความรู้สึกเช่นนี้มาตลอด

“เห้อ...” เอลีอาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปกุมมือของลูกสาว “แม่ขอโทษ แม่ไม่รู้เลยว่าลูกรู้สึกแบบนั้น”

“ขอโทษทำไมคะ.. ไม่เอาน่า หนูก็แค่พูดถึงเฉยๆ เอง” เอเดลที่เห็นว่าแม่ของเธอ เปลี่ยนสีหน้าจากที่เคยโกรธกลายเป็นเศร้าเช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนเสียงกลับมาแก่นแก้วเป็นเอเดลคนเดิม เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาแบบรับความรู้สึกแทนตัวเอง

“จริงสิ ตอนนี้หนูเป็นนักผจญภจญระดับมรกตแล้วนะ นี่ไงเห็นมั้ย” เอเดลเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับหยิบอัตตะศิลาที่ห้อยอยู่บนสร้อยคอของตัวเองขึ้นมาแสดงให้เอลีอาดูว่าตอนนี้มันไม่ใช่หยกเหมือนอย่างเคย หากแต่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นมณีมรกตไปเรียบร้อยแล้ว “ที่หนูคิดไว้ แม่ควรจะทำหน้าตื่นเต้นกว่านี้นะ” สาวเจ้าว่าพลางยิ้มแห้งๆ เพราะแผนดั่งเดิมมันควรจะเป็นการการเปิดตัวแบบให้ประหลาดใจ แต่กลายเป็นทุกอย่างพังหมดเพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเธอเอง

“ถ้าพ่อยังอยู่ เขาจะต้องภูมิใจมากแน่ๆ จ้ะ” ถึงจะไม่ได้ตื่นเต้นตกใจเพราะรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว แต่อย่างน้อยในที่สุดเอลฟ์สาวก็ยอมเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาให้กับเอเดล เปลี่ยนบรรยากาศหนักหน่วงแต่เดิมให้ผ่อนลงบ้าง

โดยเฉพาะกับนักชาวช่างสาวตัวเล็กอย่างไอน์ที่ตอนนี้ถอนลมหายใจออกมายาวยืดด้วยความโล่งอกไปหนึ่งเปราะ ที่อย่างน้อยก็สะสางเรื่องจนจบไปได้บ้าง ท่ามกลางความผิดพลาดที่ประเดประดังเข้ามามากมาย

ฝ่ายเอเดลเองเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นก็ยิ้มตอบแล้วกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง “แต่ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อคงไม่ชอบใจที่แม่พาฮอรัสเข้าบ้านเท่าไหร่มั้งคะ” เอเดลย้อนหยอกพร้อมส่งเสียงหัวเราะ จนเอลีอาเริ่มขมวดมุ่นคิ้วแสดงหน้าดุมานั้นเองสาวเจ้าถึงได้เลิกเล่น

“เห้อ.. ยังไงก็เถอะ อย่าทำแบบนี้อีกนะเข้าใจมั้ย” เอลีอาย้อนกลับเข้าประเด็นเดิม กำชับถึงเรื่องการใช้ยาเพราะเธอก็รู้ว่าเอเดลนั้นปกติแล้วก็จะใช้โพชั่นเวลาทำภารกิจอยู่เป็นประจำมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่คราวนี้มันก็มากเกินไปจริงๆ

“ค่า...” เอเดลลากเสียงขานตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจจนโดนสายตามองดุนั้นเองถึงยอมตอบแบบจริงจัง “ค่ะๆ หนูเข้าใจแล้วค่ะแม่ จะไม่ทำอีกแล้ว”

เอลีอาได้ยินคำตอบรับดังนั้นแล้วจึงผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองไปทางนักไอน์ที่ยังยืนอยู่ในห้องไม่ได้เดินออกไปไหน “เรื่องประหลาดใจแบบนี้ไม่เอาแล้วนะ ไอน์”

“ขะ ขอโทษจริงๆค่ะ จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว” ไอน์รีบพงกศีรษะรับเป็นการให้สัญญา ก่อนที่เอเดลจะเอ่ยแทรกขึ้นมาบ้าง

“จะว่าไป แล้วเรื่องการทดสอบล่ะ” เอเดลถาม เพราะเธอสลบไสลไปตั้งแต่ในสนามทราย พอได้สติก็มานอนอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปนานเท่าไหร่ แต่จากบทสนทนาทั้งหมดเมื่อครู่ก็เป็นการยืนยันว่าคงจะไม่ได้ผ่านช่วงไปนานนัก แต่อย่างน้อยก็คงนานพอที่การทดสอบทั้งหมดจะจบลง เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงของคนดูจากด้านนอก อีกทั้งไอน์ก็ยังมาอยู่ที่นี้

“เรื่องนั้น ถ้าหมายถึงความเข้ากันได้ของคุณเอเดลกับฮอรัส เท่าที่ประเมินทั้งสองคนน่าทำงานร่วมกันได้ดีค่ะ เพราะคุณฮอรัสสามารหลบหลีกศรของคุณเอเดลได้อยู่แล้วคงไม่มีปัญหาเรื่องการประสานงาน...” ไอน์อธิบาย ถึงสิ่งที่ประเมินได้จากการเก็บข้อมูลในการทดสอบ ก่อนจะหยุดพูดไปครู่นึงจึงถูกเอเดลแทรกขึ้นมา

“ว่าไปแล้ว จริงๆ ฉันยิงโดนหมอนั้นนะ ดอกสุดท้ายไง” ครึ่งเอลฟ์สาวได้ฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายจึงเอ่ยขัดแล้วใช้มือสองข้างเท้าสะเอว เงยศีรษะมองสูงปั้นหน้าภูมิใจแบบเกินจริงเป็นเชิงล้อเลียนเล่นตลกราวกับรูปปั้นผู้พิชิต

ด้วยก่อนจะหมดสติ เธอจำได้แม่นว่าธนูดอกสุดท้ายที่ยิงออกไปนั้นโดนฮอรัสเข้าเต็มๆ ที่ไหล่ซ้าย ทำให้เธออาจจะกลายเป็นคนแรกที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับฮอรัสได้ถึงขนาดทำให้โครงโลหะเสียหายหนัก ถึงมันจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหลบก็ตาม

แต่กลายเป็นว่าท่าทางตลกที่เธอแสดงดูจะไม่มีใครเข้าใจเพราะไม่มีเสียงขำหรือแม้แต่ยิ้มปรากฏบนใบหน้าของใครเลย กลับกันไอน์ยังทำหน้าตาอึดอัดออกมาอย่างประหลาดอีก บ่งบอกว่ามีเรื่องบางอย่างที่เธอไม่รู้เกิดขึ้นกับฮอรัสแน่

“เดี๋ยวก่อน แล้วตอนนี้หมอนั่นไปอยู่ไหน?” พอรู้ว่าบรรยากาศเริ่มแปลกไป เอเดลจึงหรี่ตาถามขึ้นมากลางวงไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษเพราะใครจะตอบก็ได้ทั้งนั้น

“ผมไม่ได้ไปอยู่ไหน แต่คุณเอลีอาห้ามผมเข้าไป เธอขอให้ผมรออยู่หน้าห้อง” พลันตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มต่ำเรียบเฉยอันคุ้นเคยดังลอดประตูเข้ามา เป็นการบอกว่าเจ้าตัวได้ยินเสียงของเอเดลและใช้ส่วนรับสัมผัสเก็บข้อมูลที่ทุกคนคุยกันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น

“ไม่เป็นไรจ้ะฮอรัส เข้ามาเลยก็ได้” เอลฟ์สาวถอนหายใจเบาๆ หนึ่งทีก่อนเรียกฮอรัสให้เข้ามา

และเป็นตอนนั้นเองที่ร่างของหุ่นสงครามปรากฏขึ้นระหว่างที่เขาเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง ฮอรัสหันกวาดศีรษะมองหน้าทุกคนครู่หนึ่งแล้วหยุดตรงหน้าเอเดล ที่บัดนี้ทำหน้าตาตื่นตกใจเผลอกลืนน้ำลายกับสิ่งที่เห็น

“นะ นายไปทำแขนหายเอาไว้ที่ไหนรึเปล่า”

ครึ่งเอลฟ์สาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ยังพยายามจะเล่นตลกประชดกลบเกลื่อน แต่ไม่เป็นผลเพราะยังไงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เธอเห็น เมื่อตอนนี้ฮอรัสคนเดิมที่เธอคุ้นชินนั้นไม่ได้มีอะไรต่างไป

ยกเว้นแขนซ้ายที่หายไปตั้งแต่หัวไหล่ลงมา มีเพียงกระดูกโลหะบริเวณหัวไหล่ที่โผลออกมาภายนอก ถึงไม่มีเลือดแต่ก็ดูสยอง และแม้มันจะมีรูปร่างแตกต่างจากกระดูกทั่วไปของมนุษย์หรือเอลฟ์ แต่ก็พอจะมองออกมาว่ามันถูกสร้างเลียนแบบกระดูกสะบักไหล่และไหปลาร้า มีเส้นอาเคนสีม่วงยึดพันกันเอาไว้อยู่ด้านใน

และจากตรงนั้นเธอยังมองเห็นร่อยความเสียหายที่เกิดจากการแตกร้าวของกระดูกโลหะ ซึ่งหดตัวเฉียบพลันจนถึงจุดที่ทำให้มันกรอบ และถูกกระแทกอีกทีจากหัวศรจนมันแตกเป็นรูตรงจุดที่น่าจะเป็นห่วงล็อกพอดี

ฮอรัสที่ได้ยินคำพูดของเอเดลเช่นนั้นก็เอียงคอเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่านั่นคือคำถามจริงๆ หรือไม่ เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่คุ้นชินกับการประชดเสียดสี

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คนอื่นๆ ดูจะไม่แสดงอารมณ์ขันออกมาเช่นนี้ด้วยแล้ว เพราะแม้แต่เอลีอาก็ยังหันไปทำตาดุใส่ลูกสาว เขาจึงตีความเอาว่านั่นคือคำถามที่ต้องการคำตอบจริงๆ

“เปล่า ผมไม่ได้ทำแขนหาย แต่โครงร่างส่วนข้อต่อของผมเสียหายร้ายแรง จำเป็นต้องถอดส่วนแขนออกเพื่อป้องกันเส้นอาเคนขาด...” ฮอรัสตอบออกไปอย่างเรียบเฉย พลางใช้สายตาสีนิลมองไปที่ตัวต้นเหตุ

และถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากปกติที่ก็ไร้อารมณ์อยู่แล้ว แต่คราวนี้มันกับทำให้คนที่ฟังอย่างเอเดลรู้สึกเหมือนเป็นความเย็นชาห่างเหิน

“ทะ ทำไมไม่ซ่อมล่ะ... แบบทุกทีไง” ครึ่งเอลฟ์สาวยังพยายามถามต่อ ก่อนจะรู้สึกได้ว่าผู้เป็นแม่กุมมือของเธอเอาไว้

“ผมซ่อมแซมส่วนประกอบภายนอกได้ด้วยตัวเอง แต่ผมซ่อมแซมโครงร่างโลหะภายในไม่ได้... แต่คุณช่างเหล็กสัญญาว่าจะหาทางซ่อมให้ผมแล้ว” ฮอรัสใช้การอธิบายแทนคำตอบ พูดถึงช่างเหล็กของสมาคมที่รับปากว่าจะลองหาทางให้ ซึ่งฮอรัสก็เชื่ออย่างสนิทใจ เพราะสำหรับเขาคำสัญญาคือนิยามที่อยู่เหนือกว่าคำสั่งทั้งหมดทั้งมวล เมื่อสัญญาแล้วต้องทำตามคือสิ่งที่เขาได้รับการสั่งสอนมากจากผู้สร้าง

“งั้นก็คงไม่เป็นไร คุณกูลน์ซ่อมได้แน่” พอได้ยินเช่นนั้น เอเดลเอ่ยออกมาด้วยความโล่งใจเพราะเธอเองก็เชื่อมั่นในฝีมือของช่างเหล็กชราเช่นกัน

แต่แล้วตอนนั้นเองที่เธอเหลือบไปเห็นไอน์ส่งสายตามา พร้อมกับแอบส่ายหน้าหลับหลังไม่ให้ฮอรัสสังเกตเห็น สื่อความหมายให้เอเดลรู้ว่าความจริงแล้ว แม้แต่ช่างเหล็กชราตอนนี้ก็ยังไม่รู้วิธีที่จะซ่อมแซมให้ฮอรัสกลับมาใช้แขนได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่าฮอรัสจะต้องแขนด้วนแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครทราบ แต่คนที่เป็นสาเหตุคือเอเดล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด