ตอนที่แล้วChapter 25 : เกมนี้ไม่มีคำว่าเพื่อน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 27 : การฝึกในกุญแจ

Chapter 26 : กฎหมายผู้ใช้เวท


Chapter 26 : กฎหมายผู้ใช้เวท

ผม ไอรีน และมินจุนถูกผู้รักษากฎหมายประจำเมืองเข้าล้อมจับ

แต่ละคนสวมเครื่องแบบป้องกันความร้อนและความเย็นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อป้องกันเวทมนตร์ที่เกิดจากตัวผู้ใช้เวท ใบหน้าถูกสวมด้วยหน้ากากสีขาว ดูแข็งแรงทนทาน มีกระจกสีดำป้องกันบริเวณดวงตา บนมือของแต่ละคนถือปืนเลเซอร์ความเข้มสูงเล็งตรงมาที่พวกเรา แถมมีหุ่นยนต์ AI ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในสงครามวิ่งตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แขนของพวกเราถูกล็อกด้วยกุญแจมือแบบพิเศษ เป็นชนิดที่ต้องใช้การเข้ารหัสด้วยแสงที่มีความปลอดภัยสูง มันแข็งแรงทนทาน ที่แม้แต่ความร้อนก็ทำอะไรไม่ได้

                “พวกคุณถูกจับ ! ข้อหาทำความเสียหายให้กับพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ไปกับพวกเราได้แล้วครับ” เสียงดังขึ้นมาจากผู้รักษากฎหมายคนหนึ่ง ที่เดินตรงมาดันหลังพวกเราให้เดินไป พร้อมกับปืนเลเซอร์ความเข้มสูงที่จี้หลังเอาไว้  ผมหันไปมองหน้ามินจุนกับไอรีน ทั้งสองคนนั้นพยักหน้าเป็นเชิงว่าต้องตามน้ำไปก่อน พวกเราเลยต้องเดินตรงไปยังเครื่องบิน AI ที่จอดรออยู่ไม่ห่าง ซึ่งเป็นเครื่องบินสำหรับนำตัวอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรงไปขังไว้

เมื่อมองสภาพรอบ ๆ ก็เสียหายหนักมากจริง ๆ เพราะพื้นที่ที่เคยเป็นบ้านพักที่สวยงามยุบลงไปหลายสิบเมตรจนไม่เหลือซาก รัศมีจากการระเบิดกินเนื้อที่ความเสียหายรอบด้านไปอีกไม่น้อย ถือได้ว่าซาจิททาเรียสมีพลังโจมตีสูงมากแบบที่ผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน ดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายอะไร ส่วนพวกที่ตามล่ามินจุนก็หายไปไวจนพวกเราไม่ได้สังเกต คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัด ทำไมถึงมีแค่พวกเราที่ถูกล้อมจับเนี่ย เป็นเพราะความมีชื่อเสียงของมินจุนคนเดียวเลย ไม่งั้นป่านนี้ได้เผ่นแน่บกันไปแล้ว ดันมีชื่อการจองและหลักฐานมากมายในการมาพักที่นี่เพื่อแสดงในงานเทศกาลดนตรี หนีไปวันนี้ก็ต้องหนีตลอดไปอยู่ดี

เฮ้อ ...

แต่ถ้าไม่ได้ซาจิททาเรียสช่วยไว้ พวกเราก็อาจจะแย่เหมือนกัน โดยเฉพาะผมที่พลังถูกแชร์มาจากลีโอแทบจะไม่มีเหลือเรี่ยวแรง ตอนนี้แค่ขยับตัวยังเดินเซเหมือนคนเมา ครั้งนี้หลังจากยืมพลังจากลีโอ สภาพก็ดีกว่าเดิมขึ้นมาหน่อย ไม่ถึงกับสลบ แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นจนขนาดเดินตัวปลิวไปยังเครื่องบิน AI ที่จอดรออยู่เหมือนมินจุนและไอรีน จนหุ่นยนต์ AI ที่อยู่ด้านหลังผมใช้ปืนเลเซอร์ความเข้มสูงกระทุ้งที่หลังให้เดินเร็ว ๆ ขึ้น

                “มีผู้บาดเจ็บบริเวณรอบ ๆ แต่ไม่สาหัสสามสี่คนครับ แต่เราพบศพของชายคนหนึ่งที่ติดอยู่ในซากปรักหักพังไม่ห่างเสียชีวิตแล้วครับ ดูเหมือนจะเป็นผู้ใช้เวท ถูกฆ่าด้วยของมีคมเสียบทะลุลำคอเลือดไหลจนเสียชีวิตครับ”

ผมได้ยินเสียงของผู้รักษากฎหมายคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้บังคับบัญชาของตนขณะเดินตรงไปที่ประตูเครื่องบิน AI ผมเงี่ยหูฟังทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น หมายความว่าไง พวกเราทุกคนต่างหนีออกมาจากรัศมีของการระเบิดที่ซาจิททาเรียสเป็นคนทำ แล้วหนึ่งในพวกที่ตามล่ามินจุน ถ้าจะตาย จะตายด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่จากแรงระเบิดได้ยังไงกัน

สมองเริ่มไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ช่วงที่ชุลมุนอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ผมตัดฮิโรชิออกไป ไม่น่าใช่คนที่ตาย เพราะตอนที่เกิดการระเบิดเขาอยู่กับผม ไม่น่าจะเอาตัวเองไปอยู่ในรัศมีการระเบิด และถูกเศษซากปรักหักพังร่วงใส่ได้ คนที่เสียชีวิตน่าจะเป็นเฉิน แถมไม่ได้ตายเพราะเศษซากปรักหักพังร่วงใส่ แต่ตายด้วยการถูกฆ่าเนี่ยนะ หรือว่าพวกนั้นจะหักหลังกันเอง

นิโคลงั้นหรอ ...

พอคิดได้แบบนั้นผมเองก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ที่ต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ยังฆ่ากันเองได้ลงเพื่อกุญแจในตำนาน พอมองย้อนกลับมาที่กลุ่มตัวเองก็แอบหวั่นใจเหมือนกัน ถ้าสุดท้ายมันเหลือแค่พวกเราสามคนจริง ๆ เราจะฆ่ากันเองจริง ๆ น่ะหรอ การฆ่าใครสักคนเป็นเรื่องยากสำหรับผม ผมยังจำความรู้สึกตอนนี้ที่ผมง้างดาบจะแทงเข้าที่หัวใจฮิโรชิได้อยู่เลย ผมเกือบใจไม่แข็งพอ ถ้าไม่มีการระเบิดเกิดขึ้นก่อนก็ไม่รู้ว่าผมจะทำลงหรือเปล่า

ฆ่าคนนะ ไม่ใช่ผักปลา ...

ผมก็แค่คนธรรมดา ... ที่ใช้ชีวิตปกติ

การเข้ามาเผชิญเรื่องอะไรแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ยากจริง ๆ ...

“พบผู้หญิงอีกคนในที่เกิดเหตุไหมครับ” ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่านิโคลถูกพบตัวไหม

“คุณจะรู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องของคุณ แค่นี้ยังสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไม่พออีกหรอ คิดว่าเป็นผู้ใช้เวทแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง พวกคุณตีกันแบบไม่เกรงใจคนอื่นแบบนี้ คุณโดนขังลืมแน่”

“รีบเดินขึ้นเครื่องบินไปได้แล้ว !”

ตามมาด้วยเสียงตวาดดังลั่นเหมือนอารมณ์เสีย เล่นเอาผมมึนไปเลย จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็ไอ้คนพวกนั้นมันตามมาฆ่าพวกเรา แต่ก็ไม่แปลกสำหรับคนที่ไม่รู้หรอก คงคิดว่าผู้ใช้เวททะเลาะตีกันจนเกิดความเสียหายหนักแบบนี้ เป็นคนธรรมดาก็คงจะมองพวกเราในแง่ร้ายไปเลย เรื่องราวของกุญแจดอกที่สิบสามคงเป็นปริศนาสำหรับพวกเขา ว่าแล้วผมก็เดินต่อไปยังเครื่องบิน AI ที่จอดอยู่ไม่ห่างตรงหน้า

แต่ก่อนที่ขาของผมจะก้าวขึ้นไปบนเครื่องบิน AI วงแหวนเวทสีขาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบริเวณไม่ห่างจากเครื่องบินมากนัก หลังจากแสงสว่างหายไปก็ปรากฏให้เห็นเป็นกลุ่มคนประมาณสิบคนเดินออกมา นี่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์แต่เป็นเวทมนตร์ กลุ่มคนพวกนั้นใส่ชุดสีขาวทั้งตัว บางคนหนุ่มบางคนแก่ เดินตรงมาหายังพวกเรา โดยมีผู้หญิงอายุราว ๆ 40 คนหนึ่งเดินนำหน้าออกมา

ดูจากลักษณะแล้วเธอเป็นคนเอเชีย ประกอบกับผมและสีของดวงตาที่เป็นสีดำสนิท ใบหน้าของเธอดูน่าเกรงขาม น่าเคารพ เหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนพวกนี้ ร่างนั้นเดินตรงมาหาผู้รักษากฎหมายประจำเมืองก่อนชูป้ายอะไรบางอย่างออกมาให้ดู มันคล้ายกับเป็นตราอะไรบางอย่างสีทอง ด้านบนตรานั้นปรากฏเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีทั้ง 12 ปรากฏอยู่

“พวกเขาไปไหนไม่ได้ พวกเขาอยู่ในความดูแลของสมาพันธ์ผู้ใช้เวท ตามกฎหมายของผู้ใช้เวทและมนุษย์ตามมาตรา 2589 วรรค 9” ผู้หญิงคนนั้นพูด

“แต่พวกเขาทำผิดกฎหมาย สร้างความเสียหายให้กับตัวเมืองมหาศาล” หัวหน้าผู้รักษากฎหมายประจำเมืองพูดแย้ง

“เรื่องนี้จะถูกพิจารณาในศาลผู้ใช้เวท เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการทะเลาะวิวาท ปล่อยพวกเขาซะ พวกเขาอยู่ในความคุ้มครองของสมาพันธ์ผู้ใช้เวท ความเสียหายทั้งหมดจะมีการพิจารณาและจ่ายคืนอย่างแน่นอน” เธอพูดต่อ

“แต่ ...”

ยังไม่ทันที่หัวหน้าผู้รักษากฎหมายจะพูดจบประโยค เสียงที่ดูสุภาพแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามก็พูดตัดบททันที

“ทางเราจะมีการพิจารณาไต่สวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะมีอำนาจที่น่ายำเกรงพอสมควร หัวหน้าผู้รักษากฎหมายเหมือนจะหมดคำพูด เขาจึงหันไปพยักหน้าให้กับหุ่นยนต์ AI ก่อนหุ่นยนต์พวกนั้นที่ได้รับคำสั่งจะปลดล็อกกุญแจที่พันธนาการมือของพวกเราไว้ ไอรีนและมินจุนที่เดินขึ้นไปบนเครื่องบินแล้วเดินกลับมารวมตัวกลับผม พวกเราจึงเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นและกลุ่มคนในชุดขาว ในขณะที่กลุ่มผู้รักษากฎหมายในเมืองต่างเข้าไปกันพื้นที่บริเวณรอบ ๆ และให้ผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไปพักผ่อน ส่วนใครที่ได้รับบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบจากการระเบิดจะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในไม่ช้า

                “ฉันชื่อฟางหรง เป็นหัวหน้าสมาพันธ์คุ้มครองผู้ใช้เวท พวกคุณตามฉันมา” ฟางหรงพูดขึ้นมาก่อนหันหลังเดินนำพวกเราไป

พวกเราไม่ได้ซักถามอะไรฟางหรงต่อ ได้แต่เดินตามฟางหรงไปรวมกลุ่มกับผู้ใช้เวทในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างมาก

“พลังเวทมหาศาลถูกตรวจพบที่นี่ มันไม่น่าจะมาจากฝีมือของพวกคุณ แต่เป็นภูติดวงดาวถูกไหม” ฟางหรงหันมาพูดกับพวกเรา

“ครับ” มินจุนเป็นคนพูดตอบออกไป

“พวกเรารู้ ว่าตอนนี้กำลังเกิดสงครามขึ้นระหว่างผู้ใช้เวทผู้ถือครองกุญแจจักรราศีทั้ง 12 คน ตามประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน เราไม่มีสิทธิไปห้ามการตัดสินใจของพวกคุณที่จะเข่นฆ่ากันเอง แต่ตอนนี้โลกได้เปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ผู้ใช้เวทเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ดังนั้นการจะทำอะไรต้องระมัดระวัง นอกจากนี้ สิ่งที่พวกคุณทำมันจะส่งผลอาจทำให้เกิดความสั่นคลอนระหว่างมนุษย์ธรรมดากับพวกเรา รวมถึงอาจจะทำให้เกิดสงครามได้อีกด้วย”

“การที่นำตัวพวกคุณออกมาแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสนับสนุน แต่หากพวกคุณตกไปอยู่ในมือของฝั่งมนุษย์อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ พวกเราจึงต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”

“พวกคุณจะต้องถูกเชิญเข้าไปชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นในศาลของผู้ใช้เวท ซึ่งจะมีการพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ทางเราจะส่งจดหมายเชิญไปยังที่อยู่ของพวกคุณทั้งสามคน หากพวกคุณไม่ไปจะถือว่าพวกคุณทำความผิดและกลายเป็นอาชญากรผู้ใช้เวทโดยสมบูรณ์ หมดเรื่องของฉันแล้ว พวกเราจะส่งคุณไปยังที่อยู่ของคุณ โปรดบอกที่อยู่ของพวกคุณมา ที่นี่พวกเราจะจัดการให้เอง”

ฟางหรงพูดออกมายาวเหยียด แทบไม่เว้นวรรคอะไรให้พวกเราได้ซักถามอะไรเลย พวกเราได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มินจุนเป็นคนบอกที่อยู่ร้านของพ่อผมไป ก่อนจะเกิดวงแหวนเวทย์ใต้เท้าของพวกเราสามคน ผู้ใช้เวทแต่ละคนมายืนล้อมรอบตัวเรา ผมรู้ว่าการใช้เวทมนตร์ในการเคลื่อนย้ายมนุษย์ทำได้ยากมาก และมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ฟางหรงเป็นหนึ่งในนั้น

แสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นมารอบด้าน ผมหลับตาเพื่อป้องกันแสงที่สว่างเกินไปเหล่านั้น

และพอลืมตาขึ้นมาอีกที

พวกเราสามคนก็กลับมาอยู่ที่ด้านหน้าของร้านกาแฟ Karan Café เรียบร้อยแล้ว …

 

                หนึ่งอาทิตย์หลังจากกลับมาจากงานเทศกาลดนตรี ช่วงเวลาของปีเก่าก็ใกล้หมดลงไปทุกที จดหมายจากศาลเรียกตัวพวกเราไปชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นก็ส่งตรงมายังบ้านตามที่ฟางหรงบอก พร้อมกับกำหนดวันเวลาที่พวกเราต้องไปรับการพิพากษาความผิดและชี้แจงตามกฎหมายผู้ใช้เวท ซึ่งมีกำหนดการก่อนปีใหม่ในอีกสี่ห้าวันข้างหน้า โดยต้องเดินทางไปที่ Zodiaco [โซเดียโค] เมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรป เป็นเมืองที่ถือว่าเป็นศูนย์รวม และมีสถานที่สำคัญของผู้ใช้เวทอยู่ที่นั่น เมืองนี้แยกตัวออกจากทุกประเทศ ถือว่าเป็นเมืองอิสระ ดูแลตัวเอง ไม่ขึ้นกับใครและประเทศไหน แถมยังเป็นเมืองหลวงของผู้ใช้เวทอีกด้วย

แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น พวกเราก็กลับมาใช้ชีวิตปกติที่ร้านกาแฟของพ่อผม ลีโอหายไปอยู่ในกุญแจเพื่อฟื้นพลังอีกหนึ่งวันเต็มหลังจากกลับมา ส่วนตัวผมก็ยังคงต้องฝึกการใช้ดาบกับลีโอทุกเย็นที่ห้องใต้ดินทุกวัน หลังจากลีโอฟื้นพลังเวทตัวเองเสร็จ ไอรีนกับมินจุนเองช่วงนี้ก็ไม่ได้ทำอะไร เข้ามาฝึกพลังเวทพร้อมกับผมเช่นกัน

เทศกาลคริสต์มาสเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ยังคงมีมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นตำนานที่เก่าแก่เหลือเกิน ช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวก่อนเริ่มต้นปีใหม่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ตัวผมเองก็ไม่ได้มีงานวิจัยจากบริษัทต่าง ๆ เข้ามาเพิ่ม จึงถือว่าเป็นช่วงพักผ่อน ก่อนที่เราจะเดินทางไปโซเดียโคในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนนี้ทั้งร้านค้าและบริเวณทั่วทั้งเมืองต่างถูกประดับประดาไปด้วยต้นคริสต์มาสสีเขียว และตกแต่งด้วยของประดับอื่น ๆ อีกมากมายให้เข้ากับเทศกาล ที่ร้านของพ่อผมก็เช่นกัน ร้านของเราเอาอุปกรณ์คริสต์มาสที่ใช้ตกแต่งร้านเป็นประจำทุกปีออกมาตั้งโชว์

บริเวณกลางร้านมีต้นคริสต์มาสสีเขียวตั้งอยู่พร้อมกับติดกระดิ่งสีทองห้อยไว้ทั่วทั้งต้น ด้านหลังของต้นคริสต์มาสมีกล่องของขวัญหลายกล่องตั้งอยู่ไม่ห่าง บริเวณนั้นไอรีนกับมินจุนกำลังช่วยกันเอาของมาตกแต่งร้านต้อนรับคริสต์มาสและปีใหม่ ผมเดินเข้าไปหาไอรีนที่กำลังติดกระดิ่งบนต้นคริสต์มาสเพลิน ๆ พร้อมกับแกล้งแหย่ส่งเสียงดังให้เจ้าตัวตกใจเล่น

                “โฮ โฮ โฮ่ !” ผมร้องออกไปเสียงดังข้างหูไอรีน พร้อมกับทำเสียงเลียนแบบซานตาคลอสให้เธอตกใจ

“โอ๊ย !”

เปล่า ... ไม่ใช่เสียงไอรีน แต่เป็นเสียงของผมเอง ที่เจ้าตัวเอาศอกกระแทกเข้าให้ที่ท้องจนจุก แถมถูกบิดแขนไพล่หลังไว้อีกต่างหาก

“เล่นบ้าอะไรของนายเนี่ย” ไอรีนถามออกมา

“เล่นเป็นซานตาคลอสไง ปล่อยได้แล้วครับผม เจ็บ โอ๊ย !” ผมพูด ร้องโอดโอยทำท่าทางน่าสงสาร หยิบหมวกซานตาคลอสสีขาวแดงออกจากหัว

“ซานตาที่ไหนเขาหน้าตาโรคจิตแบบนี้ฮะ” ไอรีนตอบกลับมา

“เธอนี่ไม่เคยมองฉันดี ๆ เลยหรือไงเนี่ย ฉันออกจะหน้าตาดี เป็นซานตาที่หล่อที่สุดในเมือง” ผมพูดออกไป ยิ้มโชว์ฟันขาวไปอีกรอบ

“หึ นายอยู่กับลีโอมากไปหรือเปล่า โรคหลงตัวเองถึงได้ติดมาได้เนี่ย”

“เฮ้อ ก็นะ ความจริงก็คือความจริง ถึงเธอจะปฏิเสธยังไงก็ตาม จริงไหมวะมินจุน” ผมพูด หันไปหาเสียงซัพพอร์ตจากมินจุนที่กำลังเรียงกล่องของขวัญใต้ต้นคริสต์มาสให้สวยงาม

“เอาที่นายสบายใจเลย ฉันสนับสนุนเต็มที่” มินจุนตอบผมกลับมา หันไปสนใจกล่องของขวัญใต้ต้นคริสต์มาสต่อ

เห็นไหม ... เพื่อนดี ๆ เขาต้องแบบนี้

ใช่หรอ ...

ในขณะที่อีกมุมหนึ่งของบ้านลีโอเดินออกมาจากโซนครัวในชุดมาสคอตกวางเรนเดียร์ ที่ผมเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา ดูตลกดี ใบหน้าขี้เก๊กของลีโอเถียงกับฟินิกซ์ไม่หยุด โดยมีสาว ๆ ภูตดวงดาวอย่างสองฝาแฝดไพส์ซีสและอควาเรียสช่วยสนับสนุนฟินิกซ์ ส่วนซาจิททาเรียสเข้าไปอยู่ในโซนทำเค้กกับพ่อผม ซาจิททาเรียสดูเป็นภูติที่ชอบศึกษาการทำอาหารมาก เวลาเห็นพ่อผมทำอะไรก็เข้าไปดูตลอด ต่างจากลีโอที่หมอนั่นเอาแต่กิน

“ทำไมฉันต้องใส่ชุดมาสคอตกวางเรนเดียร์ด้วยเนี่ยฟินิกซ์ ฉันเป็นสิงโต ไม่ใช่กวาง” ลีโอร้องโวยวายออกมา ทำท่าจะดึงที่คาดผมที่มีเขากวางติดอยู่ด้านบนของหัวออก

“ใส่ ๆ ไปเถอะน่า นายกินอาหารไปตั้งเยอะ ถูกใช้งานแค่นี้ ยังไม่ถึงครึ่งค่าอาหารที่นายกินไปเลยลีโอ” ฟินิกซ์พูด

“ใช่ จากสิงโตหน้าหม้อจะกลายเป็นเรนเดียร์หน้าหม้อไง” ตามมาด้วยสองฝาแฝดไพซ์ซีสที่พูดเสริมฟินิกซ์ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงอะไรใด ๆ กับเรื่องราวที่พูดก่อนหน้าทั้งสิ้น ส่วนอควาเรียสเห็นหน้านิ่ง ๆ ก็จ้องลีโอเป็นเชิงขู่ว่าต้องใส่

ผมก็ได้แต่มองแล้วก็ขำไป ...

ก่อนเดินยิ้มฮัมเพลงไปเอาป้ายที่แขวนอยู่ที่ประตูด้านหน้าร้านสลับด้านออกมาจากคำว่า Close เป็น Open

ถ้าทุกวันเป็นแบบนี้ก็คงดี ...

                Merry Christmas …

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด