ตอนที่แล้วChapter 16: ผ่านประตู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 18: แผนการ

Chapter 17: จับตามอง


 

“ฝ่ามือทรายดำ!”

ที่ในหุบเขาเร้นลับ ชายผู้หนึ่งส่งฝ่ามือขวาออกไปอย่างรวดเร็วและทิ้งรอยฝ่ามือชัดเจนไว้บนกระดานไม้

“พลังของข้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว? ไม่เลวเลย!”

ฟางหยวนเก็บฝ่ามือและรู้สึกตื่นเต้นเมื่อแถบระดับการฝึกฝนของเขาขยับมาเกินครึ่งหนึ่งแล้ว

เขาคุ้นเคยกับการฝึกฝนมากขึ้น เขาลุ่มหลงไปกับความรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นหลังการฝึกฝนทุกครั้ง

“ถ้าค่าสถานะของผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้เพิ่มขึ้นยากเหมือนค่าสถานะของการดูแลพืช ข้าน่าจะสำเร็จ [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)] ได้โดยง่าย!”

“แน่นอนว่า อาหารการกินนั้นก็สำคัญมาก...”

นี่เป็นตอนบ่ายแล้ว ฟางหยวนกินข้าวหยกมุกเป็นอาหารกลางวัน และถอนหายใจไปขณะกิน

ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดา ๆ คงไม่สามารถหาข้าวหยกมุกปริมาณมากมายแบบเขาได้

แล้วคนผู้หนึ่งจะสามารถทนการฝึกฝนฝ่ามือทรายดำที่ยากลำบากซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไร? นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะมีความสามารถมากพอที่จะเข้าสำนักและเริ่มฝึกฝน มิเช่นนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจ

“นอกจากนี้... การฝึกยุทธ์ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย...”

สภาพร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์นั้นจะแข็งแกร่งราวกับหิน ถ้าพื้นฐานวิชาของคนผู้หนึ่งแข็งแกร่งขึ้น เขาก็จะสามารถไขว่คว้าสิ่งดี ๆ ได้ในอนาคต

ฟางหยวนเดาเหตุผลที่เขาสามารถบรรลุวิชาฝ่ามือทรายดำได้อย่างรวดเร็วว่าอาจจะไม่ได้เป็นเพราะการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ของเขา

“อีกไม่นาน ต้นชาของอาจารย์เวิ่นซินก็จะผลิใบเต็มที่ และข้าวหยกแดงก็พร้อมให้เก็บเกี่ยว... ต่อให้อู่จงอยากได้ข้าววิญญาณพวกนี้ ก็ยังมีเหลือเฟือ!”

ฟางหยวนรู้สึกมีความหวัง

วิทยายุทธ์พัฒนาได้เร็วกว่าเมื่อมีพืชวิญญาณพวกนี้

เหตุผลที่ฟางหยวนอยากจะสำเร็จวิชาเร็ว ๆ ก็เพื่อให้ปกป้องตัวเองจากอันตรายในอนาคตได้

“กัมประโดจากสำนักกุยหลิง ซ่งจื๋อเกา?!”

ถ้าเป็นหลินเปิ่นชูหรือพี่น้องตระกูลโจวก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ากัมประโดของสำนักกุยหลิงผู้นี้คิดเป็นศัตรูกับฟางหยวน ฟางหยวนนั่นต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว

แม้ว่าเขาจะดูไม่อิหนังขังขอบกับใครเขา แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจะไม่ยอมให้ผู้อื่นมาคอยจับตามองเขาได้ง่าย ๆ

“ยังต้องใช้ความพยายามอีกมากเพื่อทำเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ให้สำเร็จ!”

อนาคตของเขา วิทยายุทธ์ของเขา ล้วนขึ้นอยู่กับพืชวิญญาณพวกนี้

...

กลางดึก

มีเงาร่างหลายเงาปรากฏตัวขึ้นที่รอบนอกหุบเขา

“กัมประโดซ่งบอกว่าเป็นที่นี่?”

ผู้ชายในชุดสีดำคนหนึ่งมองไปรอบ ๆ แล้วสบถเบา ๆ “สภาพแวดล้อมที่นี่ช่างน่าลำบาก มีแต่คนเถื่อนเท่านั้นนั่นแหละที่จะอยู่ที่นี่ได้!”

“เป็นที่นี่แน่นอน ไม่ผิดไปได้หรอก!”

นายพรานที่แบกง่ามเหล็กอันใหญ่ไว้เดินมาข้าง ๆ เขาและพูด “ข้าเคยมาที่นี่มาก่อนเพื่อแลกเปลี่ยนหนังสัตว์กับสมุนไพรกับศิษย์ของอาจารย์เวิ่นซิน...”

เขาถอนหายใจไปด้วยขณะพูด

“ทำไม? เรื่องเก่าในอดีตทำให้เจ้าลังเลที่จะทำงั้นรึ?”

หัวหน้า ผู้ชายในชุดดำคนนั้น หัวเราะ

“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร? สิบเหรียญทองเพียงพอให้ซื้อชีวิตของพวกชาวบ้านบนเขาสิบคน จัดการกับเด็กผู้หนึ่งนั้นง่ายราวกับปอกกล้วย”

นายพรานหัวเราะท่าทางชั่วร้าย “ความเห็นของข้าคือ ทำไมจะแค่แอบจับตามองมัน พวกเราควรจะบุกเข้าไปฆ่ามันตรง ๆ จากนั้นพวกเราก็ทิ้งซากเอาไว้ในป่าให้ถูกกัดกินจนเหลือแต่กระดูก!”

“ข้าก็เห็นด้วยนะ แต่กัมประโดซ่งอาจจะไม่ชอบใจนัก เราถูกสั่งมาว่าให้ปล่อยให้มันถูกทำลายเอง ให้ชาวเมืองเหยียดหยามประณามมัน เมื่อนั้นพวกเราจึงจะลงมือ”

ชายในชุดดำพูดเสียงต่ำ “ใครให้เจ้าเด็กน่าสงสารนั่นเข้ามาขวางทางรักของกัมประโดซ่งกันเล่า?”

“ทางรัก?”

คนอื่นรอบ ๆ ประกอบด้วยชาวบ้านหลายคน นายพรานและพวกหัวขโมยที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่ จ้องมองไปที่หัวหน้ากลุ่มที่ปิดบังอะไรเอาไว้แต่ไม่มีใครกล้าถามต่อ

“ก็อย่างที่บอก ภารกิจของพวกเราวันนี้คือสังเกตสถานการณ์ภายในหุบเขา และดูว่าเจ้าเด็กนั่นปิดบังหรือซ่อนอะไรเอาไว้หรือเปล่า!”

หัวหน้ากลุ่มพูด “ที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าอย่าเหลือร่องรอยของพวกเราเอาไว้เล่า!”

“เข้าใจแล้ว!”

พวกมันบางคนหัวเราะเสียงชั่วร้ายก่อนจะเข้าหุบเขาไปด้วยกัน

รอบด้านมืดสนิท แม้จะมีแสงจันทร์ส่อง แต่การมองเห็นก็ยังไม่ชัดเจนนัก แต่คนพวกนี้ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองเพื่อป้องกันการถูกจู่โจม

รั้วของหุบเขานี่ไม่ได้แข็งแรงนัก แล้วพวกมันก็แค่ต้องรับมือกับคนผู้เดียว ดังนั้นพวกมันจึงค่อนข้างผ่อนคลาย

“อืม... นี่เหรอ หุบเขาสันโดษ? ก็ดูเป็นที่ที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตนะ...”

“มีทั้งสวนดอกไม้และน้ำพุ ก็ปกติทั่วไปนะ ไปดูที่ด้านหลังซิ...”

พวกมันแยกกันไป แล้วก็พบเทือกสวนที่ด้านหลังหุบเขา

“ดูเหมือนจะมีอะไรสักอย่างที่ด้านหลังพุ่มไม้นั่น!”

ผู้ที่สังเกตออกนั้นเป็นทั้งนายพรานและหัวขโมยผู้มีประสบการณ์

“โอ๊ะ?”

หัวหน้ากลุ่มเดินไปข้างหน้าและพบทางเดินเล็ก ๆ ที่ด้านหลังพุ่มไม้ เขารู้สึกยินดีมากเมื่อพบทางเล็กนี่และพูด “ไปดูเร็วเข้า! ระวังตัวด้วย เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก ขนาดผู้คุ้มกันของตระกูลโจวที่มาที่นี่คราวก่อนยังแพ้ให้กับมัน...”

เขาพูดได้แค่ครึ่งเดียวตอนที่ได้ยินเสียงกัดดังกร้วมและเสียงร้องดังขึ้นกะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้น?”

พวกมันมองไปที่พื้นโดยทันทีและพบสัตว์ประหลาดสีดำตัวหนึ่ง สัตว์ประหลาดสีดำที่พุ่งเข้ามากัดขาของหัวหน้ากลุ่ม

“กับดัก!”

“บ้าเอ๊ย!”

สถานการณ์กลายเป็นวุ่นวายขึ้นทันที

ก่อนหน้านี้คนพวกนี้แอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกมันจะถูกค้นพบหรือถ้ากรีดร้องขึ้นมากลางดึกเช่นนี้ในเมื่อเสียงกรีดร้องของพวกมันคงจะก้องไปทั่วทั้งหุบเขา

“ไม่จริงน่า...”

พวกมันมองหน้ากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ

แม้ว่าจุดประสงค์ของภารกิจคือเข้ามาสังเกตการณ์ พวกมันก็ต้องทำอะไรสักอย่างเมื่อถูกจู่โจม

พวกมันไม่เชื่อข่าวลือ

จะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถจัดการกับพวกมันทั้งกลุ่มได้?

เด็กนี่โหดเหี้ยมพอที่จะวางกับดัก พวกมันต้องระวังมากขึ้น

“ฟ่อ!”

“ฟ่อ!”

แต่พวกมันก็ไม่ได้คิดว่าหนูเตียวขาวตัวหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นแทนที่จะเป็นเจ้าเด็กนั่น!

เป็นผู้พิทักษ์หุบเขา ฮวาหูเตียว ที่ออกหมัดใส่พวกมันเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

ในตอนนั้น ขนของฮวาหูเตียวตั้งชันและดูไม่เป็นมิตร

ก็สิ่งที่อยู่ในไร่นั่นคือชีวิตของฮวาหูเตียว มันจะทนให้ไร่สวนถูกจับตามองโดยผู้อื่นอยู่ได้อย่างไร?

“นั่นอะไรน่ะ?”

“หนูเตียว?”

“มันตัวใหญ่มาก!”

นายพรานเตือน “ทุกคนระวังนะ หนูเตียวกลายพันธุ์ตัวนี้น่าจะเป็นของไอ้เด็กนั่น...”

“เฮอะ.. ก็ไม่นับว่ากระไรอยู่ดี ก็แค่สัตว์ป่า ไม่ได้แตกต่างไปจากสุนัขป่าหรอก”

หนึ่งในพวกมันหัวเราะก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปทันที

ประกายแสงสีขาวบาดตาแวบขึ้นที่ตรงหน้ามัน

“เกิดอะไรขึ้น ต้าเฉิง?”

เมื่อเห็นต้าเฉิงนิ่งไป หนึ่งในพวกมันก็ผลักตัวเขาเบา ๆ ร่างของต้าเฉิงแยกออกเป็นสองส่วน

ไม่มีใครรู้ว่าเขาถูกตัดผ่าครึ่งตัวโดยฮวาหูเตียวตั้งแต่เมื่อไหร่!

“ปิศาจ.. ที่นี่มีปิศาจ!”

ฉากนองเลือดนี้ทำให้ทุกคนกลัวแทบตาย

“หนูเตียวนี่ไม่ใช่หนูเตียวธรรมดา มันเป็นสัตว์วิญญาณ เป็นตัวประหลาด!”

หนังศีรษะของนายพรานชาหนึบ เขาคิดถึงตำนานของสัตว์วิญญาณขึ้นมาในทันที

จากสิ่งที่เกิดขึ้น หนูเตียวนั่นสามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์! ด้วยรูปร่างและความสามารถ หนูเตียวตัวนี้ย่อมเป็นสัตว์วิญญาณเป็นแน่

“หนีเร็ว!”

พวกมันที่เหลือมองหน้ากัน จากนั้นก็รีบหนี ทิ้งหัวหน้าของพวกมันเอาไว้เบื้องหลัง

พวกมันไม่มีทางเลือก นายจ้างของพวกมัน ซ่งจื๋อเกา เป็นแค่กัมประโด จะมีอำนาจแค่ไหนกันเชียว? หัวหน้ากลุ่ม ผู้ชายในชุดดำเป็นคนเดียวที่เป็นลูกน้องโดยตรงของซ่งจื๋อเกาที่นี่ ที่เหลือล้วนถูกจ้างมา

กลุ่มแบบนี้จะทำงานสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อไม่มีปัญหาให้พบเท่านั้น

“กี๊กี๊!”

ฮวาหูเตียวเคลื่อนที่ช้าลงอย่างจงใจ และไล่ตามนายพรานราวกับพบของเล่นให้เล่น

“บ้าชะมัด!”

นายพรานมองฮวาหูเตียวแล้วพยายามฟาดมันด้วยง่ามเหล็กอันใหญ่ของตน

นายพรานพลาด และรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากมือขวาของตน ฟันคมเรียงเป็นแถวปรากฏขึ้นตรงหน้า

ในตอนนั้นเอง เลือดก็สาดกระจายไปทั่วบริเวณ...

...

“เสียงนั่นจะฆ่าข้าตายแล้ว นี่มันกลางดึก ทำไมพวกมันไม่ปล่อยให้ข้านอนหลับดี ๆ กัน?”

ฟางหยวนหลับไม่ลงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาเป็นระยะ

เขาคว้าเสื้อคลุม อ้าปากหาวขณะออกมาจากบ้าน “ขโมยรึ? ออกมาขโมยของข้าที่ในที่แบบนี้ไม่ลำบากเกินไปหน่อยหรือ...”

แม้จะพูดเช่นนั้น ทรัพย์สินชิ้นใหญ่ของเขาก็คือไร่ของเขาและเขาก็เป็นกังวล เขาก้าวเท้าเร็วขึ้นไปทางด้านหลังหุบเขา

“นี่...”

เป็นภาพที่ทำให้เขาตกตะลึง เลือดสาดกระจายไปทั่ว ฟางหยวนทั้งพูดไม่ออกทั้งโมโหในเวลาเดียวกัน “นี่เจ้าทำอะไรลงไป ฮวาหูเตียว?! นี่ข้าจะจัดการทำความสะอาดทั้งหมดที่เจ้าทำเละเทะไว้เสร็จเมื่อไหร่กัน!!”

“กีกี๊!”

กรงเล็บของฮวาหูเตียวยังเต็มไปด้วยเลือด มันวิ่งวนอยู่รอบ ๆ ตัวหัวหน้ากลุ่ม และทำท่าไม่รู้เรื่อง

“ไม่ต้องทำเป็นใสซื่อต่อหน้าข้า เจ้าจะต้องช่วยข้าจัดการเรื่องเละเทะนี่พรุ่งนี้!”

ฟางหยวนเดินวนดูซากศพก่อนจะมาที่ตัวหัวหน้าที่ยังคงหอบหายใจอยู่

ชายโชคร้ายผู้นี้ถูกหักขาแต่ฮวาหูเตียวก็ไว้ชีวิตเขา ช่างโชคดีนัก

“อย่า... อย่ากินข้า!”

แต่ชายคนนี้ก็หวาดกลัวเกินไปแล้ว เขาหลั่งน้ำตาเมื่อฟางหยวนเดินมาถึงตรงหน้าราวกับพบผู้ช่วยชีวิต “ได้โปรด ไว้ชีวิตข้าเถอะนะท่าน! ข้าได้รับคำสั่งจากซ่งจื๋อเกา ข้าจะสารภาพทุกอย่าง!”

น่าสงสารนัก!

ถูกสัตว์ร้ายกัดกินและตายโดยไร้ที่กลบฝัง เป็นการตายที่ทรมานจิตใจเกินไปสำหรับคนผู้หนึ่ง

 

 

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด