ตอนที่แล้วบทที่24: พบเจอ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่26: ฝูงผีดิบอาละวาด

บทที่25: ทุกสิ่งมิคลี่คลาย


บทที่25: ทุกสิ่งมิคลี่คลาย

ก่อนหน้านี้หลายสิ่งหลายอย่างซับซ้อนผูกเป็นปมปริศนายากแก้ไข ทว่าพอคนที่สติไม่สมประกอบเอ่ยปากออกมาเพียงคำเดียวทุกสิ่งกลับคลี่คลายลงได้อย่างง่ายดาย

ไป่ยู่ เฉินหลิน โจวหม่าจง หงซาเถียนและเหล่าเจ้าหน้าที่มือปราบจับกุมงักหลิวฝ่าฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำกลับอำเภอ เป็นการกระทำที่ค่อนข้างกะทันหันในความคิดของซาเถียนและหม่าจง แต่คนที่เสนอให้ทำเช่นนี้คือ ไป่ยู่ หม่าจงจึงกล่อมให้เจ้าเมืองเห็นด้วย

รองหัวหน้ามือปราบคิด ว่าจอมเวทต้องมีเหตุผลแน่นอน แม้ว่าจะยังไม่อธิบายออกมา

ใช่! ไป่ยู่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นจริงๆ

หนึ่งเพื่อรีบไปหาร่างของไป่หลง พี่ชายตนเอง เกิดเรื่องราวมากมาย สิ่งที่ไป่ยู่กังวลสุดคือเรื่องนี้

อย่างที่สอง เรื่องที่คิดว่าคลี่คลายนั้น ดูให้ชัด วิเคราะห์ให้ลึกยังเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ไป่ยู่ฟังคำบอกเล่าจากทุกคนรอบตัว ทั้งหม่าจงที่เข้าไปเจอกับปีศาจหมูป่า ซาเถียนกับเรื่องคดีห้าสิบสองศพและการได้พบงักฮัวที่เปลือยกายอยู่ในป่าต้องห้ามถึงสองครั้ง เฉินหลินกับท่าทีของงักหลิว แม้กระทั่งกับความลับซึ้งถูกเก็บงำไว้ของแม่เฒ่าฝูที่งักเจียงไปได้ยินมา

ทุกอย่างอยู่ในหัวของไป่ยู่แล้ว

“ท่านโจว นายพรานคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ” เฉินหลินกระซิบถามระหว่างกำลังเดินทาง

หม่าจงขมวดคิ้วแน่นคิดสงสัยว่าดรุณีน้อยหมายถึงใคร ก่อนจะนึกออก

“หนานจิ่นสือน่ะเหรอ”

“ใช่”

“เขาขอแยกตัวกลับไปตั้งแต่ออกมาจากป่าน่ะ เห็นว่าเป็นห่วงลูกที่ฝากหมอที่รักษาไว้ ผ่านเป็นตายยมา เป็นเรื่องปกติที่จะคิดถึงคนที่รัก”

เฉินหลินพยักหน้าเข้าใจ

“เจ้าถามถึงเขาทำไม?”

“ก็ที่โรงเตี้ยมก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนออกค่าอาหารแทนท่านน่ะสิ”

หม่าจงได้ยินเช่นนั้นก็สะอึก เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย

“เดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องห่วง” หม่าจงหันไปคุยกับหานตงส่งถุงเงินให้ สักพักหานตงก็แยกตัวออกไปจากกลุ่ม

ทั้งหมดเดินทางมาถึงที่ว่าการอำเภอ งักหลิวถูกพาเข้าไปในห้องขัง ตลอดทางเขาพยายามส่งเสียงร้องและขัดขืนจึงโดนจับมัดแล้วเอาผ้าคาดปากไว้

ไป่ยู่รีบรุดไปยังห้องเย็นที่เก็บศพไว้ ซาเถียนนำทางโดยมีหม่าจงเดินตาม ร่างไป่หลงขาวซีดเย็นเยียบไร้ชีพจรและลมหายใจนอนอยู่ที่นั่น เกล็ดน้ำแข็งที่ขึ้นตามใบหน้าร่างนั่นบอกให้รู้ว่าที่ห้องนี้หนาวเย็นแค่ไหน

จอมเวทรีบเข้าไปตรวจสอบร่างกายของพี่ชาย สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความกังวล ไป่ยู่ใช้เข็มเงินเล่มยาว แทงเข้าไปที่ข้อพับตรงแขน พอดึงออกเพียงสักพักเลือดสีดำก็ไหลออกมา

“ช่วยพาเขาไปอยู่ในห้องที่ร้อนกว่านี้” ไป่ยู่หันไปบอก หม่าจงไม่ถามอะไรให้มากความ ทำตามแต่โดยดี ซาเถียนรีบให้ลูกน้องไปจัดห้อง

เมื่อเตรียมการพร้อมไป่ยู่ของเตาไฟเท่าที่มี จุดไฟจนร้อนระอุ วางร่างไป่หลงไว้บนพื้น เอาเตาพวกนั้นวางรอบๆ ก่อนจะใช้ผ้ายันต์เขียนอักขระเลือดแปะไว้ทั่วตัวพี่ชาย แล้วปิดห้องไว้ไม่ให้ลมพัดเข้าไป

“วิธีนี้จะได้ผลหรือ”

“ข้าหวังว่าจะได้ผล”

“ทำไมร่างกายของเขาจึงเป็นเช่นนั้น” หม่าจงถามขึ้นอย่างสงสัย ไป่ยู่นิ่งไปนานก่อนจะตัดสินใจบอก

“ครั้งหนึ่งในสมัยยังเยาว์ ท่านพี่เพียงเพราะอยากช่วยข้า ทำให้เขาต้องกินเลือดของปักษาเพลิง หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็เหมือนกับกองไฟกองหนึ่งที่ต้องลุกไฟตลอดเวลา มีกำลังวังชามาก แต่หากเมื่อไหร่ที่ร่างกายสูญเสียความร้อน กระทั่งแค่โดนฝน เขาก็จะเป็นอย่างที่เห็น แม้จะหายใจด้วยตัวเอง ยังทำไม่ได้”

“ถ้าเช่นนั้นหากปล่อยไว้เช่นเมื่อครู่นี้ เขาก็จะ...” เฉินหลินถามตระหนก

“ใช่... เขาจะตาย”

ทุกคนต่างเงียบงัน

“ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องฟื้น” หม่าจงจับบ่าไป่ยู่เป็นการให้กำลังใจ ไป่ยู่ยิ้ม

“ที่ทำได้ก็ทำแล้ว ที่เหลือคงแล้วแต่ฟ้าลิขิต”

“ท่านสองพี่น้องทำดี ช่วยเหลือคนมาตลอด ข้าเชื่อว่าความดีของพวกท่าน จะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี” เฉินหลินกล่าว ไป่ยู่เอื้อมมือลูบศีรษะนาง

“ขอบใจนะ แต่ข้าว่าเรื่องที่สำคัญตอนนี้คือ เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง”

เฉินหลินผงะ เมื่อถูกคำถามจี้ใจดำ

“อะ เอ่อ คือ ข้า...” นางพยายามหาข้ออ้าง

ไป่ยู่เขม็งมองจ้องหน้า ซาเถียนเข้ามาแทรกเสียก่อน

“รองหัวหน้าจง คุณหนูหม่า คุณชายไป่ ข้าให้จัดสำรับอาหารแล้ว ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”

“ใช่ ถูกของท่านเจ้าเมื่อง ข้าหิวมากๆ ไปกินกันเถอะ”

ไป่ยู่ได้แต่ยิ้ม ยอมเดินตามแรงจูงที่เฉินหลินนำพา หม่าจงเองก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ วันเวลาที่น่าตึงเครียดและกังวลของทุกคน ผ่อนคลายลงได้ด้วยกิริยาแสนซนของดรุณีน้อย

 

........................................

 

ในห้องปิดทึบ มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสลัวเข้ามาภายใน แม่เฒ่าฝูนอนอยู่บนเตียงที่มีม่านสีขาวปิดไว้ห่างไปไม่ไกล เสี่ยวจือปูผ้านอนอยู่ตรงพื้นเพื่อเฝ้าดูอาการของนาง

หลังจากที่ไป่ยู่สกัดจุดแม่เฒ่าฝูให้สลบ เสี่ยวจือก็รีบไปตามหมอมาดูแม่ตัวเอง หมอบอกว่าเพราะประสบเหตุกระทบกระเทือนใจหลายเรื่อง ก่อนจะจัดยาบำรุงหัวใจมาให้สามชุดแล้วสั่งให้นางนอนพักเยอะๆ เสี่ยวจือทำตาม

ทั้งเมื่อคืน ทั้งวันนี้ต่างเกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย ทำให้เวลานี้แม้จะมีโอกาสได้นอนพักผ่อน แต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ นางนอนพลิกไปมาด้วยหยุดความคิดที่กำลังแล่นไม่ได้

คุณชายใหญ่เวลานี้จะเป็นเช่นไร งักฮัวที่มีอาการแปลกๆ นางไปเจออะไรมาแล้วยังจะงักโยวอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ นางหวังว่าเรื่องที่คาดหวังไว้จะเป็นไปตามอย่างที่คิด และจบลงด้วยดี

สักพักแม่เฒ่าฝูพลันส่งเสียงครางคล้ายกำลังนอนฝันร้าย เสี่ยวจือรีบจุดไฟ แล้วเปิดม่านเข้าไปดู

“ท่านแม่ ท่านแม่”

“เสี่ยวจือ... นี่ข้าอยู่ที่ไหน”

“อยู่ในห้องนอน ท่านแม่สลบไป”

แม่เฒ่าฝูได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดตามก่อนจะนึกขึ้นได้ นางจับแขนเสี่ยวจือไว้แน่น

“งักหลิวละ แล้วงักโยวด้วย เกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงกล่าวหาพี่ชายแบบนั้น”

“ข้า ข้าไม่รู้”

“สองคนนั่นตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“งักหลิวถูกเจ้าเมืองกุมตัวไปที่อำเภอ ส่วนงักโยวตอนนี้เขาพักอยู่ในห้อง”

“ข้าจะไปหางักโยว ถามให้รู้ความ ว่าทำไมถึงใส่ร้ายพี่ชายตัวเอง”

“ท่านแม่ ท่านแม่ ใจเย็นๆ ตอนนี้ดึกมากแล้ว งักโยวเองก็ยังไม่ฟื้น ไว้พรุ่งนี้เช้าเถอะ”

“จะปล่อยให้งักหลิวต้องถูกกุมขังอยู่ในคุกเหรอ”

“ใต้เท้าเถียนรับปากแล้วว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี ท่านแม่อย่าคิดมากเลย ท่านหมอสั่งไว้ว่าให้ท่านพักผ่อนเยอะๆ ข้ารับปาก พอพรุ่งนี้เช้า ข้าจะรีบไปดูเขาที่อำเภอ”

ได้ยินเช่นนั้นแม่เฒ่าก็ยอมล้มตัวลงนอน

“เจ้าอย่าลืมนะ ต้องรีบไปแต่เช้าเลยนะ ไม่รู้เขาได้กินอะไรหรือยัง สุขภาพยิ่งเป็นเช่นนั้นอยู่”

“ค่ะท่านแม่ พอเช้าข้าจะรีบไปทันที”

“เจ้าอย่าลืมนะ ห้ามลืมนะ”

“ค่ะ ท่านแม่ ไม่ลืม ท่านนอนเถอะนะ”

“ได้ๆ ข้าจะนอน”

เสี่ยวจือดึงผ้าห่มให้กระชับเข้าที่ เห็นแม่ตนเองยังลืมตา แต่ไม่อยากท้วงอะไรจึงดับไฟให้หมดความสว่าง ก่อนจะปิดม่านแล้วกลับเข้าที่นอนของตัวเอง แว่วเสียงยังได้ยินคำแม่เฒ่าฝูรำพึง

“ความผิดข้าเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง” เสียงนั้นร้องสะอื้น เสี่ยวจือได้แต่ถอนหายใจ เมื่อทนฟังไม่ไหว เสี่ยวจือจึงลุกเดินออกไปจากห้อง

 

............................................

 

ท่ามกลางม่านหมอกที่โรยตัวรอบล้อมอยู่รอบข้าง งักฮัวตื่นตระหนกสับสนและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร บางสิ่งในใจบอกนางว่าทางข้างหน้าที่จะก้าวเดินมีอันตราย ต่ครันพอจะถอยหลังก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เหมือนไม่รู้จะทำเช่นไรเด็กสาวจึงได้แต่ยืนอยู่เช่นนั้น พลันเกิดเสียงคำรามดังลั่นของสัตว์ร้าย แล้วหมอกรอบข้างก็กลายเป็นสีแดงของโลหิต มีบางสิ่งกำลังตรงเข้ามา นางสัมผัสได้ เสี้ยวเวลานั่นเอง ที่กงเล็บของปีศาจหมูป่าแทงทะลุม่านหมอกเสียบเข้าที่ท้องของนาง

งักฮัวกรีดร้องสุดเสียงแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นเงื่อโทรมกาย นางอยู่ในห้องนอนบนเตียงของตัวเอง เด็กสาวมองรอบๆ ให้แน่ใจว่าภาพเมื่อครู่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น

เงาของบ่าวสตรีสองคนปรากฏขึ้นที่หน้าประตูห้อง งักฮัวได้ยินเสียงสองคนนั้นเกี่ยงกัน

“เจ้าเข้าไปสิ”

“ไม่เอา เจ้านั่นแหละเข้าไป”

“ไม่เอา ข้าไม่อยากเข้าไปกรีดร้องแบบนี้คงไม่พ้นฝันร้ายเหมือนเดิมอักนั่นแหละ”

“นั่นสิ งั้นข้าว่าเรากลับไปนอนเถอะ ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวสักพักนางก็หลับไปเอง” เช่นนั้นบ่าวสองคนจึงจากไป

งักฮัวได้แต่กระชับผ้าห่มมาคลุมร่าง รู้สึกภายในใจอย่างแท้จริงว่าโลกนี้ไม่มีใครเลยที่ต้องการตัวนาง

 

..............................................

 

งักโยวลืมตาตื่นในความมืด พบตัวเองนอนลำพังอยู่อย่างเดี่ยวดายในห้องของตน เขาลุกขึ้นนั่งมองรอบบริเวณก่อนจะยิ้มแบบที่เคยทำประจำเวลามีเรื่องดีใจ เวลานี้เขาดูคล้ายจะดีขึ้นราวกับเป็นปกติ

งักเจียงที่เป็นวิญญาณไร้ตัวตนยืนจ้องเขาจากมุมหนึ่งของห้อง นึกอยู่ภายในใจว่าบางทีคนที่มีความสุขที่สุดในสกุลอาจเป็นคนสติไม่ดีเช่นน้องตัวเอง ที่เพียงหลับไปตื่นหนึ่งก็คล้ายกับจะลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจนหมดสิ้น

งักโยวหัวเราะเบาๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง งักเจียงเห็นเช่นนั้นก็ออกจากห้องมา

แสงจันทร์สว่างกระจ่างตา เป็นครั้งแรกที่ได้มองอย่างจริงจัง น่าเสียดายที่เขาเพิ่งพบว่ามันสวยงามในยามที่ไรลมหายใจ...

 

..........................................

 

งักหลิวสะดุ้งเพราะถูกยุงกัดจนตื่น ภายในห้องขังอ้างว้าง มีเพียงกองฟางเป็นที่หนุนนอนให้สบายตัว ซึ่งไม่ช่วยอะไร

เวลานี้คุณชายใหญ่สกุลงักถูกแก้มัดและเอาผ้าปิดปากออกแล้ว แน่นอนว่าเขาอาละวาดด่าทอไปทั่วอย่างเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่ได้มีใครอยู่สนใจฟัง จนที่สุดเขาก็กลับกลายเป็นฝ่ายเหนื่อยและหมดแรงไปเอง

โชคดีอย่างหนึ่งคือไม่ได้มีนักโทษคนไหนถูกกุมขังไว้ด้วย ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาอาละวาดโดยแรงไม่มีวันหมด ก็อาจถูกผู้ต้องหาคนอื่นกระทืบให้สลบคาเท้าไปเสียก่อน

งักหลิวมองชามข้าวเย็นชืดที่มีผักต้มวางโปะอยู่เป็นกับ ตอนแรกที่เจ้าหน้าที่มือปราบยกมาเขาปฏิเสธที่จะกินมัน ทว่าเวลานี้ท้องไส้กลับปั่นป่วนคล้ายพยาธิที่รออาหารจะกัดกินลำไส้ของเขาแทน

คุณชายใหญ่จำใจหยิบชามข้าว ปัดมดที่ไต่ตอมออกแล้วเริ่มกินเข้าไปอย่างยากเย็น ข้าวแข็ง ผักชืด น้ำตาร่วงริน เจ้าตัวไม่คิดว่าจะมีวันนี้เพราะน้องชายตนเอง

 

............................................

 

ไป่ยู่นั่งมองแสงจันทร์พลางถอนหายใจ อากาศที่ออกมาจากปากเป็นไอขาวเย็นบอกให้รู้ว่าสภาพภายนอกหนาวแค่ไหน จอมเวทกระชับเสื้อคลุมเกล็ดมังกรให้เข้าที่เพื่อให้ตัวเองอบอุ่นขึ้น ไม่นานเฉินหลินก็เดินเข้ามาหา

“ทำไมยังไม่นอน” ไป่ยู่ถามเสยงอ่อนโยน

“แล้วท่านล่ะ ยังไม่นอนมานั่งตากน้ำค้างกลางลมหนาวทำไมกัน” ดรุณีน้อยย้อนถาม

“ข้าเป็นห่วงท่านพี่ หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยเหลือได้ทัน ทีนี้บอกข้าซิ เหตุผลของเจ้า” เฉินหลินขยับตัวลงนั่งข้างไป่ยู่

“ก็เหมือนกับท่าน”

“เหมือนข้า?”

“เป็นห่วงท่าน หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านข้าจะได้ช่วยเหลือได้ทัน” คำตอบของดรุณีน้อยทำไป่ยู่อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาลูกศีรษะนางอย่างเบามือ

“ขอบใจนะ” ไป่ยู่กล่าว เฉินหลินเอามือที่ไพล่หลังออกมาให้เห็นชามใบเล็กที่นางแอบซ่อนไว้

“ถั่วแดงต้มน้ำตาล เวลานี้บังคับท่านยังไง ก็คงไม่ยอมกลับไปนอน ข้าเลยเข้าครัวทำมาให้ อย่างน้อยจะได้อุ่นขึ้น” ครานี้ไป่ยู่ถึงกับหัวเราะออกมา เขารับถ้วยขนมจากนาง

นอกจากสายลม ความเงียบงันเวลานี้ไป่ยู่ยังมีเฉินหลินนั่งอยู่เคียงข้าง นานเท่านาน ไป่ยู่กินถั่วแดงต้มจนหมด แล้วจึงเอ่ยถาม

“ทำไมถึงหนีมา” คำถามนี้ทำดรุณีน้อยสะดุ้ง แต่มาถึงขั้นนี้นางก็รู้แล้วว่าคงไม่อาจปิดบังอีกฝ่ายได้

“ท่านรู้”

“ฤกษ์กำหนดการในพิธีรับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรม ท่านหม่าเคยให้ข้าเลือกให้ในวันก่อนที่จะจากกัน นี่เอง”

“เป็นท่านนี่เองที่ส่งเสริมเขา”

“ข้าส่งเสริมเจ้าต่างหาก” ไป่ยู่กล่าว เฉินหลินทำหน้าเง้างอนใส่ เขาจึงลูบศีรษะนางอีกครั้ง

“กลัวหรือ?”

“ข้าไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าหนทางนี้จะเหมาะกับตัวข้า ไม่พูดถึงเรื่องที่เคยมีความบาดหมางและเข้าใจผิดกันระหว่างสกุลข้ากับท่านหม่า (รายละเอียดหาอ่านได้ในคดีที่1: ศพไร้หัว ผีไร้ร่าง) แต่เขาเองแน่ใจแล้วหรือว่าจะรับข้าเป็นบุตรีบุญธรรม ไม่ใช่เพียงเพราะพี่สาวข้าเคยฝากฝังไว้ ยังไม่นับเรื่องที่ข้าวางตัวไม่ถูกอีกมากมาย”

“ข้ายืนยันอีกครั้งนะ ว่าแม้มันจะมาจากคำขอของพี่สาวเจ้า แต่ตัวเขาเองก็ยินดีด้วยเช่นกัน ไม่ได้ฝืนใจอย่างที่เจ้ากังวล เรื่องการวางตัวมันคงต้องใช้เวลาปรับตัว”

“ให้ข้าตามท่านไปไม่ได้จริงๆ เหรอ ข้ารู้ว่ามันมีอันตราย แต่ข้าจะเชื่อฟังท่าน ไม่เป็นภาระ ข้าจะหัดทำอาหารให้เก่งกว่านี้ จะได้ดูแลท่านได้”

ไป่ยู่มองนางอย่างเอ็นดู ทว่ายังไม่ทันได้ตอบคำใดออกไป ก็มีเสียงโวยวายจากเจ้าหน้าที่มือปราบที่อยู่เฝ้ายาม

“ผี! ผีดิบคืนชีพ! ช่วยด้วย!!”

“หนีเร็ว!! มันมาแล้ว!”

“ระวัง!!!”

“อย่า!!!!”

ทั้งไป่ยู่และเฉินหลินต่างได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว ทั้งคู่ลุกขึ้นยืน ดรุณีน้อยสีหน้าตื่นตระหนก จอมเวทเห็นเจ้าหน้าที่มือปราบที่วิ่งหนีมาโดยมีร่างที่บิดเบี้ยววิ่งตามมาแล้วพุ่งกระชากกัดกินตัวอย่างน่ากลัว

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด