ตอนที่แล้วบทที่26: ฝูงผีดิบอาละวาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่28: ปริศนาไขเกือบกระจ่างแล้ว

บทที่27: ข่าวลือ


บทที่27: ข่าวลือ

“ฉิบหายแล้ว!” โจวหม่าจงอุทานดัง

ภาพเบื้องหน้าของทุกคนในยามนี้คล้ายเป็นขุมนรกบนโลกวิปลาส หงซาเถียนกับเจ้าหน้าที่มือปราบที่เป็นลูกน้องนับสิบกว่าชีวิตที่คราแรกตั้งใจจะบุกเข้าฟาดฟันฝูงผีดิบสามสิบกว่าตัวให้ดับดิ้น กลับต้องชะงักเท้า เมื่อมีปีศาจหัวหมูป่าที่พวกเขาเพิ่งเอาชีวิตรอดหนีตายจากมันมาในตอนกลางวันกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งในยามราตรีและช่วงเวลาที่ไม่เป็นใจ

หานตงที่ตอนแรกไม่เคยเห็น เพียงได้ยินจากเจ้าหน้าที่มือปราบคนอื่นบอกกล่าวเล่าเรื่อง ยังนึกภาพไม่ออกว่าเดรัจฉานตนนั้นจะมีจริงบนแผ่นดินนี้ได้เช่นไร เวลานี้เขาเห็นแล้ว แม้จะไม่อยากเชื่อในสายตาตนเอง

โจวหม่าจงหันมองไป่ยู่ เห็นอีกฝ่ายเหงื่อกาฬท่วมใบหน้าท่าทางทรมานก็รู้แน่ชัดว่าไม่พร้อมที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เวลาคงมีเพียงเขาที่ต้องหาทางช่วยเหลือให้ทุกคนพ้นภัย แม้จะยังนึกไม่ออกว่าจะทำเช่นไร

“พวกท่านมีโอกาสรอดแล้ว” เป็นไป่ยู่ที่กล่าวคำนั้น

หม่าจงหันไปมองอย่างประหลาดใจ สถานการณ์ที่มีทั้งฝูงผีดิบและปีศาจหัวหมูป่า จะเรียกว่ารอดพ้นได้อย่างไร

“ทุกคนรีบปีนขึ้นหลังคา” ไป่ยู่กล่าว สายตามองหม่าจงแนวแน่ รองหัวหน้ามือปราบมองตอบแล้วพยักหน้าสั่งการให้ทุกคนทำตาม

ทันทีที่มีการเคลื่อนไหว ฝูงผีดิบร่วมสามสิบตัวก็พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจว่ามีปีศาจหัวหมูป่าที่ปรากฏกายยืนขวางทางอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอยู่ คงเพราะเหล่าผีร้ายไม่ได้มีสมองให้คิดในการกระทำ มันเพียงแค่มีตามล่าการเคลื่อนไหวอย่างที่ใครบางคนบงการไว้

พริบตาที่มันกระโจนใส่ ปีศาจหัวหมูป่าตวัดแขนข้างเดียว ใช้กงเล็บที่มี ทำผีดิบร่วมห้าตัวขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ราวกับเศษผ้าเก่าที่ฉีกขาดง่าย เศษอวัยวะของผีดิบพุ่งกระแทกเข้าใส่พวกมันกันเองจนมีอีกหลายตัวที่แขนขาขาดไป ทว่านั่นไม่ทำให้พวกฝูงผีดิบลดละ

พวกมันยังคงกระโจนร่างโถมตัวเขาใส่อย่างไม่กลัวเกรง ปีศาจหัวหมูป่าที่ในตอนแรกไม่ได้สนใจอะไรพวกมัน พอถูกกัดเข้าก็คล้ายมีท่าทีรำคาญ หม่าจงรู้สึกเหมือนกำลังดูฝูงมดเล็กๆ ที่กำลังรุมกัดหมูป่าตัวใหญ่ ไม่มีทางได้ผล แค่เพียงหมูป่ากระทืบเท้าเพียงครั้งเดียว พวกฝูงมดก็มีสิทธ์ตายได้ในครั้งเดียว

หรือเขาควรอาศับจังหวะนี้ในการเล่นงานจุดตายของปีศาจหัวหมูป่า ระหว่างที่มันสนใจแต่กับฝูงผีดิบนั่น

“อย่า! อันตรายเกินไป” ไป่ยู่เอ่ยพอรั้งแขนหม่าจงไว้จนเขาต้องหันมามอง

“แต่...”

“รีบปีนขึ้นไปบนหลังคา พาเฉินหลินไปด้วย”

หม่าจงเองก็รู้ว่าควรทำเช่นนั้น แต่เขาอยากปกป้องทุกคนมากกว่าหนี

“วิธีนี้จะช่วยปกป้องทุกคนได้” ไป่ยู่กล่าวย้ำราวกับอ่านใจหม่าจงออก และนั่นทำให้หม่าจงเลิกลังเล

รองหัวหน้ามือปราบใช้แขนโอบรอบเอวของดรุณีน้อย เฉินหลินท่าทางไม่อยากผละห่างออกจากคนที่ตนประคองอยู่

“เชื่อข้า”

“แต่ท่าน”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะตามไป”

พอไป่ยู่กล่าวเช่นนั้น เฉินหลินจึงยอมให้หม่าจงใช้วิชาตัวเบาพาตนเองขึ้นไปบนหลังคาโดยมีหานตงคอยฉุดรับอยู่ด้านบน ทันทีที่สำรวจรอบด้านเห็นทุกคนขึ้นมาหมดจนปลอดภัยเหลือเพียงไป่ยู่ ทุกคนจึงเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าผีดิบตัวสุดท้ายเพิ่งถูกปีศาจหัวหมูป่ากระทืบเท้าใส่แล้วขยี้ซ้ำจนร่างของมันแหลกเละไม่เหลือชิ้นส่วนใดให้ขยับลุกขึ้นมาได้อีก

“ไป่ยู่รีบขึ้นมา!” หม่าจงตะโกนเร่ง ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะหันมามอง

สิ่งที่จอมเวททำคือเดินลงไปหาปีศาจหัวหมูป่าด้วยท่าทางบอบช้ำ เฉินหลินรู้แน่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรจึงจะรีบลงไปเบื้องล่างเพื่อเคียงข้างแต่หานตงรั้งไว้

“ไม่นะ พี่ยู่ กลับมา!” ดรุณีน้อยร้องเสียงหลง น้ำตาไหลรินสะอื้นดังไม่อายใคร

หม่าจงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เตรียมจะพุ่งลงไปแทน แต่ไป่ยู่สะบัดแขนมาทางด้านหลัง ยกฝ่ามือกางเป็นเชิงห้ามไว้โดยที่สายตายังจับจ้องเดรัจฉานร้ายที่อยู่ตรงหน้า

ปีศาจหัวหมูป่าหันหลังกลับมา ทั่วร่างชโลมไปด้วยเศษเนื้อของเหล่าฝูงผีดิบจนส่งกลิ่นเน่าเหม็น ดวงตาของมันยิ่งดุดันมากกว่าในตอนแรกที่ปรากฏกายออกมา ไม่รั้งรอมันถีบเท้าส่งร่างกายมโหฬารพุ่งเข้าไป่ยู่อย่างรวดเร็ว พื้นที่มันเหยียบแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี

ไป่ยู่ขยับมือทั้งสองข้างเป็นวงอยู่เบื้องหน้าอย่างเท่าทัน พริบตานั้นเกิดเป็นกลุ่มก้อนความมืดไหลออกมาเป็นม่านกั้นกลางอยู่ระหว่างเขาและปีศาจหัวหมูป่า

พอมันพุ่งตัวมาถึงตัวในระยะประชิด เดรัจฉานร้ายกางฝ่ามือแล้วแทงใส่ไป่ยู่อย่างไม่ลังเล ทว่าทันทีที่ปลายเล็บของมันสัมผัสความมืด มันกลับชักฝ่ามือของตนออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวถอยหลังห่างออกมาสามก้าว ปลายเล็บของมันกุดด้วนเป็นรอยตัดหน้าเรียบคล้ายถูกของมีคมเชือดทิ้งไปอย่างประณีต

หนึ่งจอมเวท หนึ่งเดรัจฉานร้ายยืนประจันหน้าในระยะประชิด ไป่ยู่ยังไม่ปลดปล่อยวงเวทความมืดออกจามือ ขณะที่ปีศาจหัวหมูป่าจ้องมองไม่วางตา เพียงสักพักมันผงกหัวขึ้นมองข้ามไป่ยู่ไปทางด้านหลังของเขา จ้องดูอยู่เช่นนั้นที่ประตูห้องที่ไป่ยู่ปกป้องอยู่

มันหันกลับมามองไป่ยู่อีกครั้ง คำรามเสียงดังลั่น อย่างไม่พอใจก่อนจะกระโดดพุ่งตัวหนีหายไปในความมืดอย่างเช่นที่ตอนแรกมา

เบื้องหน้าเหลือเพียงความมืดและซากศพของเหล่าฝูงผีดิบ ไป่ยู่ทรุดตัวล้มลงไม่แรงที่จะทำวงเวทความมืดและยืนทรงตัว เฉินหลินรีบจะลงจากหลังคาจนหานตงต้องเป็นคนช่วย ดรุณีน้อยวิ่งนำคนอื่นๆ ไปหาไป่ยู่ด้วยความเป็นห่วง

“ท่านเป็นอะไรไหม?” น้ำเสียงนั้นทั้งตื่นกลัว ทั้งรนร้อน แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง

นางประคองร่างของจอมเวทไว้ในอ้อมกอด ไป่ยู่ยิ้มตอบให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าตนไม่เป็นอะไรหนักหนาสาหัส หม่าจงเดินตามเฉินหลินมา จนถึงตัวทั้งสอง เขายื่นมือเข้าประคองร่างของไป่ยู่ให้ลุกขึ้นยืน

“มันไปแล้วสินะ”

“ใช่”

“จบเรื่องแล้วใช่ไหม?” หม่าจงกล่าวถาม

“ยัง รีบนำกำลังคนไปดูงักหลิวในคุก ข้าเกรงว่าเขาจะเป็นอันตราย”

หม่าจงรับคำแล้วตะโกนสั่งหานตงให้รีบทำตาม อีกฝ่ายรับคำแล้วปฏิบัติในทันที นำกำลังคนเกือบสิบไปดูงักหลิวที่ถูกขังอยู่ในคุก

“จบเรื่องแล้วใช่ไหม” หม่าจงหันมาถามอีกครั้ง

ไป่ยู่พยักหน้าแทนคำตอบ ทันทีนั้นเอง หม่าจงปล่อยมือที่ประคองไป่ยู่ไว้แล้วตะบัดหมัดใส่อย่างเต็มแรงเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาของเขาดุดัน เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธเคือง

ไป่ยู่หน้าสะบัดตามแรงชก ร่างหมุนคว้างก่อนล้มลงกระแทกพื้น ซาเถียนที่เดินตามมาเห็นเช่นนั้นจึงตกใจ รีบวิ่งเข้ามา แต่ช้ากว่าเฉินหลินที่ยืนอยู่ตรงนั้น ดรุณีน้อยรีบเข้าประคองร่างของจอมเวทขึ้นมา

“ท่านทำบ้าอะไรของท่านน่ะ ทำร้ายเขาทำไม” นางแว๊ดใส่อีกฝ่ายทันที

“โทษฐานที่โกหกข้าและเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ลุกขึ้นมา เจ้าคิดว่าถ้าช่วยให้ทุกคนรอดจนตัวเองตาย แล้วข้าจะดีใจหรือไง! คิดบ้างไหมว่าข้าจะรู้สึกยังไง คิดบ้างไหมว่าการเสี่ยงตายของเจ้าจะกลายเป็นแผลในใจของข้า”

คำพูดระบายความอัดอั้นโกรธเคืองของหม่าจงทำให้เฉินหลินชะงัก รองหัวหน้ามือปราบกล่าวถูกแล้ว ถ้าตัวนางเองรอดแล้วไป่ยู่ต้องตาย นางเองก็คงเสียใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป

“ลุกขึ้นมา ข้ายังชกเจ้าไม่พอ!” หม่าจงกระชากเสื้อของไป่ยู่แต่เฉินหลินรีบตีมือของเขาไว้

“พอได้แล้ว เขาสลบไปแล้ว” สิ้นคำของดรุณีน้อย ครานี้ไม่เพียงแต่ซาเถียนที่หน้าเสีย กระทั่งหม่าจงเองก็หน้าถอดสีด้วยเช่นกัน ไม่คิดว่าหมัดเดียวของตนเองจะรุนแรงถึงเพียงนี้

 

...........................................

 

แสงยามเช้าส่องสว่างทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศของวันนี้ดูสดใสกว่าหลายวันที่ผ่านมา งักฮัวนั่งทอดถอนใจอยู่ที่เก้าอี้ม้าหินในสวนของจวน นึกถึงฝันร้ายเมื่อคืนที่ทำให้หวาดกลัว สีหน้าอิดโรยทำให้รู้ว่าหลังจากตกใจตื่นนางก็ไม่ได้หลับอีกเลย

เด็กสาวเหม่อมองไปรอบๆ เห็นบ่าวเดินผ่าน พออีกฝ่ายเห็นนางก็เบือนหน้าหนีทำเป็นไม่เห็น เป็นการกระทำที่สะเทือนในความรู้สึก จนชวนให้กลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม เพียงไม่นานหลังจากนั้น เสี่ยวจือก็เข็นรถเข็นที่ท่านย่าฝูเดินอยู่ผ่านสวน

งักฮัวเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นจะเข้าไปทักทาย ทว่าเสี่ยวจือกลับเข็นพาท่านย่าฝูจากไปโดยไม่สนใจ ทั้งที่อีกฝ่ายเห็นนาง เด็กสาวได้แต่ทรุดตัวลงรู้สึกสะท้านในอก ไม่ใช่แค่เพียงหว้าเหว่ แต่รู้สึกเจ็บปวดในใจ นางเคยคิดว่าทำไมทุกคนถึงได้พยายามทำเหมือนกับนางไม่มีตัวตน เพราะนางเกิดเป็นเช่นนั้นหรือ หรือเพราะนางเกิดในวันที่มีอาเพศรุนแรง หรือเพราะนางเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดามารดาต้องตายอย่างที่ใครๆ ลือกัน

ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด เด็กสาวปล่อยให้น้ำตาไหลริน แมวตัวหนึ่งเดินผ่านอยู่บนกำแพงรั้วคฤหาสน์ ส่งเสียงร้องจนงักฮัวหันไปมอง

เด็กสาวมองมัน มันมองตอบก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ งักฮัวนึกถึงแมวสีเขียวที่ไป่ยู่เสกจากใบไม้แล้วพลันนึกถึงจอมเวท เวลานี้อีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรนะ

คิดได้ดังนั้น จึงตัดสินใจไปหาอีกฝ่ายและใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมพี่ใหญ่ของตนด้วย

“เมื่อเช้าข้าไปตลาดได้ยินรื่องประหลาดมา”

“เจ้าไปได้ยินเรื่องอะไร”

“คนในตลาดเล่าว่า เมื่อคืนมีผีดิบอาละวาดที่อำเภอ”

“เหลวไหล!”

“เจ้าว่าข้าทำไมเนี่ย ข้าฟังมายังไงก็เอามาเล่าให้เจ้าฟังอย่างนั้นยังจะมาว่ากันอีก”

“ข้าไม่ได้ว่าเจ้า แต่เรื่องที่เจ้าได้ยินมามันเชือได้ที่ไหนกัน”

“ทำไมจะเชื่อไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรื่องประหลาดเกิดขึ้นเยอะแยะในเมืองของเรา ทั้งห้าสิบสองศพปริศนา ทั้งเรื่องของคุณชายรอง ไหนจะเรื่องเมื่อวาน... ที่คุณหนูงักฮัวไปแก้ผ้าเปลือยกายอยู่ในป่า คราวนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือ เมื่อวานเจ้าก็เห็น ตอนที่พวกมือปราบพานางกลับมา เนื้อตัวสกปรกเต็มไปด้วยเลือด ไม่รู้นางเข้าไปทำอะไร”

“เจ้าหมายความว่าไง”

“ก็... เจ้าเพิ่งมาอยู่ไม่นาน คงไม่เคยได้ยิน เรื่องที่คุณผู้ชาย ข้าหมายถึงบิดาของพวกคุณๆ ทั้งหลายน่ะ”

“งักหลอพ่อของคุณชายคุณหนูน่ะเหรอ”

“ใช่ เขาลือกันว่า คุณผู้ชายเป็นพวกจอมเวท เล่นไสยศาสตร์จนวันหนึ่งของชั่วร้ายเข้าตัวทำให้ตาย”

“แล้วยังไง?”

“โอ๊ย! เจ้านี่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเลย”

“ก็ข้าเพิ่งมาใหม่ จะไปรู้เรื่องอะไรล่ะ”

“คุณหนูงักฮัว เป็นลูกที่คุณผู้ชายเลี้ยงเองกับมือ เลี้ยงแบบที่พาไปไหนไปด้วยกันตลอด แม้กระทั่งเวลาที่เขาเข้าไปในป่า คนลือว่าที่เขาเข้าป่าไปเพราะไปทำคุณไสยอะไรสักอย่างเพื่อตามหาสมบัติ”

“แล้วยังไง”

“โอ๊ยยยยย! ข้าละหน่ายเจ้าจริงๆ ลองคิดตามสิ คุณผู้ชายเข้าป่าไปเล่นไสยศาสตร์โดยพาลูกสาวไปด้วย พอเขาตาย ลูกสาวก็เข้าป่าไปเหมือนกับที่เขาทำ เจ้าคิดว่ามันมีความหมายยังไง?”

“เจ้าหมายความว่า!!”

“ใช่!”

“คุณหนูคิดถึงบิดา เลยเข้าไปในป่าทุกวัน”

“อีโง่! ข้าอยากจะบ้าตาย ทำไมข้าต้องมาเป็นเพื่อนกับคนโง่ๆ เช่นเจ้าด้วยนะ”

“เอ้า! มาว่ากันทำไมเนี่ย หรือมันไม่จริง ถ้างั้นที่คุณหนูเข้าป่าไปหมายความว่ายังไง”

“ไม่รู้แล้ว เจ้าไปคิดเอาเอง”

“บอกข้าหน่อยสิ บอกหน่อยๆ”

“อย่ามาเซ้าซี้”

สองบ่าวโต้เถียงกันเดินจากไปโดยไม่รู้เลยว่าคนที่ตนกำลังกล่าวถึงได้ยินทุกประโยคที่พวกนางเอ่ย งักฮัวนิ่งฟังนึกถึงสิ่งที่บิดาเคยทิ้งไว้ให้ในป่า สิ่งที่ทำให้บิดาตาย สิ่งที่อาจทำให้ทุกคนนอกจากนางต้องตาย

 

.......................................

 

“เมื่อกี้ที่นั่งอยู่ในสวนคืองักฮัวใช่ไหม” ท่านย่าฝูเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาราวกระซิบ

“ใช่ค่ะท่านแม่”

“ทำไมเจ้าถึงไม่สนใจนาง พาข้าหลบมา”

“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นเพราะนาง ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ตอนเข้าไปวุ่นวายกับนางอีก”

“แต่นางเป็นหลานข้า แล้วยังงักหลิวอีกวันนี้เจ้ารับปากข้าว่าจะไปดูเขาที่คุก แล้วนี่มันยามไหนแล้วเจ้ายังไม่ไป พวกเขาเป็นหลานของข้านะ”

“แต่ข้าเป็นลูกท่าน!” เสี่ยวจือขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ ท่านย่าฝูเงียบไปคล้ายมีบางอย่างในใจ

“ขะ ข้าขอโทษค่ะท่านแม่ ข้าแค่เห็นท่านตอนนี้สุขภาพไม่แข็งแรง เกรงว่าหากไปเข้าใกล้นางอีก จะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้ ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นอันตราย”

“ช่างเถอะๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง” กล่าวจบท่านย่าฝูก็หลับตาลง ในใจนึก หวังให้ทุกอย่างคลี่คลายลงเสียที

เสี่ยงจือมือกำที่เข็นรถแน่น รู้สึกอึดอัดภายในใจ หากเลือกได้นางคงไม่อยากอยู่ในคฤหาสน์นี้ หากเลือกได้ นางไม่ขอเป็นคนของสกุลนี้ด้วยซ้ำ แต่นางใช่จะมีทางเลือกอื่น ยกเว้นแต่ทุกคนจะตายไปให้หมดสิ้นเท่านั้น...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด