ตอนที่แล้วบทที่ 9 ครอบครองโลกทั้งใบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่

บทที่ 10 คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน


บทที่ 10 คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน

 

หนุ่มผมทองทำท่าทางโอ้อวดราวกับว่ากำลังประกาศความสูงส่งของตัวเอง ในขณะเดียวกันเขาก็พิจารณาท่งทางของสือเสี่ยวไป๋ พบว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นแสดงความประหลาดใจและชื่นชม

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้หนุ่มผมทองผิดหวังก็คือ สือเสี่ยวไป๋เอียงหัวถามอย่างสงสัยว่า “ผู้มีพลังจิตพิเศษ...คืออะไรหรอ?”

 

หนุ่มผมทองชะงักไปครู่หนึ่ง มองสือเสี่ยวไป๋อย่างพิจารณา พบว่าสือเสี่ยวไป๋ไม่เหมือนคนที่กำลังแกล้งโง่เลยแม้แต่น้อย จึงพูดเย้ยหยัน “ที่แท้ก็เป็นแค่เต่าที่แม้แต่ผู้มีพลังจิตพิเศษคืออะไรก็ยังไม่รู้ หลี่จือแห่งวังทักษิณใช้โอกาสนี้เสนอชื่อให้นายช่างเสียเปล่าจริงๆ ช่างเป็นสตรีที่โง่เขลา สตรีที่โง่เขลาเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นพอนทัส ข้อนี้ฉันจะเป็นคนพิสูจน์ให้ [ ไกอา ] เห็นเอง”

 

เมื่อหนุ่มผมทองพูดจบก็หันตัวกลับตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง สือเสี่ยวไป๋กำลังอยากจะพูดอะไรสักหน่อย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาเข้าหูอีกครั้ง

 

“นี่นายไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้?”

 

สือเสี่ยวไป๋หันกลับไปตามเสียง พบเด็กชายที่เป็นเด็กใหม่เหมือนกันกับเขา นั่งอยู่ด้านหลังเขา

 

“ข้าไม่พูดปด”

 

สือเสี่ยวไป๋ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้มีพลังจิตพิเศษคืออะไร ในความทรงจำคลับคล้ายคลับคลาว่าหลี่จือเคยพูดคำนี้ แต่ตอนนั้นเขาสนใจเพียงว่าตัวเองจะเป็นฮีโร่ได้หรือไม่ เลยไม่ได้สนใจว่าหลี่จือพูดถึงอะไรกันแน่ ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงโลกนี้ก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผู้มีพลังจิตมาบ้าง แต่ผู้มีพลังจิตพิเศษเขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย

 

“งั้นเดี๋ยวนายก็ได้รู้แล้วหล่ะ”

 

ในเสียงเยาว์วัยของเด็กชายแฝงด้วยความจริงจัง สือเสี่ยวไป๋ฟังออกแม้กระทั่งความไม่พอใจบางเบาในน้ำเสียง “ผู้มีพลังจิตพิเศษคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวัง”

 

สิ้นหวัง คำนี้ไม่ใช่คำที่จะพูดออกมาพล่อยๆ เพราะว่าความสิ้นหวังจะทำให้มนุษย์รู้สึกว่าแม้แต่คำพูดก็ไม่สามารถพูดออกมาได้

 

สือเสี่ยวไป๋คิดแล้วก็ยิ้มออกมา

 

“ดีเลยข้าถนัดต่อต้านความสิ้นหวัง”

 

......

 

ผู้อาวุโสอธิบายความสำคัญของการเสนอชื่อแก่หัวหน้าเด็กรุ่นใหม่ทั้งสี่ท่านทางด้านขวามืออีกครั้ง แนะนำว่าหากทั้งสี่ยังไม่มั่นใจทางที่ดีก็ให้เสนอชื่อคนใหม่ พบว่าทั้งสี่ไม่สนใจความหวังดีของเขา ผู้อาวุโสได้แต่ลอบถอนหายใจ จงใจมองไปที่หลี่จือแห่งวังทักษิณทีหนึ่ง แล้วเริ่มต้นประกาศกฎกติกา

 

“คะแนนวัดระดับเด็กใหม่แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นการประเมินระดับสติปัญญา ช่วงที่สองเป็นการประเมินความสามารถ การประเมินสติปัญญาจะเริ่ม ณ บัดนี้ เชิญเด็กใหม่ [ ผู้คุมกฎ ] หยางหยางขึ้นเวที”

 

เมื่อผู้อาวุโสกล่าวจบ เด็กผู้ชายที่นั่งฝั่งซ้ายก็ยืนขึ้น มือทั้งสองสั่นเทาเล็กน้อย แสดงถึงความตื่นเต้นได้อย่างสมวัย หลังจากนั้นเขาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเดินขึ้นไปบนเวที

 

ฟางชิงซาน ชายหนุ่มหน้าตาดีฝั่งที่นั่งด้านขวามองไปทางชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนแล้วถามขึ้น “หยางหยางคนนี้น่ะหรอที่ [ ผู้คุมกฎ ] อย่างพวกนายหวังว่าจะชิงเอาตราพระราชาของเด็กใหม่ระดับ A ของปีนี้ไปได้?”

 

จ้าวซง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเกาหัวอย่างซื่อๆ ดูไม่มีพิษภัย แต่น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำมีพลัง “เมล็ดพันธุ์ชั้นดี”

 

เมื่อหยางหยางเดินเข้าสู่กลางเวที ทันใดนั้นก็มีตู้เหล็กสี่เหลี่ยมค่อยๆ ผุดลอยขึ้นมาจากบนพื้น คล้ายกับว่ามีตู้โทรศัพท์โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน

 

“เข้าไป” ผู้อาวุโสหน้าตาไร้ความรู้สึกพูดขึ้น ขณะนั้น ด้านหนึ่งของตู้เหล็กสี่เหลี่ยมก็เปิดออกอย่างช้าๆ โครงสร้างด้านในมีความซับซ้อนปราณีต ด้านในมีพื้นที่ว่างพอสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น

 

หลังจากหยางหยางยกมือขึ้นคำนับผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปด้านในตู้ ประตูตู้เหล็กปิดตามหลังเขาโดยอัตโนมัติ ตู้เหล็กที่เดิมดูอึมครึมไร้สีสันก็พลันมีแสงสีทองนวลตาสว่างออกมา

 

สือเสี่ยวไป๋มองอย่างไม่เข้าใจ ในใจเกิดความอยากรู้อยากเห็น ที่ด้านหนึ่งของกำแพงโลหะสูงใหญ่ฝั่งที่ติดกับเวทีพลันปรากฏตัวอักษรเรืองแสงเป็นแถวๆ ขึ้น ด้านหน้าของกำแพงทั้งหมดมองไปก็ดูคล้ายกับงานแสดงคริสตัลขนาดใหญ่

 

ตัวอักษรปรากฏขึ้นทีละแถวจากบนลงล่างเปล่งแสงระยิบระยับ สือเสี่ยวไป๋มองดูตัวเลขที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนตาลาย

 

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ด้านบนสุดของกำแพงก็ปรากฏข้อความบรรทัดหนึ่ง “ระดับสติปัญญา : A+”

 

“ไม่เลว” แววตาผู้อาวุโสฉายประกายยินดี เอ่ยปากชมมาคำหนึ่ง แต่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือที่ส่องแสงระยิบระยับบนกำแพงโลหะ ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสเท่านั้น ทุกคนในที่นี้นอกจากสือเสี่ยวไป๋แล้ว ต่างก็กำลังเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงบนกำแพงโลหะอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนว่ากำลังรอคอยสิ่งที่สำคัญกว่านี้

 

จนกระทั่ง ด้านบนสุดของกำแพงปรากฏข้อความอีกแถวหนึ่ง “ยีนพลังจิตพิเศษ : ไม่พบ”

 

หลังจากข้อความนี้ปรากฎ นอกจากสือเสี่ยวไป๋แล้วสายตาของทุกคนต่างเลิกสนใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ตัวหนังสือบนกำแพงโลหะก็หยุดส่องประกายระยิบระยับ

 

“ระดับสติปัญญาเทียบกับเด็กใหม่ในหลายปีมานี้ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้า” ผู้อาวุโสกล่าวนิ่งๆ

 

หยางหยางออกมาจากตู้เหล็ก ดูจากภายนอกไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร หันไปพยักหน้ากับผู้อาวุโสเล็กน้อย เดินกลับมายังที่นั่งเงียบๆ

 

“ระดับสติปัญญา : A+ เก่งจริงๆ เลยน้า~” หนุ่มผมทองพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด สีหน้าของหยางหยางพลันเปลี่ยนไปทันที

 

“อิจฉาจังเลย ระดับสติปัญญา A+ เยว่เอ๋ออยากได้บ้าง...งื๊อๆ” เด็กสาวน่ารักทำปากยื่นคล้ายเด็กเล็กๆ เขม่นมองไปยังหยางหยาง

 

นัยต์ตาของหยางหยางฉายประกายชั่วร้ายวูบหนึ่ง ก้มหน้านั่งลงบนที่นั่งเงียบๆ ไม่พูดจา

 

ในเวลานี้เอง เสียงผู้อาวุโสก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“เด็กใหม่ของ [ ผู้ไร้กฎ ] จงเยว่เอ๋อ”

 

เด็กสาวยิ้มดีใจ เดินกระโดดโลดเต้นไปทางเวที ราวกับทนรอไม่ไหวที่จะได้เข้าไปในตู้เหล็ก เหมือนว่ากำลังจะได้เล่นเกมน่าสนุกเกมหนึ่่ง

 

ตัวอักษรแสงบนกำแพงโลหะเริ่มส่องประกายระยิบระยับ ไม่นานด้านบนสุดของกำแพงก็ปรากฏข้อความแรก “ระดับสติปัญญา : D-”

 

หลังจากที่สือเสี่ยวไป๋แอบเทียบระดับ A+ และ D- ในใจ ก็เกิดเข้าใจเหตุผลที่จงเยว่เอ๋อเขม่นมองหยางหยางขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่าทางของหยางหยางถึงได้จริงจังนัก

 

ขณะนี้ อีกข้อความหนึ่งได้ปรากฏขึ้น “ยีนพลังจิตพิเศษ : F”

 

“ดี!” ผู้อาวุโสที่เดิมมีหน้าตาไร้อารมณ์ก็ยิ้มอย่างยินดีขึ้นมา ชายหญิงวัยกลางคนด้านข้างก็พยักหน้าไม่หยุด เหมือนว่าจะพึงพอใจ

 

ฟางชิงซานมองจ้าวซง ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “จงเยว่เอ๋อคนนี้อยู่แค่อันดับที่สามของเด็กใหม่ [ ผู้ไร้กฎ ] รุ่นนี้”

 

ใบหน้าจ้าวซงผู้ซื่อตรงนิ่งลึก ไม่นานก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “หยางหยางเป็นที่หนึ่งใน [ ผู้คุมกฎ ]”

 

ฟางชิงซานคล้ายกับว่าได้หมดความสนใจไปในพริบตาเดียว หันกลับไม่ต่อความอีก หมัดของจ้าวซงกำแน่น ผ่อนลมหายใจหนักๆเฮือกหนึ่ง

 

ในเวลานี้เอง ตัวอักษรบนกำแพงโลหะได้หายไป เหลือเพียงตัวอักษรใหญ่ ๆ สองบรรทัด

 

[ อันดับ 1 : จงเยว่เอ๋อ, ระดับสติปัญญา : D-, ยีนพลังจิตพิเศษ : F ]

 

[ อันดับ 2 : หยางหยาง, ระดับสติปัญญา : A+, ยีนพลังจิตพิเศษ : ไม่พบ ]

 

เด็กสาวได้ออกมาจากตู้เหล็กแล้ว เดินกระโดดโลดเต้นกลับมาที่นั่ง ขณะที่เดินผ่านหยางหยาง ก็ทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “หึ เยว่เอ๋อเก่งกว่านาย”

 

หยางหยางนิ่งเงียบ หัวไหล่สั่นเล็กน้อย

 

หนุ่มผมทองกล่าวล้อเลียนขึ้นว่า “เข้าใจหรือยัง? นี่คือความแตกต่างของความยิ่งใหญ่ระหว่างผู้มีพลังจิตพิเศษกับผู้มีพลังจิตอันต่ำต้อย ต่อให้ระดับสติปัญญาจะสูงแค่ไหน ยีนระดับต่ำที่สุดของผู้มีพลังจิตพิเศษก็แก้ไขทั้งหมดได้ ไม่ว่าระดับสติปัญญาจะสูงส่งเท่าไหร่ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีพลังจิตพิเศษ ก็แค่ขยะ”

 

ตอนนี้เองที่ผู้อาวุโสประกาศ “ต่อไป เด็กใหม่ [ ผู้สร้าง ] ข่ายเหวิน”

 

หนุ่มผมทองหุบยิ้ม ยืดอกเดินไปที่เวที ขณะที่เดินผ่านสือเสี่ยวไป๋ แสยะยิ้มกล่าวว่า “คุณชายอย่างข้าจะบอกเจ้าเองว่า อะไรที่เรียกว่าคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน”

 

----------

 

 

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด