ตอนที่แล้วบทที่ 27 อาณาเขตมังกรแดง 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 แรกพบสบตาเมื่อเจอหน้าเธอ

บทที่ 28 อาณาเขตมังกรแดง 3


บทที่ 28 อาณาเขตมังกรแดง 3

หลังจากพูดคำนั้นออกไป ทุกคนในปาร์ตี้หัวหน้ากิลต่างมองมาที่ผมอย่างสนใจ

“ถ้าเจ้าหายไปจริง ๆ พวกเราคงไม่มีทางเลือก”

“ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นพวกคุณควรปล่อยผมไปตามทาง ขอบคุณที่พามาส่งถึงอาณาเขตมังกร ผมทราบซึ้งใจมาก” ผมรู้ข้อจำกัดของตัวเองในการเดินทางไกลมานานแล้ว เพราะแบบนั้นผมถึงต้องพูดความจริงบางส่วนให้พวกเขาฟัง

นี่ผมถึงกับยอมสารภาพเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองเลยนะ เลิกทำหน้าคิดหนักและปล่อยผมไปตามทางได้แล้ว! พรีสสส

ถึงการตามหามังกรตัวเป็น ๆ น่าจะเรียกยอดผู้ชมได้มาก แต่ว่าผมจะไม่เสี่ยงเจอมังกรตัวเป็น ๆ แน่ ผมไม่มีทางเอาแต้มชีวิตอันน้อยนิดของตัวเองไปเสี่ยงใช้กับมันหรอก แม้ว่าโอกาสเจอมังกรจะเป็น 50-50 ก็ตาม แถมถ้าเจอก็อาจเป็นไปได้ว่าผมต้องเจอมังกรถึง 2 ตัว และนั่นหมายถึงความฉิบหายสองเท่าชัด ๆ

“เรื่องปล่อยเจ้าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่” กิลมาสเตอร์ถาม

“53 นาที” ผมตอบกลับไปตามจริง

กิลมาสเตอร์หลับตานิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนกิลจะลุกขึ้นแล้วพูดเสียงขรึมออกมา “ได้ งั้นเราไปกันตอนนี้เลย ข้าก็ได้แต่หวังว่ามังกรยังคงหลับอยู่ที่เดิม และข้อมูลเจ้าเป็นเรื่องโกหก” เขาพูดว่าอย่างนั้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม ทิ้งให้ผมและคนเกือบทั้งห้องช็อกค้าง

“จะบ้าเหรอออ” ผมร้องเสียงสูงอย่างตกใจเมื่อได้สติหลังจากกิลมาสเตอร์เดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว เอาจริงดิ ไปตอนนี้เนี่ยนะ อีกแค่ 53 นาทีเนี่ยนะ เอ็งเป็นพวกไฮเปอร์รึไงอยากทำอะไรก็ทำ ตั้งแต่โดนลากไปสอบสวนโดนลากขึ้นเรือเหาะโดนลากมาประชุม นี่ยังจะลากผมไปทิ้งไว้ในอาณาเขตมังกรอีกเรอะ!

ผมกวาดตามองรอบห้องประชุมอย่างเลิ่กลั่ก หาคนสนับสนุนเรื่องคัดค้านการไปหามังกรอย่างปัจจุบันทันด่วนของกิลมาสเตอร์ กระนั้นเหมือนจะไม่มีใครปฏิเสธไม่ยอมไปเลยสักคน สมาชิกในปาร์ตี้กิลมาสเตอร์บ่นออกมาเล็กน้อย มองจิกผมนิดหน่อยที่ทำให้ต้องเร่งรีบ แต่ก็พากันลุกออกจากห้องตามกิลมาสเตอร์ไปกันหมด ตัวผมก็โดนเร่งให้ลุกตามมาด้วยแบบไม่เต็มใจอย่างรุนแรง

ผมล่ะอยากจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด แม่จ้าว 53 นาที ถ้ารู้ว่าพูดแล้วจะเป็นแบบนี้ ผมจะไม่มีทางบอกเด็ดขาดว่าเหลือเวลาอีกเท่าไรก่อนถูกส่งกลับ ปล่อยให้พวกมันประชุมกันจนหมดเวลาไปก็ดีแล้วแท้ ๆ บ้าเอ๊ย ถ้าโดนส่งกลับระหว่างทางไม่อยากจะคิดเลย ว่ามีความฉิบหายแบบไหนรออยู่

................

พวกเขาพาผมขี่ม้าตรงไปยังซุ้มประตูทำจากหินขนาดยักษ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าติดชายป่า แต่เป็นคนละจุดกับท่าจอดเรือเหาะ บนซุ้มประตูถูกสลักเต็มไปด้วยอักขระแปลก ๆ และด้านบนสุดมีรูปปั้นมังกรประดับอยู่

“ทำหน้าเหวอแบบนั้นเจ้าคงไม่รู้ มันคือ พอร์ทัล ของดันเจี้ยนเปิดอาณาเขตมังกร ข้าก็พึ่งเคยเห็นของจริงครั้งแรกนี่แหละ” ทีน่าก้มลงมากระซิบข้างหูผม ต้องบอกไหมว่าทีน่าเป็นคนขี่ม้าและมีผมนั่งตัวเกร็งซ้อนอยู่ด้านหน้า ถึงจะโคตรอายแต่ก็โคตรฟิน เอ๊ย! ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ ยัยนี่ไม่ใช่สเป็คผมหรอก

“พอร์ทัล?” ผมทวนศัพท์อีกครั้ง ถึงจะมีเครื่องแปลภาษาอัตโนมัติ แต่บางอย่างก็เป็นศัพท์เฉพาะของต่างโลกที่ไม่มีในโลกผม และบางทีพวกเขาก็พูดทับศัพท์ภาษาอังกฤษ แรก ๆ ผมก็งงแต่ตอนนี้ก็เริ่มชินแล้วและไม่คิดจะสงสัยอีก

“ถึงดันเจี้ยนเปิดจะเข้าได้จากทุกทิศทาง แต่ในเมื่อมันคือดันเจี้ยนย่อมมีจุดเซฟ และพอร์ทัลคืออาร์ติแฟคที่จะนำเราไปยังจุดเซฟนั้น ๆ ถ้าเราไม่เคยไปมาก่อนก็แค่หาคนที่เคยไปมาเป็นคนเปิดพอร์ทัล แต่วิธีข้ามขั้นแบบนั้นใช้ได้แค่ดันเจี้ยนแบบเปิดเท่านั้นแหละ ดันเจี้ยนปิดมักมีบอสและข้อจำกัดการผ่านขึ้นชั้นถัดไปอยู่เลยใช้วิธีการนี้พาเด็กใหม่ข้ามชั้นไม่ได้ แต่มันก็สะดวกตรงที่ว่า เวลากลับออกจากดันเจี้ยนแล้วไม่อยากเริ่มต้นใหม่เท่านั้นแหละ” เธออธิบายให้ผมฟังเพิ่มเติมอย่างใจเย็น ระหว่างที่เราพากันเดินลัดคิวด้วยอภิสิทธิ์เหนือชั้น ผ่านหน้ากลุ่มนักผจญภัยที่มาต่อคิวใช้บริการพอร์ทัลอยู่

“อ่อ เข้าใจล่ะ ถ้างั้นขากลับก็จะมีพอร์ทัลอยู่เหมือนกันใช่ไหม”

“ไม่ ด้านในจะเรียกว่าจุดเซฟ มันจะเป็นเซฟโซนที่ปลอดภัยจากสัตว์ประหลาดจะเป็นวงเวทตรงพื้นนายสามารถกลับออกมาผ่านทางจุดเซฟได้ เดี๋ยวตอนเราผ่านพอร์ทัลเข้าไปก็รู้เองแหละ”

เมื่อเรามาถึงด้านหน้าประตูในระยะประชิด กิลมาสเตอร์ก็เดินไปขอลัดคิวและชูสัญลักษณ์กิลตัวเองให้พนักงานที่ประจำหน้าพอร์ทัลดู คุยอะไรกันไม่รู้สักพัก กิลมาสเตอร์ก็เรียกคนที่ชื่อรอนอะไรสักอย่างให้เป็นคนเปิดทางเข้า ดูเหมือนหมอนั่นน่าจะเป็นคนที่มีจุดเซฟใกล้ภูเขาไฟที่อยู่ของมังกรแดงมากที่สุด

วินาทีต่อมาที่รอนวางมือลงบนแท่นหินที่ตั้งอยู่กึ่งกลางซุ้มประตู ก็มีวังวนแสงสีแดงดำปรากฏขึ้นกลางอากาศ ลักษณะคล้ายกับประตูดันเจี้ยนที่ผมเคยเข้าเมื่อวันก่อน ต่างกันแค่สี และนั้นคือสาเหตุของเสียงฮือฮาจากนักผจญภัยที่มารอใช้งานพอร์ทัล แต่กิลมาสเตอร์ก็ไม่ได้สนใจและเดินนำพวกเราเข้าซุ้มประตูไปเป็นคนแรก ตามด้วยนายคนชุดหนังรัดรูป

ผมกระซิบถามทีน่าเสียงเครียดระหว่างที่โดนคุ้มกันให้เดินเข้าประตู“ทีน่า ไม่ใช่ว่าซุ้มประตูมันเรืองแสงสีเขียวรึไง นี่แดงเถือกแน่ใจนะว่าไม่มีปัญหาน่ะ มองยังไงก็อันตรายสุด ๆ”

“แน่ล่ะมันอันตราย สีแดงคือโซนบอสหรือก็คือโซนอันตรายที่สุดของดันเจี้ยน สีเขียวคือรอบนอก เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก เรามากับปาร์ตี้แรงค์ S เลยนะ”

เธอก็พูดได้สิ ตัวเองแรงค์ B นิ ผมน่ะแรงค์ D เองนะ ตอนนี้หน้าผมนี่ซีดแล้วซีดอีก กลัวตายก็กลัวแต่กลัวที่สุดคือตายแล้วกลับมาโผล่อีกทีในจุดที่ตายนั่นแหละ งานเข้าแน่ ๆ เผลอ ๆ อาจได้ตายซ้ำตายซากอยู่ที่เดิม

ผมโดนทีน่าดันหลังเข้าเข้าพอร์ทัลสีแดงเถือกไปอย่างจำใจ พริบตาต่อมาภาพรอบตัวก็ถูกเปลี่ยนเป็นแนวป่ารกร้างแห้งแล้ง แถมยังมีกำแพง...ไม่ใช่สิ ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า มันใหญ่ถึงขนาดที่ว่า ผมต้องแหงนคอมองจนแทบจะนอนราบลงบนพื้นถึงจะเห็นยอดเขาได้

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น มันใหญ่มากกกก ชื่อบิ๊กเมาเท่น 2018 ลอยมาเลยทีเดียว

พอก้มลงมองที่ใต้พื้นก็เจอเข้ากับวงเวทแปลก ๆ ไอ้นี่สินะที่ทีน่าบอกว่ามันคือจุดเซฟ ต้องถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อยแล้วเพื่อโดนทิ้งไว้กลางป่าจะได้ไม่เหยียบผิดวงและหาทางออกมาได้

ยืนแกร่วรอไม่นานเมื่อคนในปาร์ตี้ข้ามพอร์ทัลมาจนครบแล้ว พวกเราก็มุ่งตรงเข้าหาภูเขาไฟอย่างเร่งรีบทำเวลา ผมบอกรึยังว่าเรามีกันอยู่ 17 คน พวกผมสามคน และคนจากกิลที่มีแรงค์สูง ๆ ที่อยู่ในกิลตอนเกิดเรื่องพอดีอีก 14 คน นับเป็นปาร์ตี้เฉพาะกิจปาร์ตี้ที่สองที่ผมเข้าร่วม และแน่นอนว่าพวกผมสามคนไม่ได้มีหน้าที่สู้กับสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด

หน้าที่ของผมมีเพียงยืนยันตัวตนมังกรเท่านั้น ส่วนทีน่ากับนาตาเลียยืนยันว่าจะมาด้วยให้ได้ไม่ยอมให้ผมไปคนเดียวเด็ดขาด ผมนี่โคตรซาบซึ้งเลย ถึงจะรู้ว่าใจจริงยัยเอลฟ์สองตนนี่ แค่อยากเจอมังกรตัวเป็น ๆ เท่านั้นก็เถอะ มีการบอกว่า ทริปตามหามังกรที่มีนักผจญภัยแรงค์ S กับ A+ คุ้มกันถึง 14 คน ไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียวจะทำได้ อย่างนู้นอย่างนี้

ตอนแรกกิลมาสเตอร์จะไม่ให้มาด้วยกันแล้ว แต่พอพวกเขารู้ว่านาตาเลียเป็นเอลฟ์จอมเวทจึงอนุญาตให้ตามมาด้วยได้ ทีน่าที่บอกว่ามาคุ้มครองผมกับนาตาเลียก็เลยได้ตามมาด้วยอีกคนอาชีพจอมเวทนี่มันดีจริง ๆ ไปไหนใคร ๆ ก็ต้อนรับ ภาษีดีพอ ๆ กับอาชีพพ่อมดแม่มดเลย เพราะแบบนี้ไงผมเลยไม่แก้ต่างเรื่องพ่อมดเก๊ของตัวเองสักที

เมื่อวิ่งมาใกล้ภูเขาไฟผมก็สังเกตเห็นทางเข้า มันเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่พวกเราวิ่งเข้าไปอย่างไม่มีรีรอ ด้านในภูเขามืดสลัวจนแต่ละคนต้องหยิบอุปกรณ์เรืองแสงส่วนตัวขึ้นมาใช้งาน ซึงแน่นอนว่าผมกดเปิดไฟฉาย ในความมืดที่เราวิ่งผ่านมีสัตว์ประหลาดคล้ายกิ้งก่าแต่มีไฟลุกท่วมโผล่มาให้เห็นเป็นระยะ แต่ก็ถูกคนอื่น ๆ กำจัดทิ้งอย่างรวดเร็วจนไม่จำเป็นต้องหยุดฝีเท้าเพื่อสู้ ผมกับสองสาววิ่งอยู่กึ่งกลางโดยมีพวกนักผจญภัยระดับสูงคนอื่น ๆ คอยให้ความคุ้มกันไปตลอดทาง

ตอนวิ่งผมก็ยกโทรศัพท์ออกมาดูเวลาเป็นระยะ ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไปลึกขึ้นทางเดินก็ยิ่งลำบาก แต่ดีที่ในนี้ไม่มีกับดักเสี่ยงตายเหมือนดันเจี้ยนปิด เพราะมันคือดันเจี้ยนเปิดที่เกิดจากละอองเวทมนตร์ที่หนาแน่นเกินไปของมังกร จะมีก็แต่สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งขึ้นทุกขณะที่พวกเราฝ่าเข้าไปลึกขึ้น

แรก ๆ มีเพียงกิ้งก่าไฟ ถัดมาเป็นค้างคาว แมงมุม งูยักษ์ อ่อ...มีตัวประหลาดที่พวกเขาเรียกกันว่าโกเลมด้วย แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้เหมือนสัตว์ป่าในโลกเราแบบแป๊ะ ๆ หรอกนะ ลักษณะมันคล้ายกันเฉย ๆ แถมแต่ละตัวที่เจอก็มักมีไฟลุกท่วมเกือบทุกตัวไม่ก็มีสีแดงดำราวแม็กม่า พวกตัวที่มีไฟลุกเราก็หาทางหลบเลี่ยงได้ง่ายแต่ปัญหามักมาจากสัตว์ประหลาดที่กลืนไปกับความมืด พวกมันมักจะโผล่มาจ๊ะเอ๋ในระยะประชิดให้ปาร์ตี้เราตกใจเล่นเป็นครั้งคราว

พวกเราวิ่ง ๆ เดิน ๆ ผ่านมาแล้วเกินครึ่งชั่วโมง น้ำตาของผมได้หลั่งรินอยู่ในใจ ดูท่าแล้วผมจะโดนปล่อยเกาะให้ติดอยู่ในรังมังกรชัวร์เลย มาถึงขั้นนี้ผมก็เริ่มปลง 5 นาทีสุดท้ายในที่สุดกิลมาสเตอร์ก็บอกให้หยุดขบวน เมื่อพวกเราวิ่งมาถึงหน้าผา สุดขอบทางที่จะเดินต่อไปได้ แถมเป็นหน้าผาที่ขาดแค่นั้นไม่มีทางไปต่อ ตรงนี้เป็นจุดที่มีแสงสว่างเข้ามามากกว่าจุดไหน ๆ ที่เราเคยผ่านมา คาดว่าด้านบนคงเป็นปากปล่องภูเขาไฟแน่ ๆ นั่นแสดงว่าตอนนี้เราอยู่ไม่ไกลจากกึ่งกลางภูเขาไฟแล้ว

ด้านล่างหน้าผาผมลองชะโงกหน้าเข้าไปดูมันคือทะเลแม็กม่าที่เดือดระอุ ไอร้อนตีขึ้นมาจนผมต้องหดคอหลบและคลานออกมาไกล ๆ จากขอบหน้าผา

ร้อนโคตร มันร้อนตั้งแต่เข้าถ้ำมาแล้วล่ะ มาถึงตรงนี้ก็ร้อนคูณเข้าไปอีก 10 เท่า ผมซดน้ำหมดไปเป็นลิตรแล้วขนาดแค่มีหน้าที่วิ่งตามขบวนหลักให้ทันเท่านั้น เหงื่อนี่แตกเป็นน้ำตกเลย ไหลซู่ ๆ เปียกไปทั้งตัว ขาก็ปวดไปหมด ถ้าผมไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอละก็หมดแรงข้าวต้มไปนานแล้ว

“เจ้าเหลือเวลาอีกกี่นาที” กิลมาสเตอร์ถามขึ้น

“ห้านาที” ผมตอบกลับไปเสียงแหบ กิลมาสเตอร์ไม่ได้สนใจกับคำตอบผมด้วยซ้ำ ผมกะแล้วว่าต้องโดนเททิ้งไว้กลางทาง แน่ ๆ ตั้งแต่วิ่งมาก็ทำใจมาตลอด แถมยังพูดลาผู้ชมไว้ก่อนแล้ว พวกเขาไม่เชื่อที่ผมบอกว่าอยู่ได้แค่ 5 ชั่วโมงเลยสักนิด ไอ้เรามันก็คนชนชั้นผู้น้อยเถียงอะไรไปก็ไม่เข้าหู

ผมยกกระติกน้ำขึ้นมาดื่มอีกหลายอึก ก่อนจะเทราดหัวตัวเอง ดีที่นาตาเลียเป็นนักเวท ความร้อนในระดับทำให้ตัวผมไหม้เกรียม เลยถูกจำกัดให้อยู่แค่ในระดับร้อนโคตรพ่อโคตรแม่เท่านั้น แรงค์ S กับแรงค์ B นี่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจริง ๆ ทั้งวิ่งทั้งสู้พวกเขายังไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่เลย แต่ดูผมกับสองสาวสิ ยัยนาตาเลียลงไปนอนแผ่บนพื้นแล้ว ส่วนผมก็นั่งย่อง ๆ อยู่ใกล้ ๆ ซากยัยนั่น ทีน่ายังพอยืนไหวแต่ก็หอบแฮ่ก ๆ

ผมเหลือบตามองร่างที่นอนแผ่แบบไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้นของนาตาเลีย อยากจะบอกเธอเหลือเกินแค่คืนร่างเป็นเด็กประถมก็ไม่ต้องลำบากแล้ว

สภาพร่างสาวสวยหุ่นดีของนาตาเลียเกิดขึ้นจากเวทเฉพาะทางที่ชื่อว่า Grow เวทเติบโต การจะใช้เวทนี้นาตาเลียต้องสิ้นเปลืองพลังเวทถึงครึ่งหนึ่งของพลังเวทสูงสุดที่เธอมีเพื่อใช้คงสภาพร่าง หมายความว่าถ้านาตาเลียอยู่ในร่างเด็กประถมเธอจะเก่งขึ้นเท่าหนึ่งของตอนนี้ ผมรู้ได้ยังไงนะเหรอแน่นอนว่าผมติดสินบนจากทีน่ามาไงล่ะ ผมแอบถามเธอเป็นค่ามีดระดับ A ที่ซื้อให้เมื่อวาน

กิลมาสเตอร์เดินไปหยุดริมหน้าผาก้มหน้าไปมองแม็กม่าด้านใต้แล้วพูดออกมาว่า “ข้าไม่เห็นมังกรแดง”

“แม็กม่าด้านล่างคือที่อาศัยของมังกรแดง ไม่เห็นตัวก็แสดงว่ามันไม่อยู่แล้ว” รอนนี่พูดออกมาหน้านิ่งแต่ดูก็รู้ว่าเริ่มเครียดแล้ว จบคำของหมอนั่นบรรยากาศอึมครึมก็แพร่กระจายไปทั้งตี้

“เราต้องกลับไปแจ้งข่าวกับออกเควสกำจัดสัตว์ประหลาด ต้องลดจำนวนพวกมันให้ได้มากที่สุดก่อนละอองเวทมังกรจะหายไปหมด เราก็น่าจะซื้อเวลาได้สักสองสามเดือนก่อนดันเจี้ยนล่ม...”

บทสนทนาทั้งหมดที่ผมได้ยินสิ้นสุดเท่านี้ก่อนที่วงเวทกลางหน้าผากจะเรืองแสงและพาผมวาร์ปกลับมาที่ห้อง งานนี้เหนื่อยฟรีแถมยังโดนปล่อยเกาะอีก บอกได้คำเดียวว่าโคตรเซ็ง!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด