ตอนที่แล้วบทที่ 9 มีดเสียง (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 มีดเสียง (3)

บทที่ 10 มีดเสียง (2)


บทที่ 10 มีดเสียง (2)

 

        ดูเหมือนอินจู๋จะรู้ว่าเขาอยู่ข้างหลังตั้งนานแล้ว จึงก้มหน้าลงก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าม่วง ข้าต้องไปแล้ว”

 

เงาร่างวูบไหว แผ่นหลังสูงใหญ่นั้นขยับมาอยู่ตรงหน้าอินจู๋ ในหมู่คนธรรมดา อินจู๋ที่อายุสิบหกปีซึ่งสูงถึงร้อยแปดสิบนับว่าไม่เตี้ยแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคนตรงหน้ากลับยังต่ำกว่าตั้งครึ่งหัว เส้นผมสีม่วงยุ่งเหยิงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่และกำยำราวกับเต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมา ใบหน้าคมดุจมีดฝานขวานตัดให้ความรู้สึกแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า นัยน์ตาสีม่วงเข้มประกายระยับดุจดวงดาว บ่ากว้างของเขาราวกับสามารถแบกรับทุกอย่างเอาไว้ได้

 

เย่อินจู๋โตแล้ว เจ้าม่วงก็โตแล้วเช่นกัน สิบปีผ่านไป การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของร่างกายเขาทำให้ครอบครัวของอินจู๋ต่างพากันชื่นชมไม่ขาดปาก เขาที่มีส่วนสูงเกินกว่าสองเมตรมองเผินๆ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอินจู๋มาก ไม่มีวี่แววความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาดุจเด็กทารกเช่นในดวงตาของอินจู๋แม้แต่น้อย ทว่ากลับให้ความรู้สึกลุ่มลึกอย่างยิ่ง

 

สองมือจับบ่าของอินจู๋ไว้พร้อมกัน ในดวงตาของเจ้าม่วงฉายแววงุนงงและซักถาม

 

เมื่อรู้สึกถึงความร้อนระอุจากมือทั้งสองของเจ้าม่วง อินจู๋ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วกล่าวอย่างเศร้าสลดว่า “ข้าต้องไปแล้วจริงๆ นี่ไม่ใช่การฝึกพิณ ข้าตั้งใจมาเพื่อบอกลาเจ้า ปู่ทั้งสองบอกว่าหัวใจพิณพิสุทธิ์ของข้าฝึกถึงขั้นเก้าแล้ว กำลังจะเข้าสู่ขั้นหัวใจพิณดีกระบี่ ไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาให้ข้าไปเรียนหนังสือ ถือโอกาสศึกษาความรู้ข้างนอก ปรับตัวเข้ากับสังคมข้างนอกสักหน่อยด้วย ข้าก็เลยต้องไป ไปตอนนี้เลย เจ้าม่วง โลกข้างนอกเป็นยังไงบ้าง? ข้าไม่เคยออกไปมาก่อน แต่พวกปู่บอกว่าเพื่อให้ข้าเรียนรู้ทุกอย่างจากโลกภายนอกได้ดียิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่ไปส่งข้า”

 

ความงุนงงในดวงตาของเจ้าม่วงค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วปล่อยมือทั้งสองที่จับอินจู๋ไว้ “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

 

“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลย” อินจู๋ดีอกดีใจใหญ่ กระโดดไปมาเหมือนกับเด็กน้อย เพียงแต่ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกตัวว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง ก่อนจะมองเจ้าม่วงด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้า...เจ้าพูดได้แล้วเหรอ?”

 

ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกในสิบปีนับตั้งแต่เจ้าม่วงมาถึงทะเลโพรงมรกตที่เอ่ยปากพูดออกมา ก่อนหน้านี้เกือบทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นใบ้ แต่ตอนนี้เขากลับพูดได้แล้ว น้ำเสียงทุ้มลึกและราบเรียบมีพลังฟังดูแล้วทำให้รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง แต่น้ำเสียงแบบนี้เมื่อดังอยู่ในหูของอินจู๋กลับกลายเป็นว่ารู้สึกปลอดภัย

 

เจ้าม่วงตบบ่าของอินจู๋เบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ” ระหว่างที่พูดเขาก็เดินนำหน้าไปทางด้านนอกของทะเลโพรงมรกตก่อนแล้ว

 

เย่อินจู๋ที่เดิมทีรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเพราะกำลังจะเดินทางคนเดียว ตอนนี้ในใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น สิบปีแล้ว เขาอยู่ร่วมกับเจ้าม่วงแทบทุกวัน ถึงแม้เจ้าม่วงจะไม่เคยพูดมาก่อน แต่ทั้งสองเพียงแค่สื่อสารทางสายตา เพียงแค่เจ้าม่วงเป็นผู้ชมของเขาตลอดสิบปี เขาก็ถือว่าเจ้าม่วงเป็นหนึ่งในคนที่ไว้ใจได้ที่สุด และเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาแล้ว ตอนนี้มีเจ้าม่วงเคียงข้าง โลกที่ยังไม่เคยรู้จักข้างนอกนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่น่ากลัวอีกแล้ว

 

อินจู๋โห่ร้องด้วยความดีใจ ก่อนผลุบตัวตามไปอยู่ข้างกายเจ้าม่วง เดินออกไปสู่โลกข้างนอกพร้อมกัน

 

“เจ้าม่วง ชื่อจริงของเจ้าชื่อว่าอะไร?” ระหว่างที่เดินอินจู๋ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ นอกจากดีดพิณกับเรียนวิชาของสำนักไผ่แล้ว เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกเขาเสมือนเป็นกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง วัยเด็กของคนเราไร้เรื่องทุกข์ร้อนกังวลใจ และอินจู๋ในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ยังไม่ทันเดินออกจากทะเลโพรงมรกต เขาก็แทบจะลืมเรื่องแยกจากกับครอบครัวไปแล้ว มีเจ้าม่วงอยู่เคียงข้างก็ไม่มีความหวาดกลัวในใจอีกต่อไป เหลืออยู่แค่เพียงความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้น อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากทะเลโพรงมรกต

 

“เจ้าเรียกข้าว่าม่วงแล้วกัน”

 

“อ้อ ม่วง เจ้ามาจากที่ไหนเหรอ? ข้าได้ยินปู่บอกว่าเจ้าไม่ใช่คนของทะเลโพรงมรกต ปู่ฉินบอกว่าเจ้าไม่มีเจตนาร้ายต่อข้า แค่ชอบเพลงพิณของข้าเท่านั้น เพราะอย่างนั้นเลยอยู่ที่นี่มาตลอดใช่ไหม?”

 

คำตอบของม่วงง่ายดายมาก เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น

 

อาจเป็นเพราะว่าอินจู๋ตื่นเต้นเกินไป วันนี้จึงพูดมากเป็นพิเศษ ตลอดทางคอยถามไม่หยุด แต่ม่วงกลับเอ่ยปากพูดน้อยมาก ส่วนมากเพียงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าเป็นสัญญาณเท่านั้น จนกระทั่งพวกเขาเข้าสู่เมืองลูน่าอินจู๋จึงค่อยหยุดพักบ้าง

 

“ว้าว นี่คือเมืองเหรอ? มองดูแล้วใหญ่จริงๆ สวยจริงๆ” เมื่อมองดูกำแพงเมืองมหึมาของเมืองลูน่าและผู้คนที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย อินจู๋ก็ตื่นเต้นจนบรรยายไม่ถูก ก่อนเร่งฝีเท้าวิ่งไปทางประตูเมือง

 

“ทะเลโพรงมรกตต่างหากที่เป็นสถานที่ที่สวยที่สุด” ขณะมองอินจู๋ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ม่วงก็ส่ายหน้าเบาๆ

 

ของแทบทุกอย่างในเมืองลูน่าล้วนเป็นสิ่งที่อินจู๋ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพื่อที่จะฝึกหัวใจพิณพิสุทธิ์ สิบหกปีแล้วที่เขาไม่เคยเดินออกจากทะเลโพรงมรกต ตอนนี้ด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้น จึงรู้สึกราวกับว่าแค่สองตาก็ยังไม่พอใช้

 

“เจ้าจะไปเข้าเรียนที่ไหน?” ม่วงเอ่ยถามอินจู๋อย่างนานๆ ทีจะเกิดขึ้น

 

อินจู๋ตอบไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ปู่ฉินบอกให้ข้าไปเอาของนิดหน่อยที่สมาคมเวทมนตร์เมืองลูน่าก่อน เขาให้แผนที่ข้ามาแผ่นหนึ่งด้วย บอกให้ไปตามทางที่แผนที่บอกแล้วจะเจอโรงเรียนนั้น ส่งจดหมายของเขาให้ผู้อำนวยการโรงเรียนก็เสร็จเรียบร้อย”

 

ม่วงยื่นมือออกมาแล้วเอ่ยว่า “แผนที่”

 

อินจู๋เชื่อใจม่วงมาก ความรู้สึกจากใจในตอนนั้นทำให้ล้วงเอาแผนที่หนังแกะที่ทำพิเศษออกมาจากอก แล้วยื่นส่งให้ม่วงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

ม่วงกางแผนที่ออก พบว่านี่คือแผนที่ของทวีปลองกินุสทั้งหมด บนนั้นมีเส้นสีแดงสายหนึ่ง เริ่มต้นจากเมืองลูน่าจนกระทั่งถึงอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นจุดสิ้นสุด ตรงจุดสิ้นสุดมีตัวอักษรเล็กๆ บรรทัดหนึ่ง บนนั้นเขียนไว้ว่า...โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน

 

ม่วงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังจะไปจักรวรรดิมิลาน พวกปู่ของเจ้ายังวางใจลงอยู่อีก”

 

อินจู๋ไม่รู้เรื่องภูมิประเทศอยู่แล้ว จึงกล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “จักรวรรดิมิลาน? ไกลมากไหม?”

 

ม่วงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “จะไปมิลานต้องทะลุผ่านอาณาจักรเบอร์บอน อาร์คาเดียอยู่ส่วนปลายใต้สุดของทวีป ส่วนมิลานถือได้ว่าเป็นทางเหนือของทวีปแล้ว ขึ้นเหนือไปอีกก็เป็นทุ่งราบตอนเหนือสุด” ขณะที่เขาพูดถึงทุ่งราบตอนเหนือสุด รูม่านตาก็หดลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ ทว่ายังไม่วายถูกอินจู๋จับได้

 

“ม่วง เจ้าไม่ต้องกลัว ถึงที่นั่นจะไกลนิดหน่อย แต่มีข้าอยู่นะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” ระหว่างที่พูดอินจู๋ก็ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ เหมือนกับเด็ก

 

ม่วงตะลึงงัน “เจ้า?”

 

อินจู๋พยักหน้าแข็งขัน “ใช่สิ! ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ปู่ฉินบอกว่าข้าเป็นนักเวทที่มีคุณสมบัติแล้ว”

 

ขณะมองอินจู๋ที่เตี้ยกว่าตัวเองครึ่งหัว รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของม่วง ทำให้เค้าโครงส่วนใบหน้าที่แข็งกร้าวของเขาแลดูอ่อนโยนขึ้นมาก

 

“ว้าว...ม่วง เจ้ายิ้มแล้ว หายากจริงๆ เหมือนแต่ก่อนข้าไม่เคยเห็นเจ้ายิ้มนะ” อินจู๋จ้องหน้าม่วงเขม็งประหนึ่งค้นพบทวีปใหม่ก็ไม่ปาน

 

ม่วงกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เอาล่ะ พวกเราไปสมาคมเวทมนตร์กันก่อนเถอะ” ยังดีว่าสมาคมเวทมนตร์ถือเป็นสถานที่มีชื่อเสียงในเมืองลูน่า ม่วงจึงหาใครสักคนตามริมถนนเพื่อถามทางจนพาอินจู๋มาถึงที่

 

แม้ว่าจะผ่านไปสิบกว่าปี แต่สมาคมเวทมนตร์ของเมืองลูน่ายังคงเงียบเหงาเช่นนั้น ประตูทางเข้าไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู อินจู๋และม่วงเดินตรงเข้าไปข้างในตามทาง ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูห้องโถงสมาคม ยังไม่ทันเข้าประตู พวกเขาก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันดังมาจากข้างใน

 

ภายในห้องโถงมีทั้งหมดเจ็ดคน แบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งถือเอาดิยาร์ราเป็นผู้นำ ข้างหลังเขาคือเปียโรกับนักเวทอัคคีอีกคนหนึ่ง หกคนของอีกฝ่ายก็เป็นนักเวทเช่นกัน สวมเสื้อคลุมพ่อมดสีสันแตกต่างกัน ดูจากสีของเสื้อคลุมพ่อมดของพวกเขาแล้ว ทั้งหมดมีปรมาจารย์เวทระดับน้ำเงินหนึ่งคน จอมเวทระดับเขียวสองคน อีกสามคนล้วนเป็นนักเวทระดับสูงของระดับเหลือง

……………………………………….

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด